บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 767: วันที่หกเดือนห้า
ตอนที่ 767: วันที่หกเดือนห้า
“ท่านอาจารย์?”
ชายหนุ่มชุดขาวสังเกตเห็นความผิดปกติของชายชรา
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หวังถิง เจ้ายังคงจำ ‘บัญญัติพิทักษ์ห้ามหาแดน’ ได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มชื่อหวังถิงพยักหน้าและตอบกลับ “ศิษย์จำได้ว่าบัญญัตินี้มีอำนาจในการดึงดูดปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินมารวมสะสมไว้และคอยป้องปรามภยันตรายต่าง ๆ มันคือหนึ่งในห้ามหาบัญญัติที่เลิศล้ำที่สุดในเก้ามหาแดนดิน”
ยามพูดถึงเรื่องนี้หวังถิงก็สงสัยว่า “อาจารย์ ท่านถามถึงมันเพราะเหตุใด? หรือว่าเป็นเพราะ…”
สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน “อักษรที่เขียนอยู่ในกระดาษแดงซึ่งปิดอยู่บนขื่อประตูนั้นมีแก่นแท้อำนาจของประกาศิตคุ้มครองที่เรียกว่า ‘ยันต์คุ้มครองห้าขุนเขา’ หรืออีกนามคือ ‘บัญญัติพิทักษ์ห้ามหาแดน’ ผสานอยู่!”
ดวงตาของหวังถิงเบิกกว้างตกตะลึงในทันที
‘บัญญัติพิทักษ์ห้ามหาแดน’
คือหนึ่งในบัญญัติลับที่ทรงอำนาจมากที่สุดของเก้ามหาแดนดิน หรือถูกรู้จักกันในนาม ‘ห้ามหาบัญญัติ’
บัญญัติลับสูงสุดเช่นนี้แม้แต่ในแดนลี้ลับขั้นเก้าก็มีเพียงแต่ตัวตนจากยุคโบราณกาลเท่านั้นที่สามารถบังคับใช้มันได้!
แต่ตอนนี้ บัญญัติลับสูงสุดนี้กลับปรากฏขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในทวีปคังชิง หวังถิงจะไม่แปลกใจได้อย่างไร
“อาจารย์ นี่… จริงหรือ?”
หวังถิงเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ
“ข้าไม่ได้ตาบอดเลอะเลือน เหตุใดข้าจึงจะจำมันผิด?”
ชายชราดุอย่างโกรธเกรี้ยว
หวังถิงกระอักกระอ่วนอับอาย ทว่าหัวใจของเขาเต้นรัวและเขาถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “ท่านอาจารย์ นี่ท่านกำลังหมายความว่ามีหนึ่งในตัวตนเก่าแก่จากแดนลี้ลับขั้นเก้ามายังโลกนี้และได้เขียนบัญญัติปกป้องหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้เช่นนั้นหรือ?”
แววตาของชายชราเปลี่ยนไปก่อนจะเอ่ยว่า “เป็นไปได้ แต่… มันก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเป็นฝีมือของเหล่าตาเฒ่าจากแดนลี้ลับขั้นเก้า”
พูดจบประโยคชายชราก็ส่ายหัว
แม้ว่าในใจของหวังถิงจะสงสัยสุดขีด แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะกลั้นไว้เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของตนปิดปากเงียบไม่อยากเอ่ยต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่งชายชราสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะก้มศีรษะไปทางระยะไกลและกล่าวว่า
“พวกเราศิษย์อาจารย์หาได้มีเจตนารบกวนความสงบของสถานที่แห่งนี้ไม่”
ชายชราหยุดประโยคเพียงเท่านี้ ไม่พูดสิ่งใดอีกก่อนจะคว้าไหล่ของชายหนุ่มชุดขาวหวังถิงแล้วรีบจากไป
จนกระทั่งเขาออกไปถึงนอกหมู่บ้านเฉาซี ชายชราถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและพูดว่า “โชคลาภทั้งหลายของหมู่บ้านนี้เป็นของพี่น้องเฉาผิงและเฉาอันเท่านั้น หากผู้ใดคิดปล้นชิง มันผู้นั้นจะได้เผชิญกับภัยพิบัติถึงชีวิต!”
หวังถิงผู้ซึ่งยังสับสนเหงื่อตกทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้
อาจารย์ของเขาคือตัวตนที่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัว แต่ขณะนี้อาจารย์ของเขากลับกลัวอักษรเหล่านั้นประหนึ่งหนูเห็นแมวและลี้หนีภัยออกมาโดยไม่กล้าลองดีแม้แต่น้อย!
ขณะนี้เองที่หวังถิงเข้าใจว่าเหตุใดความเงียบสงบของหมู่บ้านเฉาซีจึงไม่เคยถูกรบกวน
เหตุเป็นเพราะมีอำนาจของบัญญัติพิทักษ์ห้ามหาแดนปกปักษ์รักษาอยู่ ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตน สัตว์อสูร หรือวิญญาณร้ายหน้าไหนย่อมไม่กล้ากระทำการใดอุกอาจ!
“สองพี่น้องนั้นช่างโชคดียิ่งที่ได้ตัวอักษรนั่นจากผู้เลิศล้ำ ต่อให้หลังจากนี้พวกเขาจะใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา พวกเขาก็สามารถมีชีวิตที่สงบสุขโดยปราศจากหายนะและวิตกกังวล แม้กระทั่งตัวตนเช่นข้ายังคิดอิจฉา…”
ชายชราถอนหายใจด้วยอารมณ์
“อาจารย์ ท่าน… ท่านเดาเบาะแสบางอย่างได้ใช่หรือไม่?”
หวังถิงอดไม่ได้ที่จะถาม
ชายชราส่ายหัวและกล่าวตอบ “ข้าไม่อยากเอ่ยถึงสิ่งที่เดาในใจ เจ้าและข้าเป็นเพียงผู้สัญจรผ่านมาในทวีปคังชิงนี้ จุดประสงค์ของเราคือเพื่อค้นหา ‘ร้านจำนำ’ เพื่อช่วยให้เจ้าได้รับโอกาสกลายเป็นจักรพรรดิในภายภาคหน้าแค่เท่านั้น”
ขณะพูด เขาหยิบกระดองเต่าสีขาวราวหิมะออกจากแขนเสื้อ
บนกระดองเต่ามีลวดลายเต๋าที่ดูแปลกยิ่ง
ชายชราเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ราวมากกว่าสองเดือนก่อน ร้านจำนำได้ปรากฏขึ้นครั้งหนึ่งในทวีปคังชิงนี้ซึ่งเรามาช้าเกินไป ร้านจำนำจึงได้ออกจากดินแดนนี้ไปแล้ว…”
ชายชราอดถอนหายใจยาวไม่ได้
หวังถิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “อาจารย์ ศิษย์ไม่เข้าใจเหตุใดการที่ข้าจะได้เป็นจักรพรรดิหรือไม่นั้นเราต้องตามหาร้านจำนำเพื่อแลกเปลี่ยน?”
ชายชราตบไหล่หวังถิงก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าแตกต่างจากผู้อื่น เส้นทางฝึกฝนเต๋าของทุกคนล้วนแตกต่าง ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า หากเจ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก ‘ร้านจำนำ’ วันที่เจ้าจะได้เป็นจักรพรรดิคือวันเดียวกับวันตายของเจ้าด้วย”
หวังถิงเงียบอึ้งไป
เพื่อหาหนทางสู่การเป็นจักรพรรดิอย่างปลอดภัย อาจารย์ของเขาจึงได้พาเขาค้นหาโอกาสไปตามดินแดนต่าง ๆ มากมาย
เพิ่งไม่นานมานี้เองที่พวกเขาค้นพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับ ‘ร้านจำนำ’ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบมาที่มหาทวีปคังชิงตามเบาะแส
ทว่าไม่นึกเลยเมื่อมาถึงมันกลับสายไปเสียแล้ว!
“ไม่สำคัญว่าช้าไป ตราบใดที่เราจับร่องรอยของ ‘ร้านจำนำ’ ได้ เราจะพบมันในไม่ช้าก็เร็ว”
ชายชราเอ่ยขึ้นก่อนจะกัดนิ้วชี้ขวาและหยดเลือดลงบนกระดองเต่าอย่างรวดเร็ว
ฮึ่ม!
เลือดอาบไล้กระดองเต่าสีขาวส่งผลให้มันสั่นเล็กน้อย
ในทางกลับกัน ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นซีดขาวอย่างรวดเร็วและมีเหงื่อผุดออกจากหน้าผาก
หลังจากนั้นไม่นาน กระดองเต่าสีขาวก็หยุดสั่นและลวดลายเต๋าที่อยู่บนนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นลวดลายที่แปลกประหลาดและคลุมเครืออีกแบบหนึ่ง
ชายชราตะลึงไปชั่วครู่ เขาเพ่งพินิจที่ลวดลายเต๋าลึกลับนั้นและพึมพำ “แปลก… ร้านจำนำเคลื่อนย้ายไปที่ภูมิมืดมิดเสียแล้ว!”
ภูมิมืดมิด!
หวังถิงยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านอาจารย์ เราค้นหามันมาสิบกว่าปีแล้ว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าทั้งหมดจะกลายเป็นเสียเวลาเปล่า…”
เหตุที่เอ่ยเช่นนี้ เป็นเพราะทั้งเขาและอาจารย์ล้วนมาจากภูมิมืดมิดเช่นกัน!
มุมริมฝีปากของชายชรากระตุกอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นไม่นานชายชราไตร่ตรอง “ตามข่าวลือ ตั้งแต่สมัยโบราณ ทุกที่ที่ร้านจำนำปรากฏจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาไม่ได้และน่าตะลึงใจเกิดขึ้น”
“ไม่นานมานี้ร้านจำนำปรากฏในทวีปคังชิงนี้ และจากนั้นดินแดนแห่งนี้ก็บังเกิดปรากฏการณ์แสงสว่างแห่งโลกกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“ตอนนี้ร้านจำนำได้เคลื่อนย้ายไปที่ภูมิมืดมิด… เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่บังเกิดขึ้นที่ภูมิมืดมิดเช่นกัน?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของชายชราก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดยิ่งขึ้น
“หวังถิง เราต้องไปแล้ว!” ชายชราตัดสินใจ
“ท่านอาจารย์ ทวีปคังชิงนี้ไม่มีเส้นทางที่จะนำไปสู่ภูมิมืดมิด หากเราต้องการกลับไปเราต้องอ้อมไปยังดินแดนอื่นเสียก่อน”
หวังถิงกล่าวแนะ
“หาได้จำเป็นต้องอ้อมไม่”
ชายชราพูด “ไปที่ต้าเซี่ยอีกครั้งและขอความช่วยเหลือจากผู้คนของโถงหลงลืม”
หวังถิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าคนของโถงหลงลืมยังอยู่ในต้าเซี่ย?”
ชายชราหัวเราะและพูดว่า “เป็นเรื่องบังเอิญ ไม่นานมานี้ยามที่ข้ามองหาร่องรอยของร้านจำนำในต้าเซี่ย ข้าบังเอิญพบเห็นคนของโถงหลงลืมโดยบังเอิญ แม้พวกเขาจะสามารถซ่อนกลิ่นอายตนเองจากผู้คนในทวีปคังชิงได้ แต่สำหรับข้า พวกเขาย่อมไม่อาจปิดซ่อน”
หวังถิงตะลึง
“ไปกันเถิด”
ชายชราพูด
ก่อนจากไป เขาอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเฉาซีซึ่งถูกปกคลุมโดยความมืดมิดของราตรี
เป็นผู้ใดกันที่เขียนบัญญัติพิทักษ์ห้ามหาแดนนั้น?
ทว่าท้ายที่สุดชายชราระงับความอยากรู้ของเขาและจากไปพร้อมกับศิษย์ของเขา
…
วันที่หกเดือนห้า
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้าฤดูร้อน อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
หญ้าและต้นไม้ในสวนน้อยนภาเมฆเขียวขจีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูอี้กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้หวายข้างสระน้ำ จิตใจของเขาผ่อนคลาย
หลังกลับจากเมืองผีหลิงหลงเมื่อวานนี้ ซูอี้ตั้งมั่นในการทำสมาธิฝึกฝนจนถึงวันนี้ยามเที่ยง ทำให้ปราณในร่างที่เคยเหือดแห้งถึงฟื้นคืนขึ้นมาได้
แต่ทว่าการฟื้นคืนของพลังจิตนั้นช้ามาก
นี่คือผลสืบเนื่องของการยืมใช้เศษเสี้ยวอำนาจของดาบเก้าคุมขัง
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของอำนาจดาบเก้าคุมขัง แต่การยืมมาใช้ขณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับซูอี้
แม้รากฐานของเขาจะเหนือคนธรรมดา แต่ขณะนี้ชายหนุ่มยืมใช้อำนาจของมันได้ไม่เกินครึ่งชั่วยามเท่านั้น
“ศิษย์พี่ซู เมื่อไรแม่นางอาคังจะตื่น?”
เหวินซินจ้าวนั่งลงข้างซูอี้ ศีรษะของนางเอียงมองซูอี้อย่างอ่อนหวาน
“อย่างน้อยสามหรือห้าวัน มากที่สุดสิบวันหรือครึ่งเดือน”
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย “โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พลังชีวิตของนางลดลงอย่างมาก ต้องใช้เวลาสักหน่อยเพื่อฟื้นตัว”
หลังจากกลับมาเมื่อวานนี้ ซูอี้ได้คลายผนึกที่ร่างของอาคังออกไปและเขาส่งนางไปให้เหวินซินจ้าวดูแล
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นความงามอันเลิศล้ำเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่ายามที่แม่นางอาคังปกตินั้นงดงามเพียงใด”
เหวินซินจ้าวเอ่ยแผ่วเบา
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีทุกคนล้วนมีความงามแตกต่างกันในแบบของตนเอง เช่นเดียวกับเจ้า เจ้าเองก็งามเลิศในแบบของเจ้าไม่สามารถนำไปเปรียบกับผู้อื่นได้”
เมื่อได้รับการชมเชยจากซูอี้โดยส่วนตัว เหวินซินจ้าวก็เอียงอายหน้าแดงมีความสุขอยู่ภายในใจ
ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะงดงามเพียงใด นางก็ยังชอบให้ผู้คนชมว่าหน้าตาของนางโดดเด่น
และแน่นอนว่าการได้ฟังคำชมของคนที่ชื่นชอบย่อมดียิ่งกว่า
ทันใดนั้นเหวินซินจ้าวโพล่งขึ้นมา “ศิษย์พี่ซู เมื่อใดที่ท่านไปภูมิมืดมิด ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ได้หรอก”
ทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธ สีหน้าเหวินซินจ้าวก็เปลี่ยนเป็นซึมเซาทันที ทว่าซูอี้ก็กล่าวต่ออย่างอ่อนโยนว่า “ซินจ้าว เจ้าคงยังไม่รู้ตัวอยู่เรื่องหนึ่ง การอยู่เคียงข้านั้น ข้าสามารถปกป้องเจ้าจากลมและฝนได้ แต่ในทางกลับกัน สิ่งนี้กลับทำให้เส้นทางการฝึกฝนของเจ้าราบรื่นเกินไป ขาดการขัดเกลาที่แท้จริงซึ่งเป็นอันตรายต่อเจ้ายิ่ง”
“และยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ตลอดชีวิตของข้า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซูอี้ก็กล่าวต่อ “ไม่เพียงแต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าจะทำเช่นนี้ แต่คนอื่นข้าก็จะทำแบบนี้เช่นเดียวกัน มีเพียงเมื่อข้าจากไปเท่านั้น พวกเจ้าทั้งหลายจึงจะเติบโตยืนหยัดด้วยตนเองได้อย่างแท้จริง การอยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้าตลอดเวลานั่นจะทำลายเส้นทางการฝึกฝนของทั้งเจ้าและคนอื่น ๆ เท่านั้น”
ก่อนหน้านี้เหวินซินจ้าวรู้สึกผิดหวังในใจ
ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของซูอี้ หญิงสาวพลันพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
นางเอ่ยตอบแผ่วเบา “สิ่งที่ศิษย์พี่ซูพูดนั้นไม่ผิดเลย บอกท่านตามตรง พักหลังมานี้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ประโยชน์คอยให้หวังพึ่งพาให้ศิษย์พี่ซูจัดการทุกอย่าง การที่ข้าไม่ประสบกับอุปสรรคใด ๆ เลยมันทำให้เส้นทางการฝึกฝนของข้านั้นเรียบง่ายมากเกินไป”
ในตอนท้ายนางอดอับอายไม่ได้
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “เป็นการดีแล้วที่เจ้าเข้าใจสิ่งนี้ แม้แต่บรรดาขุมกำลังยิ่งใหญ่ทั้งหลายพวกเขาก็ยังจัดให้เหล่าศิษย์ของตนเองออกเดินทางไกลเพื่อฝึกฝนและหาประสบการณ์ต่าง ๆ เหตุผลก็เพราะคำว่า ‘การหล่อหลอม’ นั่นเอง!”
พูดถึงจุดนี้ซูอี้เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “สำหรับอนาคตข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน ทว่าทวีปคังชิงนี้เป็นเพียงดินแดนเล็กจ้อย เมื่อถึงเวลาข้าจะพาเจ้าออกไปเห็นโลกที่ใหญ่กว่า!”
เหวินซินจ้าวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหยหาในใจ