บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 768: สวรรค์เก้า
ตอนที่ 768: สวรรค์เก้า
ตกเย็น
จักรพรรดิเซี่ยและเวิงจิ่วมาเยือนซูอี้พร้อมกับนำของที่ริบมาได้มากมาย
สินสงครามที่ริบมานั้นทั้งหมดเป็นของขุมกำลังทั้งเจ็ดที่ซูอี้สังหารเมื่อวานนี้ มันมีทั้งวัตถุวิญญาณ เม็ดยา ศาสตรา ศิลาวิญญาณ และสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย
มูลค่ามหาศาลนับไม่ถ้วน
ท้ายที่สุด มันคือสมบัติที่เหล่าตัวตนขั้นวิถีวิญญาณทิ้งไว้ซึ่งย่อมไม่ธรรมดา
เมื่อเห็นสิ่งของทั้งหลาย ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นผู้ลงมือไปตามเก็บสินสงครามเหล่านี้ด้วยตนเอง”
จักรพรรดิเซี่ยหัวเราะอย่างเบิกบานและกล่าวว่า “เนื่องจากสหายเต๋าเป็นผู้เอ่ยปาก ข้าย่อมนิ่งเฉยไม่ได้อยู่แล้ว”
เห็นชัดว่าวันนี้จักรพรรดิเซี่ยผู้ยิ่งใหญ่อารมณ์ดี ใบหน้าของเขาผ่องใสราวกับนกที่โบยบิน
ทว่าหากพิจารณาดู ด้วยความพ่ายแพ้ของขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดนั้น ขณะนี้ยังจะมีขุมกำลังใดในทวีปคังชิงอีกบ้างยังกล้าที่จะยั่วยุราชวงศ์เซี่ย?
หาได้กล่าวเกินจริงไม่ หากจะบอกว่านับจากนี้ด้วยชื่อของซูอี้ ขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดในโลกจะต้องเคารพราชวงศ์เซี่ยอย่างน้อย ๆ ก็สามส่วน!
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดจึงเอ่ยเตือนอีกฝ่าย “ข้าจะไปในไม่ช้านี้แล้ว ในอนาคตท่านจะต้องพึ่งพาตัวเองเอาตัวรอดในโลกที่วุ่นวายไม่แน่นอนนี้”
จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “ขอไม่ปิดบังต่อสหายเต๋า เซี่ยผู้นี้รู้อยู่แก่ใจมานานแล้ว ว่าด้วยพรสวรรค์อันเลิศล้ำไร้ผู้ใดเทียบ สหายเต๋าย่อมไม่อยู่ในทวีปคังชิงตลอดไปอย่างแน่นอน”
หลังจากหยุดชั่วคราวเขาก็พูดต่อ “ทว่าสหายเต๋าอย่าได้กังวล ไม่ว่าอนาคตสหายเต๋าจะไปยังที่ใด เซี่ยผู้นี้จะไม่มีวันลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของสหายเต๋าตราบชีวิตจะหาไม่!”
เสียงเอ่ยประโยคนี้ดังก้องกังวาน
จากนั้นชายผู้มีอำนาจที่สุดในต้าเซี่ยก็โค้งกายให้กับซูอี้อย่างจริงจัง
เมื่อเห็นฉากนี้เวิงจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็โค้งคำนับอย่างรวดเร็วเพื่อขอบคุณซูอี้เช่นกัน
ซูอี้โบกมือและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าเช่นนี้ เอาเป็นว่าหลังจากนี้เมื่อข้าจากไป พวกท่านก็ช่วยดูแลมิตรรอบกายของข้าให้ด้วยก็พอ”
จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข
…
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
สถานการณ์โลกก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน
ที่มั่นเดิมของตระกูลหวนเผ่ามารถูกปิดล้อมและถูกทำลายโดยขุมกำลังมากมายในชั่วข้ามคืน ตระกูลที่ซึ่งเคยเป็นอันดับหนึ่งของฝ่ายมารเมื่อสามหมื่นปีก่อนล่มสลายลงแล้วอย่างสมบูรณ์
ไม่นานหลังจากนั้น สำนักผลาญตะวันก็สลายตัวและเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างหนีกระจัดกระจายไปทั่วโลก เหล่าผู้ฝึกตนที่โลภในสมบัติและมรดกของพวกเขาถือว่าเหล่าศิษย์ของสำนักผลาญตะวันเป็นเป้าหมายแห่งการไล่ล่าอันดับต้น
สำนักวิถีสุญญะและสำนักฌานกระจ่างจิตเดินตามรอยเท้าของตระกูลหวนเผ่ามาร พวกเขาถูกทำลายตามลำดับโนเวลพีดีเอฟ
นี่คือความโหดร้ายของครรลองแห่งโลกการฝึกตน
โลกนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้คนที่ตกหลุมเพลิง
ต่อให้เป็นเจ้าป่า ทว่าเมื่อใดที่มันหมดแรงไร้กำลัง เมื่อนั้นชะตากรรมของมันถูกกำหนดให้กลายเป็นผู้ถูกล่า!
ทางด้านของขุมกำลังจากต่างแดน หอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้าง และสำนักมารแปรดารา ทั้งสามได้อพยพออกจากทวีปคังชิงและหายไปอย่างสมบูรณ์
ขณะเดียวกัน
มหาขุมกำลังโบราณที่เหลืออยู่เช่นคีรีดาบเมฆาเร้น โถงวิญญาณหยินทมิฬ และตระกูลตงกัวต่างก็ประกาศตนเลือกที่จะก้มหัวให้ซูอี้
ทันทีที่ประกาศนี้แพร่ออกไป ทั้งโลกต่างตกตะลึง
ผู้นำหอเมฆาเขียวฟู่ชิงอวิ๋นถึงกับตัดสินใจกล่าวประกาศการเริ่มต้นของยุคใหม่โดยไม่สนใจความเห็นของเหล่าขุมกำลังน้อยใหญ่ที่ดำรงอยู่ ว่ายุคนี้คือยุคที่ผู้คนในใต้หล้าทั้งหมดต้องเคารพซูอี้แต่เพียงผู้เดียว!
ทว่าเมื่อพูดถึงเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงร์สีม่วง หอดาบศีตอุดรหรือตระกูลเยี่ย ช่วงเวลาต่อมากลุ่มเหล่านี้ก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลยในทวีปคังชิง
อันที่จริงเหตุผลนั้นคาดเดาได้ง่ายมาก
มหาทวีปคังชิงนั้นแปลกไม่เหมือนใคร ไม่มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิใดสามารถย่างกรายเข้ามาที่นี่ได้ ตัวตนสูงสุดที่ดำรงอยู่ที่นี่ได้มีเพียงขอบเขตของวงล้อวิญญาณ
ทว่าผู้คนขอบเขตวงล้อวิญญาณก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขนี้ขุมกำลังใดบ้างจะโง่ส่งคนมาตายเพิ่ม?
โลกหาได้สงบลงหลังจากขุมกำลังใหญ่ทั้งเจ็ดล่มสลาย แต่มันกลับกลายเป็นมีขุมกำลังใหม่จำนวนมากได้ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดหลังจากคืนฝนกระหน่ำ และอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วนได้เจิดจรัสสู่สายตาของผู้คนทั่วโลกทีละคน
แต่ซูอี้นั้นไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวายทั้งหลายของโลกเลย
…
วันที่สิบสามเดือนห้า
สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้หวายพลางเอ่ยขึ้น “นกกระจอกเทาที่อยู่กับเจ้า… ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”
อาคังที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วอย่างเศร้าสร้อย
นางพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ในตอนนั้นหลังจากที่เราออกจากเวิ้งเก้าดารา เราวางแผนที่จะมาเยี่ยมเยืยนสหายเต๋า แต่ทันทีที่เราก้าวออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุ เราถูกโจมตีทันทีโดยพัศดีผู้นั้นและระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด… นกกระจอกเทา…”
วันนี้เป็นวันที่อาคังเพิ่งฟื้นจากเตียง และหลังจากเหวินซินจ้าวอธิบายทุกอย่าง อาคังจึงเข้าใจว่านางได้รับการช่วยเหลือโดยซูอี้อย่างไร
ซูอี้กล่าวอย่างอบอุ่น “ข้าเสียใจกับเจ้าด้วย แต่ข้าได้สังหารพัศดีผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแก้แค้นให้นกกระจอกเทา”
หลังจากพูดจบซูอี้เผยฝ่ามือและเหรียญตราหนึ่งปรากฏขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าได้มาจากพัศดีผู้นั้น เจ้าจงตรวจสอบดูทีว่าจำลวดลายบนเหรียญนี้ได้หรือไม่”
เหรียญมีขนาดเท่าฝ่ามือ มันคล้ายสร้างจากโลหะแต่ทว่าไม่ใช่โลหะ เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก มีลวดลายรูปลักษณ์คล้ายเปลวเพลิงลุกโชนสีแดงโลหิตแปลกประหลาดสลักที่ด้านหน้าเหรียญ
ด้านหลังของเหรียญสลักคำว่า ‘สวรรค์เก้า’ ซึ่งถูกจารึกด้วยอักขระโบราณ และข้อความนั้นคมและเย็นเยียบราวกับใบมีด
ทันทีที่อาคังมองที่มัน นางเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้ารู้แค่ว่าพัศดีเคยเรียกตัวเองว่า ‘สวรรค์เก้า’ ซึ่งอาจเป็นชื่อของเขาหรือชื่อฉายา”
ส่วนลวดลายสีเลือดนี้ดูคล้ายแท่นบูชาเต๋ากำลังมอดไหม้ ทว่าข้าบอกที่มาของมันไม่ได้”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อ “จริง ๆ แล้วพัศดีผู้นั้นมีรอยแต้มเป็นรูปลักษณ์เดียวกับลวดลายนี้บนหน้าผากของเขาด้วย ข้าคิดว่านี่อาจเป็นสัญลักษณ์สำนักหรือขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็เป็นได้”
ซูอี้พยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูง ข้าได้ตรวจสอบเหรียญนี้แล้ว มันทำมาจากแม่เหล็กนิลที่หายากยิ่งและภายในยังมีอำนาจลึกลับบางอย่างสถิตอยู่”
เขาเล่นกับเหรียญตราและพูดต่อ “ถ้าการเดาของข้าถูกต้อง อำนาจลึกลับในเหรียญนี้น่าจะเป็น ‘กุญแจ’ ส่วน ‘กุญแจ’ นี้สามารถเปิดได้ที่ใดนั้นก็ยากที่จะพูด”
“อาจเป็นประตูเรือนจำบางแห่ง หรืออาจเป็นการเปิดใช้สมบัติบางอย่างที่ถูกผนึกไว้ แต่แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็นอย่างแรก เพราะอีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าพัศดี ดังนั้นหน้าที่ของเขาจึงต้องเป็นการปกป้อง ‘เรือนจำ’ หากไม่มีกุญแจเข้าออกก็คงจะผิดปกติ”
หลังจากฟังทั้งหมดนี้อาคังก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและพูดด้วยความประหลาดใจ “สายตาของสหายเต๋าช่างเฉียบแหลมยิ่ง ท่านสามารถคาดเดาเบาะแสได้มากมายเพียงจากเหรียญตราเท่านั้น”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวตอบ “มันเป็นแค่การคาดเดา”
เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ในเวลานั้นเพื่อช่วยอาคังเขาจึงต้องฆ่าพัศดีด้วยการโจมตีอย่างรวดเร็ว
ไม่เช่นนั้นหากจับเป็นอีกฝ่ายได้เขาคงไม่ต้องมานั่งเดาแบบนี้
อาคังพูดอย่างจริงจัง “แต่ข้ารู้สึกว่าการคาดเดาของสหายเต๋า เหมาะสมและสมเหตุสมผล มันไม่น่าจะห่างไกลจากความจริงสักเท่าใดนัก”
คำพูดของหญิงสาวเต็มไปด้วยการยอมรับและความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ
“สหายเต๋าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เหรียญตรานี้ของสวรรค์เก้าจะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าและออกจากทวีปคังชิง?”
อาคังครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ที่นี่คือเวิ้งเก้าดารา และฉายาที่มีเลข ‘เก้า’ ของเขาก็ควรเกี่ยวกับการเป็นพัศดีที่ดูแลเวิ้งเก้าดารา?”
ซูอี้พยักหน้า “มีความเป็นไปได้เช่นนั้น”
คำว่า ‘สวรรค์เก้า’ อาจมีสองความหมาย
คำว่า ‘สวรรค์’ อาจหมายถึงขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังพัศดี
คำว่า ‘เก้า’ หมายถึงเวิ้งเก้าดาราที่พัศดีผู้นี้ดูแล!
หากการอนุมานนี้เป็นจริง เวิ้งดาราที่เหลืออีกแปดแห่งย่อมมีพัศดีอื่น ๆ ที่มีชื่อฉายาไล่เรียงลำดับเช่น ‘สวรรค์หนึ่ง’ ‘สวรรค์สอง’ และอื่น ๆ
ทันใดนั้นซูอี้ก็ส่ายหัวและพูดว่า “ข้ามั่นใจว่าเหรียญตรานี้ไม่ใช่กุญแจในการเข้าและออกจากเวิ้งเก้าดารา การผ่านเข้าออกเวิ้งเก้าดาราไม่ได้ยากเย็นถึงขั้นต้องยุ่งยากใช้เหรียญตราเช่นนี้”
สวรรค์เก้านั้นคือจักรพรรดิที่แท้จริงและมีความแข็งแกร่งเลิศล้ำ
เย่ซุ่นได้ต่อสู้กับอีกฝ่ายเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว และเขาได้เล่าเรื่องความแข็งแกร่งของสวรรค์เก้าให้ซูอี้ฟังเมื่อไม่นานมานี้
ยิ่งไปกว่านั้นซูอี้ยังสังเกตเห็นได้ด้วยตัวเองยามเมื่อเขาต่อสู้กับสวรรค์เก้าที่เมืองผีหลิงหลง
แม้ในขณะนั้นสวรรค์เก้าจะไม่สามารถต่อกรกับซูอี้ได้ แต่นั่นเป็นเพราะสวรรค์เก้าได้รับบาดเจ็บสาหัสมาอยู่ก่อนแล้วจนความแข็งแกร่งของมันลดลงอย่างมหาศาล ไม่ต่างจากหงส์อมตะที่ขนร่วงหมดตัว
แต่ถ้าหากเป็นสวรรค์เก้าที่อยู่ในสภาพพร้อมสูงสุด การที่ซูอี้จะฆ่าอีกฝ่ายให้สำเร็จได้นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นแล้วตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมผ่านเข้าออกเวิ้งเก้าดาราได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องใช้กุญแจใด ๆ แน่นอน
ในไม่ช้าซูอี้ก็เก็บเหรียญตราไป
สิ่งนี้ต้องมีความลับซ่อนอยู่แม้ตอนนี้อาจจะยังไม่ชัดเจน แต่ในอนาคตความจริงจะถูกเปิดเผย
“เจ้ามีแผนอะไรในอนาคต?” ซูอี้เอ่ยถาม
อาคังส่ายหัวและพูดด้วยสีหน้าอ้างว้าง “เมื่อข้าออกจากเวิ้งเก้าดารา เดิมทีข้าวางแผนที่จะมาหาเยี่ยมเยือนสหายเต๋าก่อน จากนั้นจึงจะออกไปสำรวจส่วนลึกของจักวาลพร่างดาวกับนกกระจอกเทาเพื่อสืบหาแหล่งที่มาของพลังต้องห้ามแห่งยุคโบราณ”
“ทว่าตอนนี้นกกระจอกสีเทาได้จากไปแล้ว และพลังชีวิตของข้าก็ลดลงอย่างมาก… ต่อให้ข้าอยากไปที่ส่วนลึกของจักวาลพร่างดาวมากเท่าใดมันก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว…”
ใบหน้าของนางขณะนี้เศร้าสร้อย แววตาของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนมองที่ใบหน้างดงามของอาคัง และพูดอย่างอบอุ่นว่า “ข้ามีข้อเสนอไม่ทราบว่าเจ้าอยากจะฟังหรือไม่”