บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 771: ต่างจิตต่างใจ
ตอนที่ 771: ต่างจิตต่างใจ
จักรพรรดิ!
ชายชราตาบอดมือเท้าสั่นเทา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
ทว่าเมื่อพบว่าเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นในห้องที่มีปฏิกิริยา ชายชราตาบอดก็อดรู้สึกรำคาญใจไม่ได้
คนเหล่านี้ช่างใจดำนัก ไฉนจึงไม่บอกก่อนเล่าว่าชายชราผู้มีสีหน้าสงบสุขุมผู้นั้นเป็นจักรพรรดิ!?
แน่นอนว่าชายชราตาบอดย่อมไม่กล้ากล่าวโทษซูอี้ที่ไม่เตือนสติเขา…
ซูอี้ปลอบชายชราตาบอดว่า “นั่นก็แค่จักรพรรดิผู้ใช้วิชาอวตารออกเดินทาง ไม่ใช่ร่างจริงของเขา ไม่ต้องกังวลไป”
ชายชราตาบอดกล่าวอย่างอับอาย “ข้าแค่ไม่ได้คาดฝัน ไม่ใช่เพราะข้ากลัวหรอก”
ซูอี้ยิ้ม จากนั้นจึงตอบคำถามของนักบวชลำดับเก้า “จริงอยู่ว่าเขาเป็นจักรพรรดิ ทว่าข้าและเขาไร้ความแค้นต่อกัน ไฉนจึงต้องกังวลว่าจะไปทำให้เขาขุ่นเคืองด้วย?”
นักบวชลำดับเก้า “…”
หากซูอี้ไร้ความกลัวเพราะไม่รู้ นั่นย่อมว่าไปอย่าง
ทว่าซูอี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น ในทางกลับกัน เขามองตัวตนและที่มาของชุยจิ๋งเหยี่ยนได้เพียงมองไปยังจี้หยกชิ้นหนึ่ง
กระทั่งทราบได้ว่าจี้หยกชิ้นนั้นเป็นเจตนาของท่านยมราชพิพากษา!
ตัวตนเช่นนี้จะไร้ความรู้เท่าทันได้เช่นไร?
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังกล่าวด้วยว่าเขาเห็นตัวตนในฐานะจักรพรรดิของชายชราในชุดนักพรตเต๋าผู้นั้นแล้ว!
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ซูอี้กลับไม่ได้ใส่ใจมันแม้แต่น้อย และยังกล้ามาติฉินเรื่องคำเรียกตนต่อหน้าตัวตนระดับจักรพรรดิ ความปากกล้านี้ไม่อาจทำความเข้าใจได้แม้แต่น้อย
“นายน้อยซู เจ้าคือคนรุ่นเยาว์ผู้กล้าหาญและหยิ่งทะนงที่สุดเท่าที่ข้าพบตั้งแต่เด็กเลย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดรำพึงไม่ได้
“นี่ถือว่าหยิ่งทะนงหรือ?”
ซูอี้อดขำไม่ได้ “ภายหน้าหากมีโอกาสได้พบบรรพชนของเจ้า ข้าจะลองถามเขาดู ว่าการกระทำวันนี้ของข้าคู่ควรกับคำว่าหยิ่งทะนงหรือไม่”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเลิกคิ้วละเอียดของนางเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “จากน้ำเสียงของเจ้า จะบอกว่าหากเจ้าได้พบบรรพชนของข้า เจ้าจะยังกล้า… หาญกล้าเพียงนี้หรือ?”
ซูอี้ดื่มสุราจากแก้วพลางกล่าวเนิบ ๆ “หากกล่าวมากกว่านี้ เจ้าคงไม่เชื่อแน่ ไปถามบรรพชนของเจ้าตรง ๆ ยามได้พบพานในภายหน้าดีกว่า”
ในขณะนั้น หัวใจของนักบวชลำดับเก้าเต้นกระตุก พลันถามขึ้นว่า “สหายเต๋าซู ในเมื่อเจ้าสามารถเห็นที่มาของจี้หยกจากท่านยมราชพิพากษาได้ในพริบตา และยังรู้ที่มาของจิ๋งเหยี่ยน เจ้าได้เห็นฐานะที่มาของผู้อาวุโสท่านนั้นหรือไม่?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกคนก็อดหูผึ่งไม่ได้
ความลี้ลับของซูอี้ เหล่ายอดฝีมือโถงหลงลืมต่างเคยประจักษ์แก่ตา และไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาในฐานะคนธรรมดาเลย
ยามนี้ ในเมื่อเขาสามารถมองทะลุตัวตนผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิได้ จึงไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้ที่มาของอีกฝ่ายด้วยก็ได้!
และนี่คือสิ่งที่พวกเขาใคร่รู้
“อีกฝ่ายไม่ต้องการเปิดเผย ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ควรถามนะ”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และตอบว่า “อีกประการ คู่ศิษย์อาจารย์นั่นยังมีเคราะห์กรรมอันไม่อาจคาดเดาอยู่ ในความเห็นข้า พวกเจ้าควรให้เกียรติคำพูดพวกเขา หาไม่ พวกเจ้าก็อาจปนเปื้อนกรรมบางอย่างไปด้วยได้”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างผงะงัน
จากวาจาของซูอี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขามองเห็นที่มาของคู่ศิษย์อาจารย์คู่นี้อย่างทะลุปรุโปร่ง และยังเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายแบกรับเคราะห์กรรมบางอย่าง!
และเมื่อแปดเปื้อนพัวพันในเคราะห์กรรมดังกล่าว คงเป็นไปได้สูงที่จะนำพาหายนะสู่ศิษย์โถงหลงลืม!
นี่ย่อมหมายความว่าเคราะห์กรรมที่ศิษย์อาจารย์คู่นี้ถือครองไม่ธรรมดา!
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถูกกระตุ้นโดยความอยากรู้ และอดกล่าวไม่ได้ว่า “นายน้อยซู เปิดเผยข้อมูลมากกว่านี้ได้หรือไม่ อย่างน้อยก็บอกเราเถอะว่าพวกเขามีที่มาจากหนใด?”
ซูอี้ไม่อยากพูดเรื่องนี้ จึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเขามาพร้อมบัญญัติของผู้อาวุโสสามแห่งโถงหลงลืมเจ้าหรือ และยังสามารถติดต่อกับคนใหญ่คนโตจากโถงหลงลืมของพวกเจ้าได้ด้วย หลังจากกลับไปภูมิมืดมิด เจ้าก็ลองถามคนใหญ่คนโตในสำนักเจ้าดูสิ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถลึงตามองซูอี้อย่างโกรธเคือง พลางพึมพำ “เจ้าเนี่ยยอดเยี่ยมทุกอย่างนะ เว้นแต่ยามพูดจาที่เอาแต่ปกปิดเหมือนมีเมฆหมอกลง น่ารำคาญจริง ๆ”
ซูอี้ตะลึงงัน
หลังจากงานเลี้ยงจบลง นักบวชลำดับเก้าก็จัดเตรียมที่พักให้กับซูอี้และชายชราตาบอด
รอคอยอรุณรุ่งวันพรุ่งนี้มาเยือน และพวกเขาก็จะออกเดินทางจากมหาทวีปคังชิงนี้
…
รัตติกาลมืดมน
นักบวชลำดับเก้ารวมตัวกับเสวี่ยเย่และชุยจิ๋งเหยี่ยนเพื่อพูดคุยอย่างลับ ๆ
“ไม่ว่าซูอี้หรือศิษย์อาจารย์คู่นั้นต่างก็มีที่มาแปลกพิสดาร หลังจากกลับสู่ภูมิมืดมิด พวกเราควรแยกจากพวกเขาให้เร็วที่สุดไว้เป็นดี”
นักบวชลำดับเก้ากล่าว
แม้ว่าจะมีการปิดกั้นเสียงอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่โล่งใจมากนัก และยังบอกให้เสวี่ยเย่และชุยจิ๋งเหยี่ยนใช้การส่งกระแสเสียงปราณแทน
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “ทางสำนักเป็นผู้รับปากจะมารับคู่ศิษย์อาจารย์เอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานัก ส่วนซูอี้ ในเมื่อบรรพชนของเราให้ค่าแก่เขา เขาย่อมไม่ใช่คนชั่ว”
เสวี่ยเย่ครุ่นคิด “นักบวชลำดับเก้า จุดประสงค์การมาที่มหาทวีปคังชิงของเราคือการชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง และยามนี้มันก็อยู่กับซูอี้ ข้ากังวลนักว่าจะมีผู้คิดการบางอย่าง”
นักบวชลำดับเก้าหรี่ตา สีหน้าไม่แน่ใจ
เขามาจากโถงหลงลืม ดังนั้นจึงรู้ดีที่สุดว่าเจ้าเฒ่าบางคนในสำนักกระเหี้ยนกระหือรืออยากได้เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาเนิ่นนาน
ยิ่งกว่านั้น ข่าวนี้ยังไม่อาจปิดบังได้ด้วย
ครานี้ ยอดฝีมือผู้มายังมหาทวีปคังชิงจากโถงหลงลืมของพวกเขาไม่ได้มีเพียงพวกเขาสามคน แต่ยังมีศิษย์โถงหลงลืมอีกหลายสิบคน
มันเลี่ยงไม่ได้หากจะมีผู้ใดรายงานกับสำนักว่าซูอี้ถือครองเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงอยู่
ยิ่งกว่านั้น เมื่อสำนักถามถึง ใครเล่า… จะกล้าหมกเม็ด?
และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเจ้าเฒ่าพวกนั้นรู้ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงอยู่ในมือซูอี้ พวกเขาย่อมต้องคิดการบางอย่างแน่นอน
แม้แต่ความเป็นไปได้อันย่ำแย่ที่สุดยังไม่อาจตัดทิ้งได้!
หลังจากเงียบอยู่นาน นักบวชลำดับเก้าสูดหายใจลึก และหันไปกล่าวกับชุยจิ๋งเหยี่ยน “จิ๋งเหยี่ยน เจ้าอาจต้องบอกกล่าวเหล่าผู้อาวุโสของสำนักถึงเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้ง พยายามให้จงหนัก บอกพวกเขาให้ลงมือกับซูอี้ให้จงได้นะ”
ครู่ต่อมา นักบวชลำดับเก้าก็กล่าวอย่างจนใจ “หากคนพูดเป็นข้ากับเสวี่ยเย่ เจ้าแก่พวกนั้นคงไม่คิดใส่ใจ และฐานะของเราก็ไม่อาจโน้มน้าวใจพวกเขาได้แม้แต่น้อย”
ในโถงหลงลืม แม้ว่าฐานะของนักบวชจะสูง ทว่าเหนือตำแหน่งนักบวชยังมีตำแหน่งเจ้าโถงและทูตข้ามนที!
ย่อมยากที่เขาจะเกลี้ยกล่อมเหล่าผู้อาวุโสซึ่งมีตำแหน่งและระดับฝึกฝนสูงส่งกว่า หากมองจากฐานะฝีมือของนักบวชลำดับเก้า
ทว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนนั้นต่างออกไป
แม้ว่ามารดาของนางจะไม่ได้รับใช้โถงหลงลืมอีกต่อไป ทว่านางก็เคยเป็นทูตข้ามนทีในโถงหลงลืม และอิทธิพลของนางก็ยังคงอยู่
บิดาของนางคือเจ้าตระกูลชุย และปู่ของนางคือท่านยมราชพิพากษาผู้ลือนามทั่วภูมิมืดมิด
ย่อมเหมาะสมกว่าหากจะเป็นนางที่เกลี้ยกล่อมเหล่าผู้อาวุโสในโถงหลงลืม
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกะพริบตาคู่งามของนางและกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มว่า “ไม่ดีกว่าหรือหากจะปล่อยเหล่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจัดการกับซูอี้เพื่อไม่ให้กร่างไปกว่านี้?”
นักบวชลำดับเก้ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จิ๋งเหยี่ยน นี่ไม่ใช่เรื่องการสยบความกำเริบเสิบสาน แต่หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดี มันจะนำไปสู่การพิพาทนองเลือดเป็นแน่! อย่าลืมนะว่าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงเป็นสมบัติเลอค่าเพียงใด มันเพียงพอจะทำให้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิต้องการมัน”
“แต่เจ้าก็รู้ว่าซูอี้ผู้นี้มีที่มาพิลึก และไม่อาจเทียบกับตัวตนอื่น ๆ ในวิถีวิญญาณได้เลย กระทั่งบรรพชนของเจ้ายังให้ความสำคัญกับเขายิ่งยวด!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร หากปล่อยให้เขามีข้อพิพาทกับเหล่าผู้อาวุโสในสำนักล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเกินจินตนาการเป็นแน่”
หลังจากกล่าวจบ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ตระหนักถึงความจริงจังของปัญหานี้เช่นกัน
นางครุ่นคิดสักพัก และเห็นด้วยอย่างจริงจัง “ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด ทว่าไม่อาจรับประกันได้นะว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจะฟังข้าหรือไม่”
นักบวชลำดับเก้าถอนหายใจโล่งอกในทันที และกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าทำเต็มที่ก็พอแล้ว”
เสวี่ยเย่ผู้นั่งเงียบ ๆ อยู่ด้านข้างเสมอดูอยากพูดบางสิ่ง ทว่าในที่สุดก็ยั้งวาจาไว้
เรื่องแบบนี้ กระทั่งนักบวชลำดับเก้ายังไม่อาจพัวพันได้ แล้วอารักษ์เช่นเขาจะยุ่งเกี่ยวได้เช่นไร?
…
ค่ำคืนเดียวกัน
ในโถงแห่งหนึ่ง ชายชราในชุดนักพรตเต๋านั่งอยู่บนพื้น
เขาดูเคร่งเครียดและมีสมาธิ ในมือถือกระดองเต่าสีขาวหิมะราวกับกำลังพินิจบางสิ่ง
ชายหนุ่มในชุดขาวเอนร่างอยู่บนฟูกนุ่มที่อยู่ไม่ไกลกันนัก พลางไขว้ขาเข้าหากันและกล่าวว่า “อาจารย์ ซูอี้ผู้นั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ กล่าวอีกนัยก็คือ เขายังคงอยู่ในอันดับสูงสุดในหมู่ผู้ฝึกตนทั้งมวล ณ วิถีวิญญาณที่ภูมิมืดมิดด้วยเช่นกัน”
“ทว่าอุปนิสัยของเขาเย่อหยิ่งเกินไป ดูเหมือนไม่เห็นผู้ใดในสายตา หากเขากล้ากระทำเช่นนี้ยามไปถึงภูมิมืดมิด เกรงว่าคงก่ออุบัติเหตุใหญ่โตขึ้นเป็นแน่”
ได้ยินเช่นนี้ ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็ส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้น “หวังถิง เขาในความคิดเจ้าเย่อหยิ่งไร้ผู้ใดในสายตา ทว่าในสายตาข้า มันคือความมั่นใจในตนเองอย่างไร้เทียมทานซึ่งบ่มเพาะทีละน้อยจากความมานะบากบั่นนับร้อยพัน ยิ่งกว่านั้นซูอี้ผู้นี้… ไม่ได้ธรรมดาเช่นที่เจ้าคิดสักนิดเดียว”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวพลางเก็บกระดองเต๋าสีขาวหิมะในมือ ดวงตาทอประกาย และกล่าวว่า “ข้าแน่ใจว่าในงานเลี้ยงเมื่อครู่ ซูอี้อาจมองที่มาของเราออกแล้ว”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ชายหนุ่มชุดขาวก็ผุดลุกพรวด กล่าวถามอย่างประหม่าตกใจ “นี่… เป็นไปได้เช่นไร?”
เขาสูดหายใจลึก ๆ ราวพยายามสงบใจ และกล่าวว่า “อีกอย่าง หากเขามองเห็นที่มาของอาจารย์ออกจริง ๆ ไฉนเขาจึงยังกล้าทำตัวเหิมเกริมในงานเลี้ยงเล่า?”
อาจารย์ของเขาเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดินะ!
ยิ่งกว่านั้น ยังไม่อาจเทียบกับจักรพรรดิทั่วไปได้!
ตัวตนใดในวิถีวิญญาณจะกล้าลบหลู่หลังจากตระหนักเช่นนี้บ้าง?
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าแย้มยิ้มและกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “อย่าประหม่าไป เราและเขาไร้ความแค้นต่อกัน ต่อให้เขามองที่มาของเราออกก็ไม่เป็นไรหรอก”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้วกล่าว “สิ่งเดียวที่ข้างุนงงอยู่ในครานี้คือ ซูอี้… ดูจะไม่ได้เห็นเพียงที่มาของเรา แต่กระทั่งสังเกตรู้แล้วว่าเราทำอันใดอยู่”
ชายชายหนุ่มชุดขาวอ้าปากค้าง พึมพำอย่างดุเดือด “ท่านอาจารย์ ท่านประเมินซูอี้สูงเกินไปแล้วขอรับ เขาเป็นตัวตนในวิถีวิญญาณจากมหาทวีปคังชิง เขาจะเห็นเรื่องทั้งหมดเพียงแค่สายตามองได้เช่นไร? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่นอนขอรับ”
เขาส่ายหัวอย่างต่อเนื่อง
“เป็นไปไม่ได้หรือ?”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าดูพิกลเล็กน้อย “ทว่าหากไม่ใช่เช่นนั้น ไฉนเขาจึงอวยพรให้เราทำสำเร็จในงานเลี้ยงเล่า…”
ชายหนุ่มชุดขาวชะงักไปยามได้ยินเช่นนี้
ยามนี้เอง เขาพลันตระหนักถึงเหตุผลที่อาจารย์ของเขาเอ่ยถามซูอี้ว่าอีกฝ่ายหมายความเช่นไร ที่แท้อาจารย์ก็พอเดาได้แล้วว่าคำอวยพร ‘สำเร็จทันที’ จากปากซูอี้ไม่ใช่เพียงคำอวยพรตามมารยาท แต่มีความหมายบางอย่าง!
“หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าคาดเดาเช่นนั้นก็คือ…”
ทันใดนั้น สายตาของชายชราในชุดนักพรตเต๋าพลันเปลี่ยนเป็นลึกล้ำนิ่งสงบ และกล่าวเบา ๆ ว่า “เฒ่าตาบอดผู้นั้น!”