บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 77 คุกเข่า หรือตาย
ตอนที่ 77: คุกเข่า หรือตาย
ต้าโจวเคยมีเหตุการณ์ที่ทำเอาทั่วหล้าสั่นสะท้านมาก่อน
ชายหนุ่มผู้หนึ่ง เข้าสู่ราชวงศ์เพื่อกลายเป็นราชบุตรเขย แต่เพราะไม่อาจทนต่อข้อจำกัดของกฎราชวงศ์ได้ จึงได้พยายามยกเลิกการแต่งงาน ส่งผลให้มีคำสั่งจากราชวงศ์ ให้ใช้ห้าม้าแยกศพ!
นี่คือชะตากรรมของบุตรเขยแต่งเข้าบ้าน
ในสายตาของตระกูลเหวิน ไม่ว่าตอนนี้ซูอี้จะดีแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นลูกเขยของตระกูลเหวิน ชะตากรรมของซูอี้จึงตกอยู่ในมือของตระกูลเหวินอย่างมั่นคง
ต่อให้ประหารซูอี้เวลานี้ ย่อมไม่มีใครกล่าวโทษตระกูลเหวินได้
ดังนั้น ต่อให้ซูอี้จะกลับมาโด่งดังขึ้นแล้ว หรือซูอี้ผู้นี้จะมีค่าต่อฟู่ซาน หรือเป็นที่โปรดปรานของหวงอวิ๋นชง แม้กระทั่งคุณหนูตระกูลหยวนคนนั้นยังเคารพนับถือเขา เหวินฉางจิ้งก็ย่อมไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
นี่คือเรื่องของตระกูลเหวิน!
เหวินฉางจิ้งไม่เชื่อว่าฟู่ซาน หวงอวิ๋นชง รวมถึงบุคคลอื่นจะกล้าแตกหักกับตระกูลเหวิน เพียงเพราะทำเพื่อซูอี้
แน่นอน นั่นคือผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในกรณีเลวร้ายที่สุด
เหวินฉางจิ้งมั่นใจ ภายใต้การข่มขู่เช่นนี้ ชายหนุ่มที่อายุเพียงสิบเจ็ดปีเช่นซูอี้ ย่อมไม่สามารถทานทนต่อการกดขี่ข่มเหงเช่นนี้ได้ และท้ายที่สุดก็มีแต่ต้องยอมรับเงื่อนไขแต่โดยดี
บรรยากาศในห้องโถงอึดอัด เต็มไปด้วยความเย็นเยือก
ทว่าซูอี้ไม่คล้ายกับสังเกตเห็น และเลือกที่จะถอนหายใจยาวออกมา “หมายความว่า ถ้าข้าไม่ตกลง เจ้าก็คงไม่ยินยอมใช่หรือไม่?”
“ซูอี้ เจ้าควรจะทราบดีว่ามันขมขื่นแค่ไหนเมื่อตอนที่เจ้าอยู่ในจุดต่ำสุด ในเมื่อตอนนี้กลายเป็นผู้บ่มเพาะอีกครั้ง เจ้าควรจะรู้จักหวงแหนช่วงเวลานี้ไม่ใช่หรือ? ข้าแนะนำให้เจ้าก้มหัวโดยไว อย่าทำให้ผู้นำตระกูลโกรธา!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวอย่างเย็นชา
ใครบางคนถอนหายใจ “พ่อหนุ่มเอ๋ย จงจำประโยคนี้ไว้ จงรู้จักการก้มหัว ชีวิตจะได้ยืนยาว หากทำตัวหยิ่งทะนง ชะตาเจ้าคงไม่พ้นตายตั้งแต่ยังเยาว์”
“ซูอี้ เจ้าไม่พอใจด้วยเหตุอันใด? การได้เป็นผู้พิทักษ์ผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน นับว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมแล้ว อย่าทำตัวโง่เขลาให้เรื่องบานปลาย!”
ใครบางคนพ่นลมออกจมูกเย็นชา
ตอนนี้เหวินเจวี๋ยหยวนก็ลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนเย้ยหยันออกมา “ซูอี้ ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็ปฏิเสธเสีย แต่เชื่อข้าได้เลย เจ้ามีชะตาที่จะไม่ได้เดินออกจากห้องโถงนี้อย่างครบสามสิบสองแน่!”
เขาทำตัวอวดดียิ่ง ในใจเอ่อล้นด้วยความสุขี
อย่างไรก็ตาม สายตาของซูอี้กวาดมองคนรอบข้าง สีหน้าโอนอ่อนลง ความอัดอั้นสุดแสนที่สั่งสมมากลับกลายเป็นความชินชา
เขามองดาบสุดแดนดินในมือ จากนั้นยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ในเมื่อเหวินเจวี๋ยหยวนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ขออธิบายให้กระจ่างแจ้งบ้าง ตราบที่ตระกูลเหวินกล้าลงมือ ที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยโลหิตในวันนี้”
ถึงแม้เขาจะกำลังยิ้ม แต่ผู้คนอื่นต่างรู้สึกว่าซูอี้เย็นชาล้ำลึก
ทุกคนรู้สึกเย็นเยือกไปถึงข้างใน
เหวินฉางจิ้งหงุดหงิดเต็มที ตะโกนว่า “บัดซบ! พาไอ้สารเลวนี่ออกไป เอาไปขังไว้ในคุกใต้ดิน เมื่อรู้จักการก้มหัวและสำนึกผิดเมื่อไร เมื่อนั้นค่อยปล่อยออกมา!”
“ถ้ากล้าขัดขืน ฆ่าได้เลย!”
สิ้นเสียงดังกล่าว กลุ่มผู้คุ้มกันพร้อมดาบพุ่งเข้ามาในห้องโถง ขนาบข้างซูอี้เอาไว้
ทุกคนตื่นตัวและระแวดระวัง
พวกเขาล้วนรู้ดี ซูอี้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนพิการเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นบุคคลโดดเด่นที่ชนะอันดับหนึ่งในการประลองประตูมังกร
“ท่านเขย ผู้นำตระกูลตบรางวัลด้วยตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้แล้ว ทำไมถึงยังปฏิเสธอีก? ข้าแนะนำให้ท่านใจเย็น อย่าทำให้เรื่องมั่นยุ่งยากเกินไป ไม่อย่างนั้นดาบไม่มีตา มันจะทำร้ายท่านได้ ถึงตอนนั้นอย่าโทษข้าเด็ดขาด”
หัวหน้าผู้คุ้มกันกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ขณะพูด พวกเขาล้อมซูอี้ทีละก้าว
“จะลองงั้นหรือ?”
ดวงตาของซูอี้สงบนิ่ง
“จัดการ!”
ใบหน้าของหัวหน้าผู้คุ้มกันหมองหม่น เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ก่อนเข้าโจมตีพร้อมคนอื่นอย่างอาจหาญ
ผู้คุ้มกันมากกว่าสิบคนล้วนเป็นหัวกะทิของตระกูลเหวิน คนที่อ่อนแอที่สุดมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสาม ‘ขัดเกลาเส้นเอ็น’ ตอนนี้พวกเขาได้ลงมือด้วยกำลังทั้งหมด แสงและเงาของคมดาบวูบไหวไปมา น่าพรั่นพรึงยิ่งนัก
ชิ้งงงง!
ซูอี้ยืนนิ่ง ดาบสุดแดนดินถูกดึงออกจากฝักไผ่สีเขียว ดาบส่งเสียงร้องชัดเจน ไม่ต่างจากเสียงคร่ำครวญอันกระหายเลือด
ด้วยการสะบัดข้อมือรวดเร็วดั่งสายฟ้า ดาบสุดแดนดินจึงเหวี่ยงออกไปเป็นเงาดาบวงกลม
ตอนนั้นเอง ราวกับประกายดาบนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น มันทิ่มแทงออกไปทั้งสิบทิศ
ไร้เงา เรียบง่าย ไร้ซึ่งประกายแสง คงอยู่ทุกที่ ลึกล้ำ เหนือต้าน ครอบคลุมทุกหนแห่ง
ดาบของเขาปกคลุมทั้งสิบทิศ ราวกับมีฤทธิ์ดึงสวรรค์ร่วงหล่นสู่ยมโลก!
นี่คือ ‘ทัศนาสิบทิศ’ ของเพลงดาบสุดปรีดี
ความหมายของมันคือ ‘ดาบเดินทางสิบทิศ ระยะทางไร้ซึ่งความหมาย’
ในชาติที่แล้ว ทันทีที่ใช้กระบวนท่าดาบนี้ออกไป มันจะสามารถทะลวงผ่านมิติได้ไม่มีสิ้นสุด และฆ่าศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายแสนลี้ได้ในพริบตา
ตอนนี้ ถึงแม้เขาจะไม่มีพลังเกื้อหนุนให้มันสำแดงเดชได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่แค่เพียงการออกดาบตามกระบวนท่า อำนาจของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะในอาณาจักรโจวจะทานรับไหว
เคร้ง!
ดาบยาวในมือของผู้คุ้มกันที่วิ่งมาข้างหน้าถูกฟาดฟัน ทำเอาข้อมือกระดูกขวาหัก ประกายดาบแทงเข้าหน้าอก ลึกเข้าไปถึงสามชุ่น เลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกมา
เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนทรุดลงกับพื้น
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
พริบตาต่อมา เสียงปะทะอันหนักแน่นและรุนแรงก็ดังก้อง อาวุธในมือของผู้คุ้มกันที่เหลือล้วนกระเด็นออก
ตำแหน่งตรงกลางอกของพวกเขา ล้วนถูกดาบแทงลึกสามชุ่น เลือดกระเซ็น ทุกคนตกตะลึงจนถอยออกมา
โต๊ะเก้าอี้ รวมถึงเครื่องเรือนในห้องโถงหลักล้วนแตกหัก กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
เพียงพริบตา ผู้คุ้มกันมากกว่าสิบคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและพ่ายแพ้!
เมื่อมองไปทางฝั่งซูอี้อีกครั้ง เขายังยืนอยู่กับที่ ชุดเป็นระเบียบ ไม่มีรอยขีดข่วนแต่อย่างใด
มีเพียงดาบในมือของเขาเท่านั้น ที่มีหยดเลือดละเอียดหยดลงกับพื้น
สีแดงสดอันเจิดจ้า สาดส่องทีละน้อย
“ถ้าแค่ดาบเดียวยังหยุดไม่ได้ ก็อย่ามาสะเออะทำตัวน่าสมเพชต่อหน้าข้า”
ซูอี้ส่ายหน้า
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาด หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ทั้งร่างของพวกเขาล้วนสั่นสะท้าน ตำแหน่งบาดแผลที่พวกเขาได้รับล้วนอยู่ที่เดียวกัน พวกเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ว่าซูอี้เพิ่งแสดงความเมตตาออกมา?
ถ้าซูอี้อยากฆ่าจริง เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงตายไปแล้ว!
ทั่วทั้งห้องโถงต่างตกอยู่ในความโกลาหล
บุคคลใหญ่โตทั้งหมดในตระกูลเหวินมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนต่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด
“สารเลว เจ้ากล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร!”
“ซูอี้ เจ้าบังอาจมาก อยากจะฝืนชะตาฟ้าลิขิตหรือ?”
“พยายามจะบังคับให้ข้าสั่งประหารชีวิตงั้นหรือ!!”
…เหวินฉางจิ้ง เหวินฉางชิงและบุคคลใหญ่โตจำนวนมากต่างโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่อยากเชื่อตาตัวเอง
ไม่มีใครคาดคิด ว่าลูกเขยอย่างซูอี้จะกล้าขัดขืน!
แม้แต่เหวินเจวี๋ยหยวนยังอ้าปากกว้าง ในหัวสับสนไปหมด
เขาเชื่อมาตลอด ว่าซูอี้คือชายหนุ่มที่เหมือนกับเขา ต่อให้จะเต็มไปด้วยความกระหายเลือด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการคุกคามจากบุคคลใหญ่โต เขาก็มีแต่ต้องจำยอมก้มหัวให้
ใครจะคาดคิด… ว่าซูอี้จะกล้าลงมือต่อหน้าบุคคลใหญ่โตทั้งหลายแห่งตระกูลเหวินที่อยู่ในห้องโถงตระกูลแห่งนี้!
อย่าว่าแต่ในเมืองกว่างหลิง ทั้งอาณาจักรต้าโจว คนหนุ่มสาวมีใครบ้างจะกล้าทำเช่นนี้?
นี่ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย!
“เมื่อครู่ข้าไม่ได้ฆ่าคน แต่ถ้ายังทำตัวดื้อรั้นอีก ข้าจะฆ่าสักสองสามคน เชือดไก่ให้ลิงดูน่าจะมีประโยชน์ไม่ใช่น้อย” ซูอี้กล่าวอย่างสงบ
หลังจากกล่าวจบ ใบหน้าของเหวินฉางจิ้งซีดเซียวและโกรธเกรี้ยว ก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉางชิง ไปจัดการไอ้สารเลวนี่ซะ!”
“เชื่อมือข้าได้เลย!”
เหวินฉางชิงตอบรับอย่างเต็มใจ เขาสาวเท้าออกมา
เพียงพริบตา สายตาทั้งหมดพลันจับจ้องมายังเหวินฉางชิง
ในตระกูลเหวิน ระดับการบ่มเพาะของเหวินฉางชิงเทียบเท่ากับผู้นำตระกูล เขาคือผู้บ่มเพาะขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ และยังอยู่ในขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ หรือก็คืออยู่ขั้นกลางของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
เบิกชีพจรคืออะไร?
การบ่มเพาะขั้นเบิกชีพจร คือ การเปิดสิบสองจุดชีพจรทั่วร่าง แต่ละจุดชีพจรที่เปิดออก จะทำให้กำลังวังชาของคนผู้นั้นเพิ่มขึ้นมหาศาล
และเหวินฉางชิงในตอนนี้เปิดจุดชีพจรออกแล้วแปดจุด!
ในบรรดาคนที่อยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณทั่วเมืองกว่างหลิง เขานับได้ว่าอยู่ในแนวหน้า
ขณะนี้ ดวงตาของเหวินฉางชิงเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน ลมปราณและโลหิตทั่วร่างพลุ่งพล่านราวกับแม่น้ำแยงซี กลิ่นอายพวยพุ่งอย่างมั่นคง เสื้อนอกสั่นไหวไปมา
มันคือพลังของขอบเขตรวบรวมลมปราณ แรงกดดันดังกล่าวทำให้หลายคนที่อยู่บริเวณโดยรอบหายใจยากลำบาก และขยับไปไหนไม่สะดวก
“อารอง ท่านอย่าได้ออมแรงกับไอ้สารเลวตัวนี้!”
เหวินเจวี๋ยหยวนกัดฟันก่อนอ้าปากตะโกน
เหวินฉางชิงพยักหน้า สายตาคมปลาบราวกับเหยี่ยว จับจ้องมายังซูอี้
ริมฝีปากของเขา กล่าวประโยคออกมาอย่างแผ่วเบา
“คุกเข่า หรือตาย!”
เสียงราวกับฟ้าร้อง ทั่วห้องโถงสั่นสะท้าน ทำให้หูของผู้คนอื้ออึง
พลังนั่นสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ!
ซูอี้เฉยชาเหมือนเดิม แต่มีจิตสังหารอันเลือนรางอยู่ในดวงตา
เหลวไหล!
เขาก้าวมาข้างหน้า ถือดาบสุดแดนดิน แทงออกไปในหนึ่งดาบ
รนหาที่ตายแท้ ๆ!
สายตาของหลายคนเผยความเหยียดหยันและดูถูก คนที่อยู่ขอบเขตโคจรโลหิต กล้าโจมตีใส่ขอบเขตรวบรวมลมปราณที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ต่างอะไรกับการเอาไข่กระแทกหิน เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายเด่นชัด!
เหวินฉางชิงพ่นลมออกจมูกเย็นชา มือทั้งสองข้างยกขึ้น
กรงเล็บอินทรี!
ตระกูลเหวินมีเคล็ดวิชาระดับสูงอยู่ไม่น้อย วิชากรงเล็บอินทรีนี้แปลงฝ่ามือกับนิ้วให้อันตรายราวกับดาบคมปลาบ ซึ่งสามารถแยกเหล็ก ฉีกพยัคฆ์และทลายหินได้!
หากผู้บ่มเพาะธรรมดาถูกสัมผัส เนื้อหนังจะถูกฉีกขาด แม้กระทั่งร่างกายก็ถูกฉีกทึ้ง เป็นจุดจบที่ร้ายแรง เต็มไปด้วยการนองเลือด
เคร้ง!
กรงเล็บอินทรีปะทะคมดาบ ประกายไฟกระจายทุกหนแห่ง
ดาบสุดแดนดินถูกหนีบอย่างมั่นคง ราวกับงูที่ถูกกรงเล็บของอินทรีคว้าจับได้
ฉากนี้ ทำให้ผู้ชมทุกคนปรบมือด้วยความทึ่ง
ริมฝีปากของเหวินฉางชิงเผยร่องรอยเหยียดหยันเช่นกัน
แต่ในอึดใจต่อมา ดาบสุดแดนดินพลันแผดเสียงร้องอันเร่าร้อนออกมา พลังไร้ขอบเขตอันน่าสะพรึงปะทุขึ้นจากปลายดาบ นิ้วของเหวินฉางชิงแตกหัก ไม่ต่างจากเขื่อนกั้นน้ำแตก
คมดาบที่เป็นอิสระจากพันธนาการราวกับสายฟ้า มันแทงใส่ข้างหน้าด้วยพลังทำลายล้าง
แย่แล้ว!
สีหน้าของเหวินฉางชิงเปลี่ยนไปมาก เมื่อกำลังจะหลบ มันก็สายไปแล้ว ดาบสุดแดนดินทะลวงหน้าอก ทะลุไปถึงแผ่นหลัง
ดาบแทงทะลุ!
ทั่วพื้นที่เงียบสงัด
เมื่อครู่ทุกคนยังปรบมือ แต่เมื่อเห็นฉากนองเลือดนี้ พวกเขาอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้านไปไม่หยุด
“นี่…”
เหวินฉางชิงคล้ายกับไม่อยากเชื่อเช่นกัน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ในการโจมตีแรก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเจ้าหนุ่มขอบเขตโคจรโลหิตหรือ!?
พรวด!
ซูอี้ชักดาบกลับ กลุ่มโลหิตร้อนทะลักออกมา เหวินฉางชิงพ่นลมหายใจออก ร่างสั่นไหว ก่อนล้มลงกับพื้น
ดาบเล่มนี้แทงห่างจากหัวใจไปเพียงสองชุ่น และบาดแผลก็สาหัสนัก ความเจ็บปวดดังกล่าวทำให้ดวงตาของเหวินฉางชิงกลายเป็นสีดำ ใบหน้าชราซีดเผือด เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากราวน้ำตก
“คุกเข่าหรือตาย?”
ร่องรอยหยอกล้อปรากฏที่มุมปากของซูอี้ “การบ่มเพาะเท่าหางอึ่ง แต่วาจากลับใหญ่โตดั่งหางมังกร น่าสมเพชนัก”
จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองทั้งห้องโถง ก่อนเอ่ยถามว่า “ใครอยากทดสอบอีกว่าดาบของซูอี้ผู้นี้คมหรือไม่?”
ทุกคนสั่นงันงก ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ไม่มีใครกล้าสบตาซูอี้
เหวินเจวี๋ยหยวนหวาดกลัวจนสั่นสะท้าน เขาแทบจะล้มทั้งยืน
ตัวตนของขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นเบิกชีพจร หนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเหวิน กลับถูกเล่นงานจนสาหัสด้วยดาบเดียว!
นี่มันฝันร้าย!!
“ซูอี้ เจ้าอยากก่อสงครามกับตระกูลเหวินงั้นหรือ!?”
ผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้งสูดหายใจเข้า ก่อนถามออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด