บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 778: เจตนาแอบแฝง
ตอนที่ 778: เจตนาแอบแฝง
หยวนหลินหนิงตะลึงอึ้ง
นางสะกดกลั้นโทสะ และก่อนจะทันได้ระบาย นางก็ถูกตำหนิโดยหลูฉางหมิงอย่างไม่รักษาหน้า ซึ่งทำให้ใบหน้างดงามของนางแย่ลงเล็กน้อย
ทว่าก่อนที่นางจะทันได้พูด หลูฉางหมิงก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา “โชคดีที่ยังไม่มีการขัดแย้งใด ๆ หาไม่ ข้าคงไม่อาจละเว้นเจ้าได้ในวันนี้!”
ใบหน้าของหยวนหลินหนิงแดงก่ำ
นางคือตัวตนระดับขอบเขตจักรพรรดิ และนับแต่พิสูจน์เต๋าก็แทบไม่มีผู้ใดกล้ากระทำตัวไม่สุภาพกับนาง กระทั่งบุคคลตำแหน่งสูงกว่านางในสำนักยังสุภาพกับนาง
ใครเล่าจะคิดว่าครานี้ หลูฉางหมิงจะตำหนินางอย่างไร้พิธีรีตอง?
เมื่อเห็นดังนั้น ทั้งชายชราตาบอดและนักบวชลำดับเก้าต่างตะลึงงัน แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
หลูฉางหมิงโกรธเกรี้ยว ใช้น้ำเสียงดุดันตำหนิหยวนหลินหนิงโดยไม่ไว้หน้า ซึ่งเหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยแท้จริง
ซูอี้มองภาพทั้งหมดนี้ด้วยแววตาเย็นชา อาจเพราะเห็นแล้วว่าการกระทำของหลูฉางหมิงเป็นการทำเพื่อตนเอง
ในสายตาของซูอี้ เพียงเพราะเห็นแก่หน้าชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้เดียวคงไม่พอจะทำให้ทัศนคติของผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งโถงหลงลืมแข็งกร้าวได้เพียงนี้
ดังนั้น ปัญหาย่อมอยู่ที่คู่ศิษย์อาจารย์
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็เหลือบมองชายชราในชุดนักพรตเต๋าอย่างอดไม่ได้
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าแย้มยิ้มอบอุ่นและพยักหน้าน้อย ๆ
ยามนี้ หยวนหลินหนิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “อาจารย์อา ท่านไม่รู้สาเหตุของเรื่องราววันนี้ ไม่ว่าท่านจะมาเยือนด้วยเหตุผลใด แต่ในความคิดข้า โปรดอย่าเข้ามาพัวพันเลย”
“ถึงอย่างไร เจ้าโถงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทุกเรื่องราวในสำนักถูกจัดการโดยนักบวชสูงสุด คงเป็นการไม่สมควรหากท่านจะเข้ามาวุ่นวาย”
แม้วาจาจะสุภาพ ทว่าการวางตนกลับแข็งกร้าวมากขึ้น
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบข้างพลันหดหู่ลงเรื่อย ๆ
สีหน้าของหลูฉางหมิงดำคล้ำลง กล่าวเสียงแข็งว่า “ไร้สาระ! ในฐานะจักรพรรดิในโถงหลงลืมยังกล้าทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ในถิ่นตน หากทำสำเร็จ พวกเจ้าจะทำให้เราทั้งผองเสียหน้า!”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็พูดเน้นทีละคำ “จำคำข้าไว้ หากข้ายังอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิด!”
หยวนหลินหนิงดูมืดหม่นไม่แน่ใจ
ทุกคนเห็นได้ว่านักบวชลำดับสามผู้มีสมญา ‘จักรพรรดิโลกันตร์อเวจี’ ขุ่นข้องใจยิ่งนัก
“อาจารย์อาโปรดสงบโทสะ นี่ไม่ใช่ความผิดของนักบวชลำดับสาม”
จู่ ๆ เสียงทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
กู่จงซวิ่น นักบวชสูงสุดแห่งโถงหลงลืมปรากฏออกมาจากอากาศธาตุดุจเทพเซียน แขนเสื้อขยับพลิ้ว หลังมาถึง เขาก็ประคองกำปั้นทักทายทุกคนรอบกายก่อน
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับหลูฉางหมิงด้วยสีหน้าละอาย “เพราะแค่ว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ชี้แจงชัดเจน เมื่อนักบวชลำดับสามกระทำการจึงอดใช้อารมณ์ไปนิดหน่อยไม่ได้”
ทุกคนต่างมีสีหน้าอันแตกต่าง
ไม่มีผู้ใดโง่เง่า ย่อมรู้แก่ใจว่าสิ่งที่นักบวชสูงสุดกล่าวนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง
เหตุที่เขาออกมาขอโทษก็เพราะไม่ต้องการล่วงเกินหลูฉางหมิง
ทว่า หลูฉางหมิงกลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ใช้อารมณ์นิดหน่อย? หากข้ามาไม่ทันเวลา นักบวชลำดับสามคงกระทำการพลาดพลั้งใหญ่โตไปแล้ว!”
สีหน้าของหยวนหลินหนิงแย่ลงทุกขณะ ทว่าในยามที่นางกำลังจะโต้เถียงนั้นเอง
นักบวชสูงสุดกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแห้ง “อาจารย์อากล่าวถูกต้อง แต่เดิมแล้ว จากแผนของข้า ข้าหวังว่าจะแลกเปลี่ยนกับสหายเต๋าซู ขอเพียงเขาส่งเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมา เราจะชดเชยให้เขาอย่างงาม”
“เรื่องนี้ นักบวชลำดับสามก็น่าจะเคยพูดกับสหายเต๋าซูแล้วเช่นกัน”
กล่าวจบ เขาก็มองซูอี้
ซูอี้ตอบยิ้ม ๆ “ใช่”
สีหน้าของหลูฉางหมิงอ่อนลงมาก และกล่าวกับนักบวชลำดับสาม “แม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่เจ้าก็พลั้งพลาดในกาลก่อน และควรขอโทษด้วยตนเองนะ”
นักบวชสูงสุดขมวดคิ้ว
ใบหน้างามของหยวนหลินหนิงซีดขาว นางดูไม่อยากเชื่อ “อาจารย์อา ท่านให้ข้าขอโทษ… เขาหรือ!?”
เสียงของนางเปี่ยมโทสะ
สำหรับจักรพรรดิเยี่ยงนาง คำกล่าวของหลูฉางหมิงแทบไร้พิษภัย ทว่ามันหยามเกียรตินางยิ่ง
“กระทำผิดแล้วขอโทษ ผิดแปลกตรงไหนกัน?”
หลูฉางหมิงตำหนิ
หยวนหลินหนิงโกรธเสียจนมือเท้าสั่นเล็กน้อย ทว่านางก็สัมผัสได้ว่ายามนี้ หลูฉางหมิงดูไม่เหมือนผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งโถงหลงลืมเลยสักนิด แต่เหมือนคนกลุ่มเดียวกับซูอี้!
ทันใดนั้น นักบวชสูงสุดก็กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “นักบวชลำดับสาม อาจารย์อาพูดถูก เรื่องนี้เป็นความผิดเราเอง และเราควรขอโทษก่อน”
หยวนหลินหนิงเงียบไป
ครู่ถัดมา นางก็หันกลับมาอย่างยากลำบาก ตามองพื้น และกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ก่อนหน้านี้ ข้าทำตัวไม่สุภาพก่อน หวังว่าเจ้าจะไม่ใส่ใจ”
เห็นเช่นนี้ อารมณ์ของคนทุกผู้ก็สับสนวุ่นวาย
วิถีลึกล้ำเป็นดั่งสรวง และจักรพรรดิก็เป็นดุจเทพ!
ในขณะเดียวกัน จักรพรรดิเยี่ยงหยวนหลินหนิงก็ถือครองตำแหน่งนักบวชในโถงหลงลืม สลักในใจเหล่าผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้า เป็นตัวตนสูงสุดเยี่ยงเทพเซียน
ทว่ายามนี้ ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์บีบบังคับหรือแรงกดดันก็ตาม หนึ่งจักรพรรดิเช่นนางก็ก้มหัวให้ซูอี้!
ภาพนี้น่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย!
นักบวชสูงสุดดูมีสีหน้าซับซ้อน
นัยน์ตาของหลูฉางหมิงวูบไหว
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่ชายหนุ่มชุดขาวศิษย์เขาตะลึงอึ้ง
ชายชราตาบอดโอดครวญในใจ ยามนี้ดูเหมือนซูอี้ถือไพ่เหนือกว่า ทว่าเกรงว่าหยวนหลินหนิงคงเกลียดซูอี้เข้ากระดูกดำไปแล้ว!
รุ่ยหยางถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่เกิดการวิวาท ซึ่งก็พอแล้ว
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเองก็นิ่งอึ้ง
นางไม่คาดว่าการวางตัวของหลูฉางหมิงจะแข็งกร้าวเย่อหยิ่ง กดดันเสียจนนักบวชลำดับสามอย่างหยวนหลินหนิงต้องก้มหัวในทันที!
ทว่าสำหรับซูอี้ การขอโทษเช่นนี้ ทำไปก็เหมือนไม่ได้ทำ
ในอดีตชาติ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเยี่ยงหยวนหลินหนิงไร้คุณสมบัติจะอยู่ในสายตาเขา อย่าว่าแต่มาขอโทษอย่างถูกบีบบังคับไม่จริงใจเช่นนี้เลย
สิ่งซูอี้ไม่ชอบที่สุดคือการใช้อำนาจผู้อื่นมารังแกคน
ยามนี้ หลูฉางหมิงแย้มยิ้มและประคองกำปั้นให้ซูอี้ “ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าสหายเต๋าจะไม่ถือโทษ”
เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามแห่งโถงหลงลืม และมีการฝึกฝนอยู่ในระดับจักรพรรดิแห่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ทว่ายามนี้ เขากลับชิงออกมาขออภัยซูอี้ก่อน ทั้งยังเรียกชายหนุ่มเช่นซูอี้เป็น ‘สหายเต๋า’!
การไว้หน้าเช่นนี้เพียงพอแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปในวิถีวิญญาณ เกรงว่าคงเก้อเขินไปเป็นที่เรียบร้อย และจะคำนับตอบอย่างจริงจังเกรงขามด้วย
ทว่าซูอี้กลับเมินเฉย
จากนั้นเขาก็กล่าวกับหยวนหลินหนิงว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจ กล่าวตามตรง ข้าก็ไม่เป็นสุข ยามข้าออกจากโถงหลงลืม เจ้าจะมาหาข้าอีกก็ได้”
หลังจากนิ่งไป เขาก็กล่าวว่า “เหมือนเช่นที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ ถึงยามนั้น ข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง”
ทุกคนล้วนตะลึงงัน
กระทั่งหลูฉางหมิง กู่จงซวิ่นและรุ่ยหยางต่างก็แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เจ้าคนผู้นี้ต้องเย่อหยิ่งเพียงไรถึงกล้าขู่จักรพรรดิว่าจะสั่งสอนนาง!?
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าดูพิกล
ใบหน้างามของชุยจิ๋งเหยี่ยนชะงักค้าง พึมพำในใจ ‘ไฉนคนผู้นี้ต้องได้รับอำนาจแล้วเหลิงไม่ปล่อยวางด้วยนะ? เหตุใดจึงไม่ยอมรับมันยามพบเห็น? แล้วไยบรรพชนจึงต้องให้ค่าคนบ้าบิ่นเยี่ยงเขาด้วย? ’
หยวนหลินหนิงโกรธจนหัวเราะ ไม่อาจกล่าววาจาใดได้อีก
นับแต่การฝึกฝนหนึ่งพันสามร้อยปีของนาง นางก็ไม่เคยถูกลบหลู่ล่วงเกินเท่าวันนี้มาก่อน
โกรธเสียจนแทบบ้า!
นางผู้สูงส่งมีเกียรติไม่เพียงถูกบังคับให้ขอโทษชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณในถิ่นของตน ยังถูกข่มขู่ว่าจะสั่งสอน!
หากไม่ได้มาสัมผัสความรู้สึกนี้ด้วยตนเอง คงไม่อาจบรรยายความอับอายและโทสะนี้ได้เลย
“ได้! เมื่อถึงเวลา ข้าไปแน่!”
ครู่ถัดมา หยวนหลินหนิงก็กล่าววาจาเหล่านี้อย่างเย็นชาก่อนเดินจากไป
นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ
ยามนี้นางไม่อยากพบซูอี้อีก หาไม่ นางเกรงว่าคงพลั้งมือทำลายเขาอย่างสุดกำลังเป็นแน่!
“อาจารย์อา ขอตัวก่อน!”
นักบวชสูงสุดเองก็ดูฉุนโกรธ และหันหลังจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา
หัวใจของชายชราตาบอดผู้เห็นเหตุการณ์ดิ่งวูบ นี่ไม่ต่างจากการฉีกหน้ากันเห็น ๆ!
ทำนายได้เลยว่ายามที่เขากับซูอี้จรจาก นักบวชลำดับสามจะมาแก้แค้นแน่นอน
“อนิจจา! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้…”
นักบวชลำดับเก้าถอนหายใจ
ใบหน้างามของชุยจิ๋งเหยี่ยนแปรเปลี่ยนสีหน้า แต่เดิมนางขอให้ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามมาไกล่เกลี่ยพิพาท ทว่าไม่คาดว่าผลสุดท้ายจะกลายเป็นเช่นนี้…
“สหายเต๋าซู เจ้าทะนงตนเกินไปแล้วกระมัง”
ยามนี้ หลูฉางหมิงอดขมวดคิ้วกล่าวเบา ๆ ไม่ได้
ซูอี้ยิ้มและถามย้อน “ไม่ใช่ว่านี่คือสิ่งที่เจ้าอยากเห็นอยู่แล้วหรือ?”
หลูฉางหมิงตกใจ แล้วจึงขมวดคิ้ว “สหายเต๋าหมายความเช่นไร?”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาลึกล้ำ “กล่าวตามตรง หากเจ้ามาช่วยอย่างจริงใจ คงไม่สร้างสถานการณ์ ‘ฉีกหน้าตนเอง’ เช่นนี้แน่”
ทันทีที่วาจาถูกเปล่ง ทุกคนก็ร่างสะท้านหน้าเปลี่ยนสี
หลูฉางหมิงขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อย ๆ และกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “สหายเต๋าซูคิดว่าตาเฒ่าผู้นี้จงใจก่อปัญหาหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้ารู้ดีกว่าข้า ในเมื่อจะแก้ข้อพิพาท ก็ไม่เห็นต้องไปยั่วโทสะสตรีนามหยวนหลินหนิงผู้นั้น เพราะมันรังแต่จะทำให้นางเกลียดข้ายิ่งกว่าเก่า”
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวต่อพลางยิ้ม “แน่นอน ข้าไม่สนใจจะมานั่งคิดหรอกว่าไฉนเจ้าจึงทำเช่นนี้ และข้าก็ไม่สนใจด้วยว่าเจ้าจะเกลียดข้าหรือไม่”
ผู้คนพากันนิ่งคิด และสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนแตกต่างกันไป
ใบหน้างามของชุยจิ๋งเหยี่ยนแปรเปลี่ยน หากจริงดังที่ซูอี้ว่า เช่นนั้นการกระทำก่อนหน้านี้ของหลูฉางหมิงก็ไม่ต่างจากการโหมกระพือเพลิงโดยแท้!
ใบหน้าของหลูฉางหมิงมืดดำ เขาโกรธอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวว่า “ได้ ข้าอุตส่าห์มาช่วย แต่สุดท้ายสหายเต๋าซูกลับทำเหมือนข้าเป็นตัวร้าย หากรู้เช่นนี้ ข้าก็ไม่น่าเข้ามาพัวพันเลย!”
เขาประคองกำปั้นกล่าวกับชายชราในชุดนักพรตเต๋าว่า “พี่ชายร่วมวิถี ข้าจะขอล่วงหน้าไปก่อน”
ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งโถงหลงลืมจากไปอย่างเดือดดาล
เมื่อเห็นเช่นนี้ รุ่ยหยางก็ถอนหายใจและหันหลังกลับ
เขาไม่อยากลงมาอยู่ในปลักโคลนนี้อีกจริง ๆ
“นายน้อยซู เจ้า… คิดมากไปหรือเปล่า?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนซึ่งยังดูไม่อยากเชื่ออดถามขึ้นมาไม่ได้
ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามคือผู้ช่วยเหลือที่นางเชิญมา หากอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย คนที่ต้องกล่าวโทษก็คือนาง
ซูอี้ไม่ได้อธิบาย แต่กลับกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ข้าอยากคิดมากกว่านี้”
เขาผ่านเรื่องราวมามากมายในอดีตชาติ จะมองไม่เห็นความคิดของหลูฉางหมิงได้เช่นไร?
“เป็นความผิดข้าเช่นกันที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าพลันกล่าวอย่างขอโทษขอโพย “หลูฉางหมิงไม่อยากเข้าร่วมกับเรื่องนี้ ทว่าข้ากลับเกลี้ยกล่อมให้เขาก้าวออกมา ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสนี้สร้างปัญหา ข้าจึงขอให้สหายเต๋าโปรดอภัยด้วย”
หัวใจของชุยจิ๋งเหยี่ยนเย็นวาบยามวาจานี้ถูกเปล่ง
ในที่สุดหญิงสาวก็กล้าเชื่อว่าการกระทำเมื่อครู่ของซูอี้ไม่ใช่เพราะเขาคิดมากไป แต่มีปัญหากับผู้อาวุโสสูงสุดที่สามจริง ๆ!