บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 776: คำขู่ของจักรพรรดิ
ตอนที่ 776: คำขู่ของจักรพรรดิ
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวไม่ได้ว่า “นายน้อยซู เจ้าไม่กลัวเลยหรือไร?”
ที่นี่คือหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ไน่เหอนะ!
และยังมีจักรพรรดิอยู่ที่นี่มากกว่าหนึ่ง!
ในสถานการณ์นี้โดยทั่วไป ผู้ใดที่ได้รับรู้ข่าวร้ายเช่นนี้ เกรงว่าคงลนลานดุจยืนบนกองเข็มแล้ว
ทว่าซูอี้ยังคงมีท่าทางเกียจคร้านอย่างมิอาจสลัดหลุด
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “กลัวแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกัดริมฝีปากสีกุหลาบของนาง และกล่าวอย่างขอโทษขอโพยทันที “ยามก่อนที่ข้าเกลี้ยกล่อมเหล่าผู้เฒ่า ข้าไม่ได้บอกเกี่ยวกับจี้หยกบนตัวข้า”
“นั่นหมายความว่า นอกจากข้า นักบวชลำดับเก้าและเสวี่ยเย่ ไม่มีผู้ใดอื่นในสำนักที่รู้ว่าเจ้าคือผู้ที่บรรพชนของข้าสนใจให้ค่า”
ในความคิดของนาง หากความลับนี้แพร่งพราย มันจะทำให้เหล่าผู้เฒ่าในสำนักยั้งตนเองทันที
ทว่านางไม่อาจทำเช่นนั้นได้
เหตุที่ความลับคือความลับ ก็เพราะมันไม่อาจถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้
การให้นักบวชลำดับเก้าและเสวี่ยเย่รับรู้เรื่องนี้ทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ด้วยกังวลว่าบรรพชนของนางจะลงโทษนางในภายหน้า
ทว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนไม่คาดว่าจะได้เห็นซูอี้ยิ้มอย่างขอบคุณ “เจ้าทำได้ดีแล้ว ยิ่งคนรู้เรื่องระหว่างข้ากับบรรพชนของเจ้าน้อยเพียงไรยิ่งดี”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “…”
ซูอี้เข้าอกเข้าใจนางดีมาก ทว่าก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกละอาย
หญิงสาวสูดหายใจลึก และกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “อืม ข้าสัญญาว่าไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่ให้เจ้าประสบอุบัติเหตุใด ๆ ในโถงหลงลืม!”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “เจ้าไม่ควรจะเข้ามาพัวพัน หาไม่ ภายหน้าเจ้าซึ่งยังต้องอยู่ที่นี่จะหาจุดยืนในโถงหลงลืมได้เช่นไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “หากมันเป็นเรื่องใหญ่นัก ข้าก็แค่กลับบ้าน”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ เขาเห็นได้ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะชุยหลงเซี่ยง แต่หญิงสาวก็ดูจะไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองเลย
กระทั่งพร้อมหันหลังให้สำนักโดยไม่ลังเล
ทว่าซูอี้ก็ไม่อยากให้หญิงสาวเข้ามายุ่งเกี่ยว
เขาเปลี่ยนประเด็นและกล่าวว่า “เจ้าบอกว่ามีผู้อาวุโสกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งในโถงหลงลืมซึ่งหมกมุ่นกับเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง พวกเขาเป็นใครและมีระดับการฝึกฝนเช่นไรบ้าง?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ผู้เฒ่าเหล่านั้นนำโดยนักบวชสูงสุดและนักบวชลำดับสาม พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ และนักบวชสูงสุดก็แข็งแกร่งที่สุด เขาบรรลุการฝึกฝนหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นแล้ว”
“และอาจารย์ของนักบวชสูงสุดคือ ‘เฟิงฉือ’ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับสองผู้มีสมญา ‘จักรพรรดิวิญญาณตระการเพลิง’ ผู้เข้าสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเมื่อนานมาแล้ว”
ในโถงหลงลืมทุกวันนี้ มีทูตข้ามนทีสามคนซึ่งครองตำแหน่ง ‘ผู้อาวุโสสูงสุด’ โดยแท้จริงและดูแลเรื่องราวในสำนัก
แต่ละคนต่างเป็นตัวตนในระดับจักรพรรดิ
ทว่าในโถงหลงลืมมีทูตข้ามนทีทั้งหมดเก้าคน
นอกจากสามผู้ครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ยังมีอีกหกคนซึ่งหากไม่เก็บตัวฝึกฝนก็ออกเดินทางกว้างไกล หลงลืมเรื่องราวทางโลกสิ้นแล้ว
เว้นแต่ยามที่สำนักใกล้พังทลาย ทูตข้ามนทีทั้งหกซึ่งดูเหมือนวัตถุโบราณมีชีวิตเหล่านี้คงไม่เผยตัวออกมาเลย
เรื่องนี้ธรรมดานัก
ยิ่งระดับการฝึกฝนสูงส่ง ยิ่งยากจะเดินทางต่อบนวิถี
โดยเฉพาะผู้คนในระดับจักรพรรดิ เพื่อเรียนรู้วิถีและอนุมานเต๋า การเก็บตัวฝึกฝนแต่ละครั้งจึงใช้เวลาร่วมพัน ๆ ปี สิ่งทั่วไปจะอยู่ในสายตาพวกเขาได้เช่นไร?
สถานการณ์เช่นนี้หาได้ง่ายนักในหมู่จักรพรรดิ
“ท่าทีของผู้อื่นเป็นเช่นไร?”
ซูอี้ถาม
ที่ใดมีคน ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้ง
และมันก็ยิ่งจริงเป็นพิเศษสำหรับโลกแห่งผู้ฝึกตน ภายในตระกูลและขุมอำนาจใหญ่ต่าง ๆ เพื่อที่จะไขว่คว้าอำนาจที่สูงขึ้นและทรัพยากรการฝึกตนที่มากขึ้น จึงมักมีการแข่งขันอันโหดร้ายยิ่ง
เป็นไปไม่ได้สำหรับขุมอำนาจระดับจักรพรรดิเช่นโถงหลงลืมจะมีความกลมเกลียวภายใน หรือมีความคิดอ่านเป็นหนึ่งเดียวได้เลย
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถอนหายใจเบา ๆ “ยามนี้ทั้งเจ้าโถงและผู้อาวุโสใหญ่สูงสุดต่างไม่ได้อยู่ในสำนัก ผู้อาวุโสสูงสุดที่สองก็เพิ่งเริ่มเก็บตัวฝึกฝนเมื่อปีก่อน กล่าวกันว่าเขากำลังจะหล่อหลอมโอสถวิญญาณหนึ่งหม้อ และยังไร้การเคลื่อนไหวจวบยามนี้
“ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามกำลังพบปะกับคู่ศิษย์อาจารย์ ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้”
“และยามนี้ นักบวชสูงสุดรับผิดชอบทุกเรื่องราวในสำนัก ยากจะมีผู้ใดสร้างอิทธิพลต่อการวางตัวของเขาได้”
ฟังจบ ซูอี้ก็พยักหน้ากล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงแนะนำว่า “นายน้อยซู ข้า… ลอบพาเจ้าไปเงียบ ๆ เป็นไร?”
ชายชราตาบอดซึ่งฟังอยู่มีปฏิกิริยาทันควัน
คงจะดีกว่าหากสามารถออกจากโถงหลงลืมโดยเร็วที่สุด
ทว่าซูอี้กล่าวทั้งที่ยังยิ้มอยู่ว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ยามที่เจ้ามาพบข้า นักบวชสูงสุดก็เตรียมการรับมือไว้แล้ว?”
นัยน์ตางามเปี่ยมวิญญาณของชุยจิ๋งเหยี่ยนหรี่ลงเล็กน้อย
ซูอี้กล่าวต่อ “ข้าแน่ใจกระทั่งว่ายามข้าและชายชราตาบอดจากไป นักบวชสูงสุดจะตามมาโดยเร็วที่สุด หากเป็นเช่นนั้น จะจากไปเพื่ออันใด?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าว “ทว่า… หากอยู่ต่อจะไม่เป็นอันตรายหรือ? นี่คือถิ่นฐานของโถงหลงลืมนะ”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “ในสายตาผู้อื่น ที่นี่อาจเป็นถ้ำมังกรรังพยัคฆ์ ทว่าในสายตาข้า มันไม่ต่างจากที่อื่นใดในโลกเท่าไรเลย”
กล่าวจบ เขาก็ดื่มสุราจากไหและมองออกไปนอกหน้าต่าง ยามพลบค่ำมืดหม่น รัตติกาลกำลังมา
ก่อนหน้านี้เขากล่าวไว้แล้ว ว่าหากจะไปยังถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน เขาย่อมไม่จากไปยามนี้
ชุยจิ๋งเหยี่ยนทึ้งผมของนางอย่างเป็นกังวล พลางพึมพำว่า “ในมหาทวีปคังชิงไม่มีจักรพรรดิ เจ้าย่อมเป็นที่เคารพในโลกหล้าจากสิ่งที่ทำอยู่ได้ ทว่านี่คือภูมิมืดมิด นี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไน่เหอนะ! ไฉนเจ้าจึงยังกล้าเช่นนี้อยู่? กล้าไม่เห็นโถงหลงลืมในสายตา…”
หญิงสาวดูรำคาญใจมาก
ซูอี้จึงอดรู้สึกขำขันมิได้ “เอาล่ะ เรื่องของข้า ไม่ต้องให้ยายหนูเช่นเจ้ามาปวดเศียรแทนหรอก”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเดือดดาล ดวงตาคู่งามของนางเบิกกว้าง และกล่าวอย่างโกรธเคือง “ผู้ใดคือยายหนู? เจ้าคงไม่ได้แก่ไปกว่าข้าด้วยซ้ำ! อีกอย่าง ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า ข้าแค่ไม่อยากให้ผู้ที่บรรพชนของข้าให้ค่ามาตายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ต่างหาก!”
สาวงามคือสิ่งใด?
คือสตรีผู้แม้จะโกรธก็ยังแสนงดงาม
รูปลักษณ์ในยามนี้ของชุยจิ๋งเหยี่ยนสะท้อนสิ่งนี้อย่างชัดเจน
“ลืมไปเถอะ ข้าจะไปคุยเรื่องนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดที่สามก่อน นานมาแล้ว เขาเป็นศิษย์น้องของแม่ข้า และข้าคิดว่าเขาคงไม่ทำให้ข้าขายหน้าเป็นแน่”
กล่าวจบ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็หันหลังจากไปอย่างฮึดฮัด
ชายชราตาบอดอดรำพึงไม่ได้ “แม่นางจิ๋งเหยี่ยนผู้นี้ใจร้อนจริงแท้”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ยายหนูผู้นี้ต่างจากย่าของนางจริงแท้ หากชุยหลงเซี่ยงเผชิญหน้าสิ่งใดเช่นนี้ เขาคงมีชีวิตอันแสนน่าเศร้า ข้าล่ะอยากเห็นความสนุกนี้จริง ๆ”
ชายชราตาบอดดูพิกล ไม่ได้ตอบอันใดอย่างฉลาดเฉลียว
เขาไม่คิดว่าตนมีคุณสมบัติพอจะตัดสินพฤติกรรมของยมราชพิพากษาตามอำเภอใจ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากไกล ๆ…
“ซูอี้อยู่ที่นี่หรือไม่?”
ผู้มาเป็นสตรีในชุดนักพรตเต๋าผู้มีสีหน้าท่าทางเย็นชา
ยามนางพูดเช่นนั้น นางก็ปราดเข้ามาในที่พำนักโดยไม่ได้รับคำยินยอม
เมื่อเห็นสตรีผู้นี้ ชายชราตาบอดก็ชะงัก สีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน นางเป็นตัวตนในระดับจักรพรรดิ!
“มีอันใด?”
ซูอี้ซึ่งยังคงนั่งบนเก้าอี้หวายมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้นับว่าเหนือธรรมดา ร่างผอมสูงสะโอดสะอง แม้ว่าจะสวมชุดนักพรตเต๋าเรียบง่าย นางก็ยังงดงาม
ทว่าบรรยากาศรอบตัวนางกลับหนาวยะเยือกยิ่ง การวางตนโดดเดี่ยว ดวงตาจ้องตรงมาเบื้องหน้า เผยความเฉยเมยสูงส่งและกดดัน
นี่ยังทำให้ผู้คนที่เผชิญหน้ากับนางรู้สึกเหมือนถูกข่ม
เหมือนเช่นชายชราตาบอดผู้ร่างเกร็งและจิตใจหดหู่ลงอย่างไม่อาจช่วยได้
นี่ไม่ใช่ความขลาด แต่เป็นการกดข่มของขอบเขตฝึกฝน!
ทว่าซูอี้กลับเหมือนทองไม่รู้ร้อน
อารมณ์และวิญญาณของเขามีประสบการณ์จากอดีตชาติ จึงจะไม่ได้รับผลกระทบ
เมื่อเห็นซูอี้ยังคงนั่งเก้าอี้หวาย ไร้ความคิดจะลุกขึ้นมาทักทายนาง สตรีในชุดนักพรตเต๋าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เคืองโกรธ
นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าชื่อหยวนหลินหนิง เป็นนักบวชลำดับสามแห่งโถงหลงลืม ก่อนหน้านี้จิ๋งเหยี่ยนคงบอกเจ้าเกี่ยวกับการวางตนของโถงหลงลืมของเราแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าคิดเช่นไร?”
นักบวชลำดับสามแห่งโถงหลงลืม!
ชายชราตาบอดมีปฏิกิริยาทันที ก่อนหน้านี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวว่าในโถงหลงลืม บุคคลผู้ไม่เคยลืมเลือนเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจากใจคือผู้อาวุโสกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งนำโดยนักบวชสูงสุดและนักบวชลำดับสาม
และนักบวชลำดับสามหยวนหลินหนิงผู้นี้ก็คือจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น!
โลกหล้าขนานนามนางว่า ‘จักรพรรดิโลกันตร์อเวจี’
สำหรับซูอี้ ไม่ว่าจะเป็นหยวนหลินหนิง หรือนักบวชสูงสุดกู่จงซวิ่น เขาก็ไม่เคยรู้จักคนทั้งสองในอดีตชาติ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายามเมื่อเขาอยู่ในภูมิมืดมิดเมื่ออดีตชาติ ทั้งสองยังห่างไกลจากการพิสูจน์เต๋าเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ ซูอี้ก็กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าคิดว่าการกำจัดความโลภในใจเจ้าคงดีกว่า หาไม่ เจ้าจะรังแต่พาหายนะสู่ตน”
หยวนหลินหนิง “…”
นางไม่เคยคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากมหาทวีปคังชิงจะกล้าพูดกับนางแบบนี้
กระทั่งข่มขู่นาง!
เขาไม่รู้หรือไรว่าจักรพรรดิเป็นดั่งนภาสวรรค์ ไม่อาจถูกลบหลู่ได้?
แววตาของหยวนหลินหนิงเย็นชาขึ้นทุกขณะ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ยามข้ามา นักบวชสูงสุดเคยบอกข้าว่าอย่าได้ทำให้เจ้าอับอายมากนักเพื่อเห็นแก่หน้าจิ๋งเหยี่ยน และสัญญาว่าขอเพียงเจ้ามอบเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาให้ข้าเอง โถงหลงลืมของข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าแย่นัก”
หลังจากชะงักไป นางก็กล่าวต่อ “เท่าที่เรารู้ สหายน้อยผู้นี้ยังมาที่ภูมิมืดมิดเป็นครั้งแรก ไร้ผู้ใดให้พึ่งพิง ทว่าช่างมีวิถีเต๋าล้ำลึกไม่ธรรมดา หาได้ยากนัก หากสหายน้อยเต็มใจ ข้าก็ยินดีรับเจ้าเป็นศิษย์สำนักใน…”
ซูอี้กล่าวขัด “เรื่องนี้ไร้การเจรจา”
ในฐานะจักรพรรดิ นี่คือครั้งแรกที่หยวนหลินหนิงถูกขัดจังหวะอย่างไร้มารยาทโดยชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณ บรรยากาศรอบข้างเย็นเยือก
“พ่อหนุ่ม อย่าหาว่าข้ารังแกผู้น้อยเลย ข้าให้โอกาสเจ้าอีกหนได้นะ”
หยวนหลินหนิงกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้ายังคงรั้น อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเลย”
แรงกดดันของหยวนหลินหนิงแผ่ออกมาจากร่างเงียบ ๆ และชายชราตาบอดก็เปลี่ยนสีหน้า หนาวเยือกดั่งตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
ทว่าซูอี้ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม และกล่าวอย่างสนอกสนใจ “จริงหรือ เช่นนั้นขอดูความไม่เกรงใจนั่นหน่อยประไร?”
สตรีตรงหน้าเขาคือจักรพรรดิผู้ซึ่งเพิ่งพิสูจน์เต๋าได้
และบทบาทเช่นนี้ย่อมน่าสนใจนักสำหรับซูอี้
คู่ควรจดจำว่านับแต่อยู่ในมหาทวีปคังชิง เขาก็เป็นตัวตนอันดับหนึ่งในวิถีวิญญาณ และวางเป้าหมายหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำอยู่แล้ว!
และหยวนหลินหนิงผู้นี้ก็ย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมยิ่ง!
แม้จะไร้ข้อพิพาทนี้ ซูอี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากเรียนรู้บางสิ่งจากอีกฝ่ายอยู่ดี
และวาจายั่วยุของซูอี้ก็ทำให้หยวนหลินหนิงมีโทสะโดยสมบูรณ์
บรรยากาศของทั้งศาลาพลันเย็นเยียบกดดัน
ราวกับอากาศถูกแช่แข็ง!