บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 770: จักรพรรดิ!
ตอนที่ 770: จักรพรรดิ!
เสวี่ยเย่ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าจงใจปิดบัง แต่ข้าไม่รู้แม้แต่นามของผู้อาวุโสท่านนั้น”
เขากล่าวเสริมราวกับกลัวซูอี้ไม่เชื่อ “ไม่นานนี้เมื่อผู้อาวุโสมาพบเรา เขากล่าวว่าตนก็มาจากภูมิมืดมิด เป็นคนรู้จักเก่าก่อนของผู้อาวุโสลำดับสามแห่งโถงหลงลืมของข้า และหวังว่าจะได้ใช้พลังของโถงหลงลืมเพื่อกลับสู่ภูมิมืดมิด”
“ทว่ายามที่เราถามถึงตัวตนและที่มาของเขา เขากลับไม่อยากพูดเกี่ยวกับมัน เพียงหยิบบัญญัตินทีหลงลืมออกมา และบอกว่าผู้อาวุโสสามของสำนักข้ามอบมันให้เขา”
“นักบวชลำดับเก้าเห็นมันกับตา และบัญญัตินทีหลงลืมนั้นก็มาจากผู้อาวุโสสามจริง ๆ ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้จึงกล่าวว่า “แล้วเจ้าก็เชื่อเขาหรือ?”
เสวี่ยเย่ส่ายหน้าและกล่าวต่อ “เพียงแค่ฟังหูไว้หู ทว่าเมื่อผู้อาวุโสผู้นั้นลงมือและติดต่อกับโถงหลงลืมของข้า ในที่สุดเราก็เชื่อว่าผู้อาวุโสผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “อืม ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะจากที่นี่ในเจ็ดวัน ข้าก็ไร้ข้อโต้แย้ง”
เสวี่ยเย่ถอนหายใจโล่งอกและกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ็ดวันจากนี้ ข้าจะรอสหายเต๋าที่แดนเซียนมิคสัญญี”
ไม่นานนัก เสวี่ยเย่ก็จากไป
คนอื่น ๆ ในสวนน้อยนภาเมฆต่างรวมตัวเข้ามา
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างรู้ว่าซูอี้กำลังจะไปจากมหาทวีปคังชิง ทว่ากลับไม่คาดว่าซูอี้จะจากไปในอีกเจ็ดวัน และอดรู้สึกอับจนปัญญาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ก็แค่ไปเยือนภูมิมืดมิด ไม่ต่างอันใดกับยามจากไปเดินทางหรอก”
ซูอี้เหลือบมองคนทุกผู้ และเมื่อเห็นความไม่เต็มใจจากบนสีหน้าของทุกคน เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “ยิ่งกว่านั้น ก็ไม่ใช่ว่าภายหน้าข้าจะไม่กลับมาสักหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็ชี้แนะหยวนเหิง “ไปเตรียมงานเลี้ยง ข้าจะใช้โอกาสนี้กล่าวบางอย่าง”
“ขอรับ!”
หยวนเหิงรับคำสั่งและจากไป
ไม่นานนัก งานเลี้ยงก็ถูกจัดขึ้นในสวน
ทุกคนต่างดื่มกินและพูดคุยกันอย่างพร้อมหน้า
ซูอี้อธิบายการเตรียมการบางอย่างหลังจากไป
อันที่จริง ทั้งหมดต่างเป็นเรื่องจิปาถะ
หากไม่ใช่ว่าทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้ที่ซูอี้ใส่ใจ เขาคงแสนคร้านจะกล่าวเรื่องพวกนี้ และไม่พูดอันใดเลย
ทว่า หลังจากฟังการจัดสรรของซูอี้ อารมณ์ของพวกเขากลับยิ่งหดหู่
ซูอี้มองทุกคนโดยไม่พูดสิ่งใด
นับแต่บรรพกาล มีการจากลาเกิดขึ้นมากมายซึ่งเป็นธรรมชาติแห่งมนุษย์
ทว่า ในสายตาของคนเช่นซูอี้ผู้ซื่อตรงดุจเหล็กกล้าและมุ่งมั่นเพียงการค้นหาวิถี การจากลาเช่นนี้ไร้ความหมาย
ควรค่าจดจำว่าผู้ฝึกตนบางคนใช้เวลาเก็บตัวฝึกฝนเป็นร้อยเป็นพันปี
ยามนี้ เขาแค่จะไปภูมิมืดมิดสักพัก มีสิ่งใดให้ต้องอาลัยอาวรณ์?
…
กาลเวลาไหลผ่าน หกวันจากไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่
นอกนครหลวงจิ๋วติ่ง ท้องนภากระจ่างใส
“เฒ่าบอด ไปกันเถิด”
ซูอี้โบกมือ เหยียบสู่เวหาจากไป
เขาทำเพียงเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง เหมือนดั่งวิ่งหนี
ชายชราตาบอดรีบร้อนตามไปเบื้องหลัง
เหวินซินจ้าว ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ มองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ที่ค่อย ๆ ลับนภาหายไปด้วยท่าทางผิดหวังยิ่ง
มีเพียงชิงหยาผู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้พี่ชายซูอี้จะดูไร้ใจ ทว่าที่จริงแล้วเขาก็ห่วงเราไม่น้อยนะ”
ทุกคนต่างชะงักอึ้ง และอดหัวเราะไม่ได้
ความเศร้าจากการพลัดพรากเองก็สลายไปมากนัก
…
คืนนั้น
ซูอี้และชายชราตาบอดผู้เปรอะฝุ่นก็มาถึงยังแดนเซียนมิคสัญญี
นี่คือคราแรกที่ซูอี้มาเยือนแดนเซียนมิคสัญญี และยามนี้เองที่เขาค้นพบว่าโลกเร้นลับแห่งนี้พิเศษยิ่ง ท้องนภาหม่นหมอง ดูราวกับอยู่ในยามพลบค่ำตลอดกาล
ยอดฝีมือจากโถงหลงลืมทั้งหมดประจำการอยู่ในหุบเขา
มีอารามบางแห่งถูกสร้างขึ้นที่นี่
“สหายเต๋าทั้งสอง โปรดรีบมา!”
นักบวชลำดับเก้าผู้ผอมบางแก่ชราออกมาทักทายพวกเขาด้วยตนเองพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
เบื้องหลังเขาคือชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้งดงามทรงเสน่ห์เยี่ยงนางสวรรค์
เมื่อนางเห็นซูอี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็กะพริบตาคู่งาม กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดาบสยบโลกาสามหมื่นปี ท่านเทพเซียนซูมาแล้ว~”
เสียงของนางหวานใสดุจขับร้อง เจือด้วยความขี้เล่น
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “กระไรหรือ ไม่ต้อนรับหรือไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเม้มปากยิ้ม “ไม่กล้าหรอก”
ในขณะพูดคุย นักบวชลำดับเก้าก็เชิญซูอี้และชายชราตาบอดเข้าสู่โถง
ในโถงอันตกแต่งด้วยมุกราตรี มีงานเลี้ยงจัดอยู่
เมื่อซูอี้และคนอื่น ๆ เข้ามา พวกเขาก็พบชายสองคน หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัยนั่งอยู่บนที่นั่ง
หนึ่งคือชายชราในชุดนักพรตเต๋าสีดำ ร่างผอมบางและมีบรรยากาศผ่อนคลายสงบเงียบกำลังดื่มอย่างเงียบ ๆ
อีกหนึ่งคือชายหนุ่มชุดขาวผู้มีคิ้วพาดเฉียงดุจดาบและนัยน์ตาพร่างดาว ริมฝีปากแดงฟันขาว ท่าทางองอาจขึงขัง
“นี่คือสหายน้อยซูอี้ ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้ามาแสนนาน ยามนี้เมื่อพบพาน เจ้าสมดังคำร่ำลือจริง ๆ”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ายิ้ม และลุกขึ้นพูดอย่างอบอุ่น
แววตาของเขาอบอุ่นสุขุม เสียงดุจระฆังสั่นกลองส่าย สงบเย็นดุจสายลมวสันต์
ข้างกายชายชราในชุดนักพรตเต๋า ชายหนุ่มชุดขาวเองก็รีบลุกขึ้นมองซูอี้อย่างสงสัย
เห็นได้ชัดว่าชายชราและชายหนุ่มคู่นี้รู้อยู่แล้วว่าซูอี้จะมา
“ทว่า เราศิษย์อาจารย์นั้นแค่ผ่านทางมา เนื่องจากเหตุสุดวิสัยจึงไม่สะดวกขานนาม หวังว่าสหายน้อยซูจะไม่ถือสา”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวต่อ
ซูอี้มองชายชราในชุดนักพรตเต๋า ตามด้วยชายหนุ่มชุดขาวด้วยนัยน์ตาซึ่งแฝงความประหลาดไว้ลึก ๆ
ทันใดนั้น เขาก็พยักหน้ากล่าวว่า “เข้าใจแล้ว”
เข้าใจอันใด?
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็พยักหน้าอย่างไม่ติดใจ ทว่าหันมองชายชราตาบอดอีกครั้ง
ยามนี้ ชายชราในชุดนักพรตเต๋ามีสีหน้าจริงจังมาก และโค้งให้ก่อนกล่าวว่า “คนผู้นี้ต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพเป็นแน่”
มารยาทที่มีต่อซูอี้และชายชราตาบอดเห็นความแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ทว่า นักบวชลำดับเก้ากลับไม่พบว่าเป็นเรื่องแปลก
โคมผีเก็บโลงศพคือหนึ่งในขุมอำนาจลี้ลับที่สุดในภูมิมืดมิด
มันสมเหตุสมผลแล้วหากชายชราในชุดนักพรตเต๋าจะปฏิบัติต่อเฒ่าบอดโดยให้เกียรติเยี่ยงนี้
ทว่าชายชราตาบอดกลับส่ายหน้ากล่าว “ข้าในยามนี้เป็นเพียงสัมภเวสี อยู่ได้ในวันนี้ก็เพราะคุณชายซูเมตตาให้ข้าติดตามเท่านั้น รับการปฏิบัติเช่นนี้จากเจ้าไม่ได้หรอก”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาห่างเหิน
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตะลึงอย่างเห็นได้ชัดไปครู่หนึ่ง ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพเรียกซูอี้ผู้นี้เป็น ‘คุณชาย’ และกระทั่งแถลงตนเป็นผู้น้อย!
เรื่องนี้ช่างน่าสนใจ
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็กล่าวว่า “ขออภัยที่ถือวิสาสะถามสหายเต๋า เมื่อร้อยปีก่อน ในภูมิมืดมิดลือกันว่าอู่จั้ง ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพตายอย่างน่าเวทนา มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?”
ชายชราตาบอดเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขามีเค้าโทสะ และกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าถือวิสาสะ ไฉนจึงยังถามคำถามเหล่านี้?”
มันคือหนึ่งในสิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุดและไม่อยากกล่าวถึง
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวอย่างขอโทษขอโพยทันที “สหายเต๋าโปรดอย่าขุ่นเคือง เป็นความละลาบละล้วงของข้าเอง”
นักบวชลำดับเก้ารีบร้อนไกล่เกลี่ย กล่าวว่า “มาเถิดทุกท่าน โปรดนั่งลงเถิด”
“นั่งลงสิ”
ซูอี้ตบบ่าชายชราตาบอด
ทันใดนั้น ทุกคนก็นั่งประจำที่
งานเลี้ยงช่างหรูหราอลังการ และนักบวชลำดับเก้าดื่มฉลองบ่อยครั้ง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นกลมเกลียวอย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากนั้น ชายชราในชุดนักพรตเต๋ายังมีอัธยาศัยดี เขารินสุราขออภัยชายชราตาบอดด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ชายชราตาบอดละอายหากยังติดใจขุ่นเคือง
ในขณะเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะชายชราตาบอดผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพมีทัศนคติไม่ธรรมดายิ่งต่อซูอี้ ซึ่งทำให้ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็มีความสนใจในตัวซูอี้เล็กน้อยเช่นกัน เขาจึงชิงเปิดเรื่องสนทนากับซูอี้ในงานเลี้ยง
“ข้าได้ยินนักบวชลำดับเก้ากล่าวว่าสหายน้อยซูจะไปภูมิมืดมิดครานี้เพื่อค้นหาบางสิ่ง สหายเต๋าบอกมาเลยก็ได้นะ บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้เช่นกัน”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวพลางยิ้ม
ซูอี้จิบสุราหนึ่งจอก กล่าวเรียบ ๆ ว่า “ข้ามีเจตนาดี แต่มันก็แค่เรื่องจิปาถะ อย่าได้สนใจเลย”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าเห็นได้ชัดว่าซูอี้ไม่อยากกล่าวถึงมัน ดังนั้นเขาจึงไม่ซักไซ้และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอให้สหายน้อยซูกระทำการลุล่วง”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าเองก็หวังให้พวกเจ้าสำเร็จทันทีเช่นกัน”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าชะงักไปครู่หนึ่งและขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกำลังจะกล่าวบางสิ่ง
ทว่าซูอี้กล่าวขึ้นว่า “จะว่าไป ข้าไม่ชอบที่ถูกเรียกว่า ‘สหายน้อย’ ยามเมื่อพบพานโดยบังเอิญ เราต่างเป็นเพียงผู้ร่วมทาง หากกล่าวถึงความแตกต่างในรุ่นอายุ เรียกกันว่าสหายเต๋าคงดีกว่า”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตะลึงไป
ชายหนุ่มชุดขาวข้างกายเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ และเหลือบมองซูอี้อีกสักครั้งอย่างเผลอไผล
นักบวชลำดับเก้า ชุยจิ๋งเหยี่ยน และเสวี่ยเย่ต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าพิกล พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูอี้จะคิดมากเรื่องคำเรียกด้วย
“สหายเต๋าซูกล่าวถูกต้อง ข้าเคยชินกับการใช้คำเฉกเช่นผู้อาวุโส โปรดอย่าใส่ใจ”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ายิ้มเยาะตนเอง
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวเปลี่ยนประเด็น “แค่ว่าในใจข้ายังคงมีความเคลือบแคลง ไม่ทราบว่าที่สหายเต๋าพูดว่า ‘สำเร็จทันที’ นี้มีความหมายอันใด?”
คำถามนี้ช่างพิลึก ทำให้ทุกผู้ฟังตกตะลึง
ทว่าซูอี้กลับหัวเราะกล่าว “แค่คำพูดตามมารยาท เจ้าไม่ต้องครุ่นคิดมากหรอก”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋า “…”
“คนผู้นี้โผงผางดีแท้”
ชายหนุ่มชุดขาวพึมพำกับตนเอง
ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกแปลกนัก กิริยาในยามนี้ของอาจารย์เขาผิดปกติเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เขาจะถามคำถามน่าเบื่อเยี่ยงนี้ออกมาได้เช่นไร?
คำอวยพรตามมารยาทยังแฝงความหมายอื่นใดได้หรือ?
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ดูราวกับเป็นคนรุ่นก่อนผู้หยิ่งผยอง คำพูดคำจาและกิริยาดูไม่เหมือนสิ่งที่ชายหนุ่มพึงกระทำยามพบผู้อาวุโสกว่าเลย
เหตุใดต้องใส่ใจสิ่งที่เขาพูดด้วย?
ชายหนุ่มชุดขาวแน่ใจมากว่าหากซูอี้รู้ตัวตนและการกระทำอาจารย์ของเขา อีกฝ่ายคงอึ้งตะลึงงัน ไฉนเลยจะกล้าทำตัวโอหังเพียงนี้?
‘ท้ายที่สุด อุปนิสัยและการวางตนของอาจารย์ก็ใจดีเกินไป ไม่ว่าพบผู้ใด เยาว์วัยหรือเฒ่าชรา เขาก็มักปฏิบัติต่อทุกผู้อย่างให้เกียรติ ดังนั้นจึงมักถูกเข้าใจผิดว่าไม่เคยอารมณ์เสีย…’
ชายหนุ่มชุดขาวลอบคิด
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ชายชราในชุดนักพรตเต๋าและศิษย์ชายหนุ่มชุดขาวก็ลุกขึ้นผละออกจากโต๊ะ
เช้าตรู่รุ่งขึ้น พวกเขาจะกลับสู่ภูมิมืดมิดกับคนจากโถงหลงลืม
“สหายเต๋าซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสเมื่อครู่คือผู้ใด?”
แม้ว่าคู่ศิษย์อาจารย์จะจากไปแล้ว แต่นักบวชลำดับเก้าก็ยังลดเสียงลงแล้วใช้ค่ายกลคลุมโถงเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงหลุดลอดอยู่ดี
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและเสวี่ยเย่เองก็หันมองซูอี้
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “แม้จะซุกซ่อนไว้อย่างดี แต่ก็ยังมองเห็นได้ มีอันใดหรือ?”
นักบวชลำดับเก้ากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ในเมื่อสหายเต๋าเห็นแล้ว ไม่กังวลหรือหากจะไปล่วงเกินตัวตนเยี่ยงจักรพรรดิในงานเลี้ยง?”