บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 773: ออกเดินทางสู่ภูมิมืดมิด!
ตอนที่ 773: ออกเดินทางสู่ภูมิมืดมิด!
ชายชราตาบอดมีสีหน้าท่าทางจริงจังอย่างผิดธรรมดา
ทว่าเขาดูกังวลว่าซูอี้ผู้มีนิสัยหยิ่งยโสจะไม่ฟังเขา ดังนั้นจึงอธิบายอย่างอดทน
“ท่านไม่รู้หรอกว่าถึงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะตายไปนานหลายปี แต่เกียรติภูมิของเขายังอยู่ ผู้อาวุโสอันทรงอำนาจในภูมิมืดมิดต่างมีมิตรภาพอันไร้ใดเปรียบกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินทั้งสิ้น”
“หากท่านกล้าลบหลู่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เกรงว่าคงได้สร้างปัญหาอันไม่จำเป็นขึ้น”
วาจาของเขาจริงใจจากเบื้องลึกแห่งจิต กล่าวอย่างจริงจังว่า “หากอาจารย์ข้ายังมีชีวิต ท่านต้องโกรธเป็นแน่หากได้ยินคำพูดของท่าน เพราะเขาเทิดทูนปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินที่สุด และจะไม่พอใจยิ่งหากได้ยินผู้ใดวิจารณ์หรืออ้างตนเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน”
มุมปากของซูอี้กระตุกอย่างเล็กน้อยจนมองไม่เห็น ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ชายชราตาบอด… นับว่าตาบอดจริงแท้!
“เอาล่ะ พักเถิด”
ซูอี้เหนื่อยเกินกว่าจะพูดอันใด หลับตาลงแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
แต่เดิมแล้ว ชายชราตาบอดอยากจะถามเกี่ยวกับที่มาของคู่ศิษย์อาจารย์ด้วยเช่นกัน ทว่าเขาก็ยังรั้งปากไว้
เขาเดินไปยังมุมมืดของโถง นั่งลงขัดสมาธิครุ่นคิด
พรุ่งนี้ เขาจะกลับไปสู่ภูมิมืดมิด ทว่าไม่อาจทราบว่ากี่ปีกี่เดือนจึงจะล้างแค้นให้อาจารย์ตนได้…
ผีหมัวนั้นแข็งแกร่ง
แค่คิดถึงมันก็ทำให้รู้สึกสิ้นหวังจนใจได้แล้ว
‘ไม่ว่าอย่างไร เมื่อมีคุณชายซูอยู่ อย่างน้อยก็ยังพอมีหวังนิดหน่อย’
ชายชราตาบอดพึมพำในใจ
ก่อนหน้านี้ ซูอี้ไม่ได้คิดจริงจังกับผีหมัวเลย เขาบอกว่าหากผีหมัวกล้ามายังภูมิมืดมิด เขาจะจัดการด้วยตนเอง
ไม่ว่าซูอี้จะสามารถทำได้หรือไม่ วาจาเหล่านี้ก็ทำให้ชายชราตาบอดเบาใจขึ้นมากแล้ว
…
เช้าถัดมา
ท้องฟ้าเหนือแดนเซียนมิคสัญญียังคงขมุกขมัวดั่งพลบค่ำเช่นเดิม
ตรงหน้าฐานที่ตั้งโถงหลงลืม
นักบวชลำดับเก้า ชุยจิ๋งเหยี่ยนและยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากโถงหลงลืมต่างรวมตัวกันจัดตั้งแท่นเต๋าขึ้นหนึ่งแท่น
ซูอี้ ชายชราตาบอด ชายชราในชุดนักพรตเต๋าและชายหนุ่มชุดขาวต่างรออยู่ที่ด้านข้าง
แน่นอน ซูอี้รอคอยโดยการนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย…
“สหายเต๋าซู”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าทักทายด้วยรอยยิ้ม
“มีอันใดหรือ?” ซูอี้ถาม
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ข้าแค่อยากสนทนากับสหายเต๋าสักพักก่อนจากมหาทวีปคังชิงนี้ไป”
ซูอี้แค่นเสียงหึ กล่าวว่า “ว่ามา”
ปฏิกิริยาอันเย็นชาเยี่ยงนี้ทำให้ชายหนุ่มชุดขาวซึ่งอยู่ไม่ไกลขมวดคิ้ว
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าไม่ได้ใส่ใจ และกล่าวว่า “ในชั่วขณะนี้ ข้าและศิษย์เดินทางไปทั่วมหาทวีปคังชิง ทว่ากลับพบบางสิ่งผิดแปลก”
ซูอี้ไม่กล่าวอันใดกับอีกฝ่าย ทำเพียงนั่งอย่างเกียจคร้าน กินดื่มอย่างเงียบ ๆ
เขารู้ว่าชายชราในชุดนักพรตเต๋าจะพูดต่อแน่นอน
จริงดังนั้น อึดใจต่อมา เขาก็ได้ยินชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวช้า ๆ ว่า “ในหมู่พวกเขา สิ่งที่ทำให้ข้าแปลกใจที่สุดคือหมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลในต้าเหลียง”
“หมู่บ้านเล็ก ๆ?”
ชายชราตาบอดอดกล่าวไม่ได้
จักรพรรดิผู้หนึ่งถูกหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทำให้ประหลาดใจ ย่อมหมายความว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!
“ถูกต้อง”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์ “หมู่บ้านแห่งนั้นเต็มไปด้วยคนธรรมดา แต่กลับปกคลุมด้วยสิริมงคล ผู้คนในหมู่บ้านจึงทำทุกสิ่งราบรื่น อายุขัยยืนยาว อัศจรรย์ต่อโลกหล้ายิ่งนัก”
ชายชราตาบอดอดตะลึงไม่ได้ ความมงคลนั้นเป็นมายา กระทั่งภูเขาเลื่องชื่อและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในโลกหล้ายังอาจไม่มีความมงคลอยู่ในนั้นก็ได้
ทว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งกลับรวมความมงคลมาสู่ เห็นได้ชัดว่าช่างน่าอัศจรรย์
“หรือจะมีปริศนายิ่งใหญ่ซุกซ่อนในหมู่บ้านนี้กันหนอ?”
ชายชราตาบอดถามอีกครั้ง ชายชราในชุดนักพรตเต๋าพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าและศิษย์เดินทางไปยังหมู่บ้านนั้นด้วยตนเอง และเป็นตามคาด ข้าพบว่าในสวนแห่งหนึ่งซึ่งมีคู่พี่ชายน้องสาวซึ่งพึ่งพากันและกันอาศัย ที่ทับหลังในห้องโถงหลักมีภาพอักษรอันน่าอัศจรรย์แขวนอยู่”
กล่าวถึงตรงนี้ ทั้งชายชราตาบอดและเหล่ายอดฝีมือจากโถงหลงลืมล้วนแต่ถูกความอยากรู้กระตุ้น หูผึ่งรับฟังโดยถ้วนทั่ว
ยามนี้ จู่ ๆ ซูอี้ก็อ้าปากกล่าวว่า “เจ้ากำลังพูดถึงหมู่บ้านเฉาซีหรือไม่?”
ก่อนที่ชายชราในชุดนักพรตเต๋าจะทันได้พูด ศิษย์ของเขา ชายหนุ่มชุดขาวก็กล่าวขึ้นอย่างทึ่ง ๆ “เจ้าก็รู้จักหมู่บ้านเล็ก ๆ นั่นหรือ?”
ทุกคนอดแปลกใจไม่ได้ หมู่บ้านเล็ก ๆ ใดเล่าจะสามารถดึงความสนใจของจักรพรรดิผู้หนึ่ง และกระทั่งซูอี้ก็ยังดูจะรู้ถึงการมีอยู่ของมันด้วย?
“ไม่น่าแปลกใจเลย”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
เขาจำคู่พี่น้องเฉาผิงและเฉาอันที่ได้พบกันข้างเขาฝูเซียนได้ และยังจำอักษรที่เขาทิ้งไว้ให้คู่พี่น้องยามจากจรได้ด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็อดถามอย่างสงสัยมิได้ “สหายเต๋าซูรู้ที่มาของภาพอักษรนั้นหรือไม่?”
ทุกคนต่างหันมองซูอี้โดยลืมตัว
ซูอี้ถามกลับด้วยรอยยิ้ม “หากข้าบอกว่าอักษรนั่น ข้าเป็นผู้ทิ้งไว้เอง เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะลั่น “ไม่มีผู้ใดเชื่อหรอก”
ชายชราตาบอดขมวดคิ้วถามทันที “ไฉนจึงคิดเช่นนั้น?”
ชายหนุ่มชุดขาวรีบตอบ “อักษรนั้นควบรวมมรดกของบัญญัติชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นสมบัติลับในสำนักอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดิน หากบัญญัตินี้ถูกใช้ ผู้ลงมือต้องเป็นจักรพรรดิ!”
หลังจากวาจาถูกกล่าว ทุกคนที่รายล้อมต่างตะลึง และในที่สุดก็เข้าใจ ว่าเหตุใดหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ดึงดูดความสนใจจากจักรพรรดิเช่นชายชราในชุดนักพรตเต๋าได้เช่นไร
สำนักอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดิน!
ผู้ฝึกตนจากมหาทวีปคังชิงอาจไม่รู้กระจ่าง ทว่าทุกคนที่นี่ ใครเล่าจะไม่รู้ว่าอำนาจเช่นนี้น่ากลัวเพียงไร?
และการที่สมบัติลับจากสำนักอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดินมาปรากฏในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในมหาทวีปคังชิงย่อมสุดแสนอัศจรรย์โดยไม่ต้องสงสัย!
ในขณะเดียวกัน วาจาของชายหนุ่มชุดขาวยังพิสูจน์ได้ด้วยว่าอักษรนั้นไม่มีทางมาจากมือของซูอี้!
เพราะถึงอย่างไร ซูอี้ก็อยู่เพียงในวิถีวิญญาณ การเขียนอักษรนั้น ไม่เพียงต้องมีระดับฝึกฝนในขอบเขตจักรพรรดิ แต่ยังต้องมาจากสำนักอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดินด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ริมฝีปากสีกุหลาบของชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ยกขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวเย้า “นายน้อยซู ดูเหมือนการกล่าวโอ่ของเจ้าจะถูกยอกย้อนเสียแล้ว”
ซูอี้ยิ้มโดยไม่อธิบาย
นี่คือเหตุที่เขาถามชายชราในชุดนักพรตว่า “เชื่อหรือไม่?”
ความจริงบางอย่างมักจะถูกมองเป็นคำโกหกอันน่าขันเนื่องจากมุมมองที่แตกต่าง
หากฝืนอธิบาย รังแต่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดอันทวีคูณเท่านั้น
แน่นอนว่านอกจากชุยจิ๋งเหยี่ยน ไม่มีผู้ใดกล้าล้อเลียนซูอี้ และทำเพียงถือคำกล่าวของซูอี้เป็นเรื่องตลก
ไม่นานนัก ความสนใจของคนทุกคนก็กระจายหาย
มีเพียงชายชราในชุดนักพรตเต๋าผู้ลังเลไม่กล่าววาจา เขาตระหนักแล้วว่าบางสิ่งผิดปกติ ทว่าไม่รู้ว่าจะต้องถามเช่นไร
“แท่นเคลื่อนย้ายจัดเตรียมเสร็จสิ้น ต่อมาก็รอเพียงให้สำนักมารับเราเท่านั้น”
เสียงของนักบวชลำดับเก้าดังมาไม่ไกลนัก
มีแท่นเต๋าสีดำขนาดสามจั้งตั้งอยู่ตรงหน้านักบวชลำดับเก้า รูปทรงของแท่นเต๋าเป็นรูปแปดเหลี่ยม ปกคลุมด้วยอักขระเต๋าแตกต่างกันไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนก็ใจชื้น
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าไม่อาจอดทนไหว จึงถ่ายทอดเสียงให้แก่ซูอี้ “สหายเต๋า ในไม่ช้าเราจะไปยังภูมิมืดมิด ข้ามีคำขอที่ออกจะไร้เมตตา ไม่รู้ว่าควรกล่าวถึงมันหรือไม่”
ซูอี้เหลือบมองชายชราในชุดนักพรตเต๋า เหมือนจะรู้ว่าเขากังวลสิ่งใด และกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับเจ้า”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าชะงักไปเล็กน้อย และกล่าวทันทีอย่างจริงจัง “ขอบคุณ”
ทว่าเขาไม่อาจสงบใจได้เลย
เพราะวาจาของซูอี้ยืนยันการคาดเดาในใจเขาโดยสมบูรณ์…
ซูอี้มองออกถึงฐานะและสิ่งที่คู่ศิษย์อาจารย์นี้กำลังทำอยู่จริง ๆ!
ชั่วขณะหนึ่ง ชายชราในชุดนักพรตเต๋าอดสงสัยไม่ได้ว่าภาพอักษร ‘สงบสุขปลอดภัย’ ในหมู่บ้านเฉาซีจะเป็นของซูอี้จริง ๆ หรือไม่
ยามนั้น เหมือนซูอี้จะตระหนักถึงบางสิ่ง เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“มาแล้ว”
เขาพึมพำกับตนเอง
ตู้มมม!
แทบจะในยามเดียวกัน เสียงคำรามทึบ ๆ ดุจสายฟ้าก็ดังมาจากลิบตา
ลวดลายเต๋าหนาแน่นบนแท่นเต๋าสีดำขนาดสามจั้งตรงหน้านักบวชลำดับเก้าเปล่งประกายสะท้อน รัดพันวูบไหวอยู่บนอากาศอย่างต่อเนื่อง
“ทุกท่าน เขตแดนอันนำไปสู่ภูมิมืดมิดกำลังจะเปิดออก เตรียมตัวให้พร้อม!”
นักบวชลำดับเก้ากล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
ทันทีที่สิ้นเสียง ลำแสงอันเจิดจ้าก็โรยลงมาจากท้องนภาอันเหมือนยามพลบค่ำ ปกคลุมไปทั่วแท่นเต๋าสีดำดุจธารดาราจากสวรรค์ชั้นเก้า
ค่ายกลอันเกิดจากลวดลายเต๋าซึ่งเดิมขยับไหวพลันระเบิดพลังแห่งมิติออกมาอย่างรุนแรงเห็นได้ด้วยตาเปล่า และจากนั้นก็สร้างเป็นทางเข้าที่ดูเหมือนวังวน
และทางเข้าก็ค่อย ๆ เสถียรตัวเองโดยสมบูรณ์
“ทุกท่าน เชิญ!”
นักบวชลำดับเก้าหันมองพวกซูอี้และชายชราในชุดนักพรตเต๋า
“ช้าก่อน”
หลังจากซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวาย จู่ ๆ เขาก็นำยันต์หยกออกมาหนึ่งชิ้น หลังโคจรวิถีเต๋าอย่างชำนิชำนาญ ยันต์หยกพลันเปล่งแสง บังเกิดประกายแสงสีเงินขึ้นดุจดังคลื่นกระเพื่อม
ไม่ว่าใครก็เห็นได้ด้วยตา ว่าคลื่นมิติพิศวงอันพุ่งจากแท่นเคลื่อนย้ายเข้าไปในยันต์หยกที่มือซูอี้ดุจมัจฉาแหวกว่าย
นักบวชลำดับเก้าถามทันทีอย่างประหม่า “สหายเต๋า นี่คือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างสบาย ๆ “ข้าทำเครื่องหมายไว้ในช่องมิติ หากภายหน้าเจ้ากลับมายังมหาทวีปคังชิงจะได้ไม่ต้องคอยหาหนทาง”
นักบวชลำดับเก้าและชุยจิ๋งเหยี่ยนอดประหลาดใจไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าสมองของพวกตนไม่อาจคิดตามทัน
ไม่ใช่ว่าการทำเครื่องหมายทางผ่านมิติทำได้เพียงจักรพรรดิเท่านั้นหรือ?
สายตาของพวกเขาหันไปมองชายชราในชุดนักพรตเต๋าโดยไม่รู้ตัว
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าลูบเคราพลางกล่าวยิ้ม ๆ “สหายเต๋าซูใช้ยันต์ลับมิติเป็นสื่อ และยืมพลังของค่ายกลเครื่องย้าย วิถีนี้กล่าวได้ว่าเป็นการสรรค์สร้างอันเปี่ยมทักษะ”
ทุกคนพลันกระจ่างแจ้ง
มีเพียงชายชราในชุดนักพรตเต๋าผู้เดียวซึ่งมีสีหน้าซับซ้อน
เขากล่าวเพียงเลื่อนลอย ทว่าจะไม่ทราบได้เช่นไรว่าวิธีการอันดูไม่มีสิ่งใดที่ซูอี้สำแดง แท้จริงจะเป็นเคล็ดวิชาอันเหลือเชื่อยิ่งนัก?
อีกประการคือ ยันต์ลับแห่งมิติเป็นมหาสมบัติ ซูอี้จะไปได้มันมาจากหนใด?
ทุกสิ่งนี้ทำให้ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตระหนักถึงความลึกลับของซูอี้มากขึ้นทุกที และลึก ๆ ในใจเขาก็ไม่กล้าปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเยี่ยงมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณอีกต่อไป
“ไปกันเถิด”
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เก็บยันต์หยกและเดินไปยังแท่นเคลื่อนย้าย
ทุกคนต่างเวียนเข้าไปทีละคน
‘ยามข้ากลับมา ข้าอาจจะก้าวเข้าสู่วิถีลึกล้ำแล้วก็เป็นได้ และการกลับมายังมหาทวีปคังชิงนี้ก็จะลำบากสักหน่อย…’
ซูอี้คิดในใจ
ตู้ม!
นภาสั่นไหวยามอักขระลวดลายหมุนวน
เกิดเสียงคำราม และร่างของพวกซูอี้ก็หายไปดุจอากาศธาตุ
จากนั้น แท่นเคลื่อนย้ายขนาดสามจั้งก็ดูจะหมดเรี่ยวแรง ก่อนจะแตกร้าวเปลี่ยนเป็นธุลีไปอย่างเงียบงัน
โลกหล้ากลับสู่ความสงบเฉกเช่นก่อน
วันนี้คือวันที่ยี่สิบห้าเดือนห้า
ในระหว่างที่เกิดแสงสว่างแห่งโลกกว้างในมหาทวีปคังชิง ซูอี้ผู้เป็นดุจตำนานแห่งโลกหล้าได้ออกเดินทางสู่ภูมิมืดมิด!