บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 769: ตัวแปร
ตอนที่ 769: ตัวแปร
อาคังเงยหน้าขึ้นสบตากับซูอี้โดยไม่ตั้งใจ “ข้าก็อยากขอคำชี้แนะของสหายเต๋าเช่นกัน”
ซูอี้กล่าว “อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องสหายข้าอย่างลับ ๆ เมื่อข้ากลับมาในภายหน้า จะมาพาพวกเจ้าไปด้วยกัน”
อาคังถามอย่างตกใจ “สหายเต๋าวางแผนจะออกจากมหาทวีปคังชิงหรือ?”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ใช่ ในราว ๆ สามถึงห้าเดือนจากนี้ ข้าจะไปเยือนภูมิมืดมิดสักหน่อย”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “พวกเจ้าคงกระจ่างแก่ใจเช่นกันว่าหากไร้ต้นกำเนิดแห่งคังชิง มหาทวีปคังชิงจะเบ่งบานและถดถอยไปตามกาลเวลา สรรพชีวิตบนโลกนี้จะสูญสิ้นพลังและเหี่ยวเฉา แปรเปลี่ยนเป็นโลกอันพังทลาย”
แพขนตาของอาคังกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ “สหายเต๋าพูดได้ดีมาก ข้า… ข้าก็คาดว่าจะมีวันนี้เช่นกัน”
นาง นกกระจอกสีเทา และราชันย์ปีศาจพระสุเมรุล้วนแต่เป็นจิตวิญญาณซึ่งก่อเกิดในที่มาแห่งคังชิงทั้งสิ้น และพวกนางย่อมรู้ดีที่สุด
“อย่าท้อใจไป”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับแย้มยิ้ม “ในภายหน้า ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อดูว่า ‘เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง’ จะสามารถเปลี่ยนร่างพัฒนาได้อีกหรือไม่ หากต้นกำเนิดแห่งโลกใหม่ก่อเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เช่นนั้น มหาทวีปคังชิงก็ย่อมไม่ถูกทำลาย”
อาคังใจชื้นขึ้น นางกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวัง “ไม่ว่าสุดท้ายเจ้าจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ข้าก็ขอบคุณมาก”
กล่าวจบ หญิงสาวก็ลุกขึ้นขอบคุณซูอี้อย่างจริงจัง
นางรู้ดีกว่าใคร ว่ากว่าโลกในเมล็ดพันธุ์จะแปรเปลี่ยนตัวเองด้วยพลังชีวิตของต้นกำเนิดแห่งโลกไปเป็นต้นกำเนิดแห่งโลกาโดยแท้จริงได้นั้น ยากเย็นกว่าการพิสูจน์เต๋าขึ้นสู่การเป็นจักรพรรดิมากนัก!
ไม่เพียงต้องใช้เวลาบ่มเพาะแสนนาน แต่ยังต้องใช้ความเพียรและโอกาสไม่คาดฝันอีกมากมาย!
ดูเหมือนว่าแม้เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงนี้จะถูกส่งให้ถึงมือตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ มันก็อาจไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นต้นกำเนิดแห่งโลกได้โดยแท้จริงอยู่ดี
เช่นเดียวกัน อาคังก็ไม่ได้มั่นใจมากนักว่าซูอี้จะบรรลุถึงขั้นนี้ได้หรือไม่
ทว่านางก็เต็มใจรอ!
ขอเพียงมีความหวัง ก็ย่อมดีกว่าไม่มีเลย
สิ่งที่อาคังไม่ทราบก็คือ ชายหนุ่มตรงหน้านางอาจไม่ใช่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ
แต่หากมองทั่วหล้าฟ้าดินหาผู้ใดที่สามารถเพาะเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงได้ เกรงว่าคงไม่อาจหาผู้ใดเทียบเท่าเขาได้!
ควรค่าจดจำว่าซูอี้เพิ่งฟื้นความทรงจำในอดีตชาติได้เพียงปีเศษเท่านั้น
และการฝึกฝนของเขาก็แปรจากผู้ฝึกยุทธ์คนธรรมดามาสู่ตัวตนในวิถีวิญญาณแสนนานแล้ว!
ยามนี้ อำนาจต่อสู้ของเขาเรืองฤทธิ์เสียจนเป็นหนึ่งในโลกหล้า ไร้ผู้ใดเทียบ!
เขาบรรลุความสำเร็จในเส้นทางมหาวิถีอันน่าจดจำเช่นนี้ได้ในเวลาไม่ถึงสองปี ภายหน้า ขอเพียงเต็มใจทำ เขาก็ย่อมสามารถบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงให้กลายเป็นต้นกำเนิดแห่งโลกได้ก่อนที่มหาทวีปคังชิงจะมลายสูญ!
เพราะถึงอย่างไร มหาทวีปคังชิงยามนี้ก็อยู่ในช่วงจุติของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง และคงอีกนานกว่ามันจะเบ่งบานและร่วงโรยจนสิ้นสูญ
นี่ยังหมายความทางอ้อมได้อีกด้วยว่าซูอี้มีเวลามากมายในการทำเช่นนี้
“เช่นนั้นเจ้าเต็มใจรับการชี้แนะของข้าหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
อาคังตอบรับทันที
ซูอี้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ภายหน้าหลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจะดูแลเพื่อนพ้องของเขาในด้านสว่าง และอาคังจะพิทักษ์พวกเขาอย่างลับ ๆ ยากที่อันตรายทั่วไปจะเป็นภัยต่อชีวิตของญาติสนิทมิตรสหายเหล่านี้ได้
ท้ายที่สุดแล้ว ภายหน้าเขาก็ต้องเดินตามวิถีดาบของตนเอง เป็นไปไม่ได้หากจะคอยคุ้มครองคนรอบกายไปชั่วกาลนาน
…
วันที่สิบห้าเดือนห้า
ชายชราตาบอดกลับจากทะเลวิญญาณโกลาหล พร้อมด้วยฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ย หยวนเหิง เก๋อเฉียนและคนอื่น ๆ
นี่ย่อมเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับซูอี้ผู้อาศัยอย่างสมถะ ไม่ใส่ใจเรื่องราวในโลกหล้าโดยไม่ต้องสงสัย
คืนนั้นเขาจัดงานเลี้ยงฉลองกับเหล่าสหายเก่า และเมามายมาก
เช้าถัดมาเมื่อซูอี้ลืมตาขึ้น เขาก็พบฉาจิ่นที่ถูกผ้าแพรมัดดุจปลาหมึกอยู่บนร่างของเขา
ศีรษะของนางซุกแน่นกับข้อพับแขนของเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ เส้นผมสยายกระเซอะกระเซิง หายใจแผ่วดุจลูกแมว ริมฝีปากสีกุหลาบชุ่มฉ่ำชวนให้ลิ้มลอง
ซูอี้เบือนสายตาหนี จากนั้นพบว่าเรือนร่างอรชร ขาวดุจหิมะของฉาจิ่นเผยออกมาจากใต้ผ้าห่ม เรียวขาหยกพาดคร่อมอยู่บนร่างของเขา ส่วนหลังและสะโพกครึ่งหนึ่งที่เผยออกถูกแสงสว่างจากช่องแสงที่หน้าต่างโลมเลีย ยอดถันกลมกลึงตั้งตระหง่านภาคภูมิ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดนึกถึงความบ้าคลั่งเมื่อคืนวานขึ้นมามิได้
ด้วยความที่ห่างกายฉาจิ่นมานาน กอปรกับฤทธิ์สุราเมามาย คืนก่อนยามเขากำลังฝึกฝนคู่ เขาจึงไร้การยับยั้งและตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ กระทั่งลองกระบวนท่าซึ่งก่อนหน้านี้เขาต่อต้านอย่างมาก…
นี่คงเป็นผลของการไม่ได้พบพานแสนนานของคู่ข้าวใหม่ปลามัน
มันเกิดจากความรัก ความรักที่ไม่อาจหาสิ่งใดหยุดยั้ง
ความน่าเสียดายเดียวคือการบ้านฝึกฝนของชิงหว่านเมื่อคืนนี้ถูกเลื่อนออกไป…
ไม่ใช่เพราะซูอี้อู้ฝึก ทว่าเพราะชิงหว่านอายเกินไปต่างหาก
…
กาลเวลาผ่านวันแล้ววันเล่า
โลกภายนอกเปลี่ยนแปร
ชีวิตของซูอี้เป็นเฉกเช่นก่อน
ทว่า เมื่อมีฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ยและคนอื่น ๆ อยู่ด้วย สวนน้อยนภาเมฆจึงครึกครื้นยิ่งกว่ากาลก่อนมาก
ครั้งหนึ่ง เมื่อจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมาพบซูอี้ในสวนน้อยนภาเมฆ เขายังตะลึงค้างเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
ในอดีต คนสนิทของซูอี้มีเพียงเหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และชิงหว่าน ทั้งหมดสามคน
ทว่ายามนี้ เขาพบแล้วว่าซูอี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่เขาคิด
ชายหนุ่มผู้สูงส่งผู้นี้ ที่แท้ก็เป็นคนเจ้าสำราญ!
ทว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็ต้องยอมรับว่าสายตาของซูอี้ยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ
สาวงามรอบกายล้วนแล้วแต่เป็นนงคราญเลิศล้ำในโลกา บางผู้สดใสงดงาม บางผู้อรชรเย้ายวน บางผู้งามดุจภาพวาด และบางผู้ก็บริสุทธิ์เดียวดายเยี่ยงหิมะ…
นี่ยังทำให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยลอบยินดีที่บุตรสาวของเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับซูอี้ หาไม่… เรื่องคงน่ารำคาญอย่างจริงแท้
หากซูอี้รับรู้สิ่งที่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยคิด เขาต้องยิ้มเยาะเป็นแน่
มีสตรีรายล้อมรอบกายเขามากมายก็จริง แต่ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคู่วิถีของเขาจริง ๆ นั้นมีเพียงชิงหว่านและฉาจิ่นเท่านั้น
แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าซูอี้พอใจแล้ว
แต่เรื่องทำนองนี้ระหว่างชายหญิงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะชอบพอหญิงงามมากเพียงไร แต่อยู่ที่ความเข้ากันได้ทางอารมณ์ระหว่างสองฝ่าย
เหมือนเช่นยามที่เขาปฏิบัติต่อเหวินหลิงเสวี่ย เขาปฏิบัติต่อหญิงสาวอย่างทะนุถนอมเยี่ยงน้องสาวเสมอ
ซูอี้ไม่ได้กำแหงเหิมเกริมขนาดที่ต้องการหญิงงามทุกผู้ในโลกหล้า ด้วยนั่นจะต่างอันใดกับม้าพ่อพันธุ์?
เขา ซูเสวียนจวินมิใช่คนเจ้าสำราญเยี่ยงนั้น!
วันที่สิบเก้าเดือนห้า
“เลื่อนขั้นแล้ว”
ในห้อง ซูอี้ตื่นขึ้นจากภวังค์และผ่อนลมหายใจยาว
ณ วันที่สิบเอ็ดเดือนสี่ เขาได้ก้าวข้ามมหาภัยพิบัติและเลื่อนขอบเขตนอกนครหลวงจิ๋วติ่ง เข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณอย่างราบรื่น
ยามนี้ หลังจากเวลาผ่านไปราวเดือนเศษ การฝึกฝนของเขาก็มาถึงขั้นกลางของขอบเขตสยายวิญญาณ!
กล่าวไม่ได้ว่ามันเร็ว ทุกสิ่งค่อยเป็นค่อยไปตามกาล
‘ขั้นกลางของขอบเขตสยายวิญญาณดูจะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ ทว่าสำหรับข้า ความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นราว ๆ สามส่วน เกรงว่าสมบัติลับซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำคงยากจะทำร้ายข้าได้แล้ว…’
ซูอี้คิดในใจ
เขาไร้คู่เปรียบในวิถีวิญญาณบนโลกหล้าทุกวันนี้ และย่อมเทียบตนเองกับสิ่งของระดับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
วิถีลึกล้ำแบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ นั่นคือหยั่งเห็นลึกล้ำ รู้แจ้งลึกล้ำ และสานพันธะลึกล้ำ
ผู้ที่ก้าวสู่วิถีลึกล้ำก็ยังเรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิ
จักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำดูจะเป็นเพียงขอบเขตแรกในวิถีลึกล้ำ ทว่าถึงอย่างไร คนผู้นั้นก็เป็นจักรพรรดิ ไม่อาจเทียบกับตัวตนในวิถีวิญญาณได้เลย
ในเก้ามหาแดนดิน วิถีลึกล้ำเป็นดุจสรวงสวรรค์ และจักรพรรดิก็เหมือนดั่งเทพ!
ตัวตนใต้ระดับจักรพรรดิเหมือนเพียงมดแมลง!
ในสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนในเก้ามหาแดนดิน จักรพรรดิคือตัวตนอันน่าหวาดหวั่นในวิถีลึกล้ำ แต่ละคนต่างกุมพลังทะลวงสวรรค์สะบั้นพิภพ สยบแปดทิศ
หากกลายเป็นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ เพียงหนึ่งนิ้วแตะ จะสามารถสังหารทุกตัวตนภายใต้วิถีลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย!
ในฐานะผู้มีอดีตชาติเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ไม่มีผู้ใดรู้จักพลังของจักรพรรดิได้ดีเท่าเขา
และเพราะความเข้าใจนี้เอง เขาจึงไม่ถือว่าตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิเป็น ‘เทพเจ้า’ อันไม่อาจสั่นคลอนเหมือนเหล่าผู้ฝึกคนอื่น ๆ ในโลกหล้า
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในสายตาของซูอี้ ตัวตนเช่นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำก็สามารถสั่นคลอนได้เช่นกัน!
เหมือนเช่นเขาในยามนี้ ไม่ต้องยืมปราณของดาบเก้าคุมขังแม้แต่น้อย ก็สามารถใช้การฝึกฝนเพียงขอบเขตสยายวิญญาณมาต่อกรเสี้ยวพลังของจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำได้!
เสี้ยวพลังที่ว่านี้ไม่ใช่เพียงยันต์ลับซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ แต่ยังรวมถึงตราเจตจำนงของจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำและอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันด้วย
และจากการคาดเดาของซูอี้ เมื่อเขาก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ เขาก็น่าจะมีพื้นฐานพอจะต่อกรกับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำได้แล้ว!
เคร้ง!
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ซูอี้ก็เรียกดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ออกมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ในช่วงเวลานี้ เขาใช้สมบัติวิญญาณมากมายเพื่อหล่อหลอมดาบขึ้นใหม่ อำนาจของมันก็แตกต่างจากกาลก่อนแล้ว
กระทั่งจิตวิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลกซึ่งถูกผนึกในใบดาบยังถูกแปรเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้ง และวิญญาณที่แตกสลายของมันก็ได้รับการฟื้นฟูอัตตาขึ้นมา
หากดำเนินไปอีกสักขั้น นกกระจอกเพลิงยมโลกจะสามารถก่อเกิดร่างจริงขึ้นได้!
จวบจนยามนี้ นกกระจอกเพลิงยมโลกได้ยอมสยบอย่างสมบูรณ์ต่อซูอี้แล้ว และกระทั่งเทิดทูนซูอี้ยิ่งนัก
มันไม่ได้โง่ นับแต่ยามที่มันถูกซูอี้ปราบ มันก็ได้เห็นอำนาจวิเศษเหลือเชื่อและวิธีการของซูอี้มามากนัก กอปรกับการเปลี่ยนแปลงของตัวมันเอง ในภายหน้าหากจะพิสูจน์เต๋าเข้าสู่จักรพรรดิก็คงยังมีหวัง?
น่าเสียดายที่ซูอี้ไม่เคยยอมรับให้มันเป็นข้ารับใช้ และปฏิบัติกับมันดุจตัวตนเยี่ยงจิตวิญญาณดาบเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้นกกระจอกเพลิงยมโลกกระวนกระวาย แต่ไม่อาจทำสิ่งใด
‘ก่อนถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณ พลังของดาบเล่มนี้มีมากพอแล้ว’
ซูอี้ลอบคิด
ทันใดนั้น เสียงเคาะก็ดังขึ้นที่ประตูสวนน้อยนภาเมฆ
ไม่นานนัก เหวินซินจ้าวก็มารายงานว่าอารักษ์แห่งโถงหลงลืม เสวี่ยเย่ได้มาขอพบเขา
ซูอี้ลุกขึ้น และออกมาที่สวนในทันที
“สหายเต๋าซู ข้ามาที่นี่ภายใต้คำสั่งนักบวชลำดับเก้าเพื่อแจ้งสหายเต๋าว่าเราจะจากที่นี่ไปในอีกเจ็ดวัน หากสหายเต๋าต้องการไปกับเรา โปรดเตรียมตัวล่วงหน้าด้วย”
เมื่อเห็นซูอี้ เสวี่ยเย่ก็ก้าวออกมาทักทาย จากนั้นก็เข้าประเด็นทันที
ซูอี้กล่าวอย่างตกใจ “ไม่ใช่พวกเจ้าบอกว่าจะจากไปในอีกครึ่งปีหรือ? นี่เพิ่งหนึ่งเดือน หรือจะเกิดสิ่งใดขึ้น?”
เสวี่ยเย่อธิบายอย่างอดทน “ตอบสหายเต๋าตามตรง เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้อาวุโสจากภูมิมืดมิดได้ช่วยเราให้ติดต่อกับสำนัก ซึ่งผู้อาวุโสจากสำนักต่างเห็นพ้องให้ใช้พลังค่ายกลของสำนักเพื่อพาเรากลับ และตั้งเวลาไว้เจ็ดวัน”
ซูอี้อึ้งไป และถามอย่างครุ่นคิด “ผู้อาวุโสที่เจ้าว่าอยู่หนใด?”
ตัวตนที่สามารถติดต่อกับโถงหลงลืมในภูมิมืดมิดได้ทั้งที่อยู่บนมหาทวีปคังชิงย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ!