บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 78 แค่ครั้งนี้เท่านั้น
ตอนที่ 78: แค่ครั้งนี้เท่านั้น
ซูอี้มองดาบสุดแดนดินในมือ และกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ตั้งแต่แรก ข้าไม่ได้สนใจตระกูลเหวินแต่อย่างใด แต่พวกเจ้ากลับทำตัวหยิ่งทะนง จนถึงตอนนี้ ยังกล้ามาถามอะไรแบบนี้อีกหรือ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เผยรอยยิ้มออก “ในเมื่อพวกเจ้ายังโง่เขลาดื้อรั้น เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะถือว่าที่นี่เป็นสนามรบ ทำการฆ่าเพื่อความบันเทิงสักครา”
หลังจากพูดจบ ซูอี้ก็ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือกน่าขนลุกกระจายออกจากร่าง กลิ่นอายที่ปลดปล่อยราวกับกระแสน้ำเย็นเยือกที่สามารถเสียดแทงไปถึงกระดูกกระจายไปทั่วห้องโถง
ทุกคนสั่นสะท้าน ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
ช่างเป็นเจตนาสังหารที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!
แม้กระทั่งเหวินฉางจิ้ง ลมหายใจของเขายังขาดห้วง ความกลัวที่ยากจะอธิบายแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ เขาตกตะลึง ไม่กล้าพูดอะไร
เหวินฉางชิงผู้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าซูอี้ สัมผัสได้มากที่สุด เขารู้สึกว่าดาบนับพันกำลังจ่อเข้าใส่ทุกทิศทาง ตราบที่ความคิดของซูอี้ขยับ นั่นหมายถึงจุดจบของชีวิตเขา!
“พอ!”
ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนดังลั่นมาจากนอกห้องโถง
ซูอี้หันศีรษะไปมอง เห็นแม่เฒ่าเหวินผมขาวยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของนางหมองหม่นและซีดเซียว เต็มไปด้วยความมัวหมองและเกรี้ยวกราด
ในมือขวา นางถือยันต์หยกเอาไว้มั่น
ยันต์ใบนี้มีชื่อว่า ‘คมดาบดารา’ ซึ่งถูกมอบให้โดยซูหงหลี่ผู้เป็นผู้นำตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง เพียงครั้งเดียว มันก็สามารถปลิดชีพปรมาจารย์ขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ขอบเขตหลอมกำเนิดได้!
แน่นอนว่าซูอี้จำยันต์ใบนี้ได้
ย้อนกลับไปตอนโถงยอดอ่อนบุปผาของแม่เฒ่าเหวิน นางเคยใช้สิ่งนี้ข่มขู่ รวมถึงย้ำเตือนซูอี้
“หญิงเฒ่า หลังจากงานเลี้ยงวันเกิด เจ้าไม่ได้บอกพวกเขาหรือ ว่าอย่ามายั่วโมโหข้า?” ซูอี้ถามอย่างสงบ
แม่เฒ่าเหวินมองดูเหล่าสมาชิกตระกูลเหวินผู้ตื่นตระหนก จากนั้นมองเหวินฉางชิงผู้ถูกดาบแทงจนลงไปกองกับพื้น คิ้วของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความโกรธ
นางสูดหายใจเข้า มองซูอี้อีกครั้ง และถามว่า “เจ้าช่วยไว้หน้าหญิงชราผู้นี้สักครา และหยุดเหตุการณ์ในวันนี้ได้หรือไม่?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก ตอบว่า “แค่ครั้งนี้เท่านั้น”
หนึ่งปีที่เข้ามาอยู่ในตระกูลเหวิน ถึงแม้จะถูกเยาะเย้ยถากถางมากมาย แต่ไม่มีใครลงมือกลั่นแกล้งเขาให้เลือดตกยางออก
นี่ไม่ใช่เพราะตระกูลเหวินเปี่ยมด้วยความเมตตา แต่เป็นเพราะ… นี่คือความคิดและเป็นคำสั่งจากแม่เฒ่าเหวิน
ขณะนี้ แม่เฒ่าผู้นี้ที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดของตระกูลเหวินมาช้านานยอมก้มหัวขอความเมตตา อย่างไรก็ต้องไว้หน้านางกันบ้าง
คำพูดของซูอี้ ทำให้ทุกคนในห้องโถงรับรู้ถึงชีวิตที่ยังหลงเหลือ ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สีหน้าหมองหม่นของแม่เฒ่าเหวินจึงแปรเปลี่ยนเป็นปล่อยใจเช่นกัน กล่าวว่า “มิตรภาพนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ”
ซูอี้เก็บดาบเข้าฝัก เขาไม่คิดที่จะเหลียวแลคนในห้องโถงอีก ก่อนหันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอก
ทว่า ตอนเดินผ่านแม่เฒ่าเหวิน เขากลับหยุดนิ่งก่อนกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าจะออกจากเมืองกว่างหลิงในไม่ช้า นับจากนี้ไป ข้าและตระกูลเหวินไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก”
“แน่นอน ถ้าเจ้าไม่พอใจ เจ้าสามารถเขียนคำขอไปยังตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเพื่อช่วยจัดการกับข้าได้”
หลังจากนั้น เขาก็เดินจากไป
ร่างในชุดเขียวราวหยก จากออกไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีใครกล้าหยุดตั้งแต่ต้นจนจบ
ใบหน้าของแม่เฒ่าเหวินขุ่นเคืองสักพัก ผ่านไปเนิ่นนาน นางก็ถอนหายใจยาวก่อนเก็บยันต์หยกที่กุมไว้ในมือมั่นกลับไป
จากนั้นนางก็ก้าวเข้าไปในห้องโถง
ความยุ่งเหยิงและเลือดกระจายทุกหนแห่ง ดูระยิบระยับ เมื่อมองสีหน้าวิตกและหวาดกลัวของทุกคน อารมณ์ที่ยากจะบรรยายก็เอ่อล้นขึ้นในใจ
ตระกูลเหวินยิ่งใหญ่เพียงนี้ แต่ไม่มีใครสามารถพลิกสถานการณ์ได้!
“คนที่ได้รับบาดเจ็บไปรักษา ที่เหลืออยู่ก่อน”
แม่เฒ่าเหวินหักห้ามความเศร้าโศกและความโกรธในใจเอาไว้ ขณะกล่าวอย่างเย็นชา
ไม่ช้า เหวินฉางชิงกับเหล่าผู้คุ้มกันที่ได้รับบาดเจ็บล้วนถูกหามออกไป
อีกด้านหนึ่งเหวินฉางจิ้งเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ฟัง ไม่กล้าปกปิดแม้แต่นิดเดียว
หลังจากได้ฟัง แม่เฒ่าเหวินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ เป็นความโกรธที่ไร้ซึ่งพรมแดน นางก้าวไปข้างหน้าทันที ก่อนตบหน้าเหวินฉางจิ้งอย่างแรง
เพียะ!
เสียงตบดังสนั่น ทำให้เหวินฉางจิ้งตกตะลึงเล็กน้อย
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกับแม่เฒ่ากันแน่?
แม่เฒ่าเหวินเดือดดาล กล่าวด้วยเสียงคมปลาบว่า “ตอนซูอี้เข้าตระกูลเหวิน ข้าย้ำเตือนเจ้าหนักหนาไปแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามเจ้าหรือผู้ใดก้าวก่ายเรื่องของซูอี้ ปล่อยให้เขาดูแลตัวเอง!?”
เหวินฉางจิ้งเงียบ แน่นอนว่าเขาจำประโยคนี้ได้
แม่เฒ่าเหวินเกลียดเหล็กที่ไม่ทำตัวเป็นเหล็กกล้า จึงต่อว่าอย่างเดือดดาลว่า “ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเหวินมาช้านานแล้ว แต่เจ้ากลับโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ได้อย่างไร! เจ้าใช้หัวสมองข้างใดคิด ถึงมอบหมายให้ชายหนุ่มผู้สามารถได้รับอันดับหนึ่งในการประลองประตูมังกร ผู้สามารถได้รับการนอบน้อมจากฟู่ซาน หวงอวิ๋นชงและผู้อื่น มาเป็นข้ารับใช้ลูกชายเจ้า!”
ใบหน้าของเหวินฉางจิ้งน่าเกลียด
ไม่ไกลกันนั้น เหวินเจวี๋ยหยวนรู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงอยากหาโอกาสเข้าไปแทรก
“ท่านแม่เฒ่า ตอนแรกข้าคิดเช่นนี้ หากเราชุบเลี้ยงซูอี้ เกรงว่ามันจะไม่ต่างกับการเลี้ยงเสือ แต่ถ้าขับไล่ออกไป ท่านก็ไม่เห็นด้วยอีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องตั้งเงื่อนไขเช่นนั้นขึ้นมา”
เหวินฉางจิ้งอธิบายเสียงต่ำต่ออีก “อีกอย่าง ข้าบอกแจ้งชัดเจนแล้วว่า หากเขาไม่พอใจในข้อเสนอ เขาสามารถต่อรองได้ ข้าคิดว่าเขาเป็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี เป็นลูกเขยของตระกูลพวกเรา หากเอ่ยเงื่อนไขเช่นนี้มันก็น่าจะมากพอที่จะโน้มน้าวเขาได้ ใครจะคาดคิด เขาถึงกับ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็อดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้
ถ้ารู้ว่าซูอี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาจะยอมทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้อย่างไร?
แม่เฒ่าเหวินถอนหายใจยาว กล่าวว่า “ความผิดข้าเอง ข้าปฏิบัติตามคำสั่งมาตลอด จึงไม่สามารถบอกตัวตนของซูอี้ได้ ไม่อย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้…”
เสียงของนางทั้งขมขื่นและสำนึกผิด
“ท่านแม่เฒ่า ซูอี้คนนี้มีภูมิหลังอื่นอย่างนั้นหรือ?” เหวินเจวี๋ยหยวนอดที่จะถามไม่ได้
บุคคลใหญ่โตคนอื่นล้วนมองแม่เฒ่าเช่นกัน
แม่เฒ่าหัวเราะกับตัวเอง “คิดจริง ๆ หรือว่า ข้าที่มีหัวใจแกร่งดั่งหินผา จะเห็นดีเห็นงามให้หลิงเจาตบแต่งกับศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอ แต่ในตอนนั้น ข้าทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก!”
ทุกคนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แม้แต่แม่เฒ่าก็ทำได้เพียงฝืนยอมรับเท่านั้น ต้องมีบางอย่างผิดปกติกับงานแต่งนี้แน่นอน!
เหวินฉางจิ้งคล้ายกับจำบางอย่างขึ้นมาได้ ทั่วร่างราวกับถูกฟ้าผ่า ก่อนกล่าวเสียงหลงว่า “ท่านแม่เฒ่า หรือว่าซูอี้คนนี้กับนครหลวงอวี้จิงจะ…”
“หุบปาก!” แม่เฒ่าขัดทันที
แต่ประโยคนี้ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในใจของทุกคน สีหน้าของผู้อาวุโสตระกูลเหวินเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
พวกเขาล้วนรู้ดี เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่แม่เฒ่ายังสาว นางเคยเป็นสาวใช้ของผู้นำตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง!
ตระกูลซู หนึ่งในตระกูลมหาอำนาจของนครหลวงอวี้จิง!
เทียบกันแล้ว ตระกูลเหวินเช่นพวกเขาก็ไม่ต่างจากมด ทำได้แค่เงยหน้ามองขึ้นเท่านั้น!
ส่วนซูอี้ เขาก็มีแซ่ซูเช่นกัน…
ความเชื่อมโยงนี้ ใครบ้างจะไม่เอะใจ?
เมื่อแม่เฒ่าเหวินเห็นเช่นนี้ นางจึงถอนหายใจออกมา ใบหน้าของนางจริงจังและเคร่งขรึมยิ่ง กล่าวว่า “เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่นิดเดียว หาไม่แล้ว ตระกูลเหวินของพวกเราจะถูกกวาดล้าง และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!”
ในใจของทุกคนสั่นสะท้าน ความเย็นเยียบกระจายไปทั่วทั้งร่าง
ด้วยอิทธิพลอันมากล้นของตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือด้วยตัวเอง เพียงแค่เอ่ยวาจา ผู้คนนับไม่ถ้วนก็พร้อมใจจะบุกเข้ามาทำลายตระกูลเหวิน!
“ถ้าข้ารู้ว่าตัวตนของซูอี้ไม่ธรรมดา ข้า…ข้าคงไม่กระทำอย่างที่แล้วมา…” เหวินฉางจิ้งเสียสติ ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
“ไม่ เจ้าผิดแล้ว”
สีหน้าของแม่เฒ่าเฉยชา “ซูอี้ก็คือซูอี้ เขาไม่ใช่ตัวแทนของใคร เขาเปรียบเสมือนโรคระบาดต่อตระกูลนั้น ยิ่งเขากระโจนเข้าสู่อนาคตมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการเข้าใกล้ความตายมากเท่านั้น”
ทุกคนประหลาดใจ ซูอี้ถูกนับว่าเป็นโรคระบาดงั้นหรือ?
นี่นับว่าน่าสนใจ…
“สำหรับเรื่องวันนี้ จงปล่อยผ่านไป อีกไม่นาน ซูอี้จะไม่อยู่ในเมืองกว่างหลิงแล้ว ซึ่งสำหรับพวกเราตระกูลเหวิน นี่นับเป็นเรื่องที่ดี”
แม่เฒ่าลุกขึ้น และเดินมุ่งหน้าไปยังประตูห้องโถงหลัก “จำสิ่งที่ข้าพูดให้ดี อย่าข้องเกี่ยวกับซูอี้คนนี้อีก เขาคือหายนะ เป็นตัวอันตรายต่อทั้งตัวเขาเองและผู้คนที่อยู่รอบข้าง!”
เหวินฉางจิ้งพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงไล่ตามนางแล้วถามว่า “ท่านแม่เฒ่า แล้วจะทำอย่างไรกับหลิงเจา? เด็กคนนี้ตั้งใจจะยกเลิกการแต่งงาน หากนางไปยั่วโมโหซูอี้เข้า จะไม่เป็นอันตรายกับนางหรือ?”
แม่เฒ่านิ่งสักพัก สีหน้าเปลี่ยนไปชั่วขณะ
ตอนนี้เหวินหลิงเจาคือศิษย์ของตำหนักเทียนหยวน เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์จู้กู่ชิง อีกทั้งยังเป็นความหวังในการเรืองอำนาจของตระกูลเหวิน
ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ จะปล่อยให้ถูกทำลายไม่ได้
“ข้าจะเขียนหานางเพื่อบอกสิ่งที่ควรทำเอง”
หลังจากนั้น แม่เฒ่าก็จากไป
เหตุการณ์วันนี้ที่เกิดขึ้นในห้องโถงตระกูลของตระกูลเหวิน ถูกปกปิดอย่างแน่นหนา ไม่มีการแพร่งพรายออกไป
นับว่าโชคดีที่มันเกิดขึ้นในห้องโถงตระกูล จึงไม่มีคนนอกอยู่ใกล้เคียง
ไม่เช่นนั้น ข่าวคราวก็จะไม่ถือเป็นความลับอีกต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเหวินฉางจิ้งก็รู้ดี ว่าข่าวนี้คงปกปิดได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง มันไม่มีวันปกปิดได้ตลอดกาล
แต่สำหรับตอนนี้ พวกเขาทำได้เพียงเท่านั้น
…
ช่วงเวลาพลบค่ำ
เรือนเล็กเหมยอำพัน
ซูอี้ยืนอยู่บนต้นหวายเก่าแก่ในลานบ้านโดยเอามือไพล่หลัง สายตาเหม่อมองท้องนภาผ่านแมกไม้ ท่วงท่าดูผ่อนคลาย
“โลกของเมืองกว่างหลิง ขนาดของมันเพียงเท่าฝ่ามือ ไม่มีอะไรให้เชยชม”
ผ่านไปพักใหญ่ ซูอี้จึงถอนสายตากลับมา แล้วเดินเข้าไปในห้องและเริ่มเก็บของ
เดิมที เขาคิดที่จะรอให้เหวินหลิงเสวี่ยกลับมาก่อน เพื่อจะได้อยู่กับนางสักพัก
แต่ตอนนี้ เหวินหลิงเสวี่ยกำลังฝึกฝนอยู่ที่สำนักดาบชิงเหอ ในใจของเขาจึงไม่เหลือความกังวลใดอีก เขาจึงตัดสินใจที่จะไปพรุ่งนี้เช้า เพื่อมุ่งสู่มหานครอวิ๋นเหอ!
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ซูอี้เก็บของเรียบร้อย เขาเอนกายอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ไม้ไผ่ในลานบ้านเพื่อมองอาทิตย์ตกดินบนท้องนภา
เขากำลังคิดบางสิ่งอยู่ในใจอย่างเงียบงัน ส่วนใหญ่ข้องเกี่ยวกับการบ่มเพาะขั้นต่อไป นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์กับความทรงจำในอดีตที่ข้องเกี่ยวกับมหานครอวิ๋นเหอ
เขาเคยฝึกฝนอยู่ในสำนักดาบชิงเหอสามปี แถมยังเคยเข้าออกมหานครอวิ๋นเหอมาหลายครั้ง
ความทรงจำในช่วงสามปีนั้น ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสีดำ ความเศร้าโศก ความเสียใจ ความสิ้นหวัง…
ตอนเข้าสำนักดาบชิงเหอ เขาอายุเพียงสิบสามปี และยังอยู่ตัวคนเดียว
นอกจากโดดเดี่ยวแล้ว เขายังไม่เข้าสังคม ไม่รู้วิธีเอาใจผู้อาวุโสประจำสำนัก ปฏิเสธที่จะก้มหัวให้กับเพื่อนร่วมสำนักที่ทรงอำนาจ เขาจึงได้พบกับการกลั่นแกล้ง การทุบตี การเหยียดหยามและการปฏิเสธนับไม่ถ้วน…
แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้ทำให้เขาล้มลง แต่มันกลับกลายเป็นเปลวไฟแห่งความเกลียดชัง คอยแผดเผาเพื่อให้เขาฝึกฝนอย่างหนัก และสม่ำเสมอ
เพียงแค่สามปี เขาก็กลายเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ!
ทว่า…
ความคับแค้นที่สั่งสมในใจมาสามปียังไม่ทันได้แก้แค้น เป็นเพราะอุบัติเหตุนั่น ทำให้การบ่มเพาะทั้งหมดสูญสิ้น
ด้วยเหตุนั้น ความเกลียดชังที่เขาสั่งสมไว้ในช่วงสามปี ความขมขื่นและความโกรธที่ฝังอยู่ในใจ จึงยังไม่ได้รับการสะสางในท้ายที่สุด
“ในอดีต ข้าทำได้เพียงอดทน ถึงแม้จะน่าขมขื่น แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้ข้าไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตา…”
บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ซูอี้ถอนหายใจยาว จากนั้นดวงตาลุ่มลึกของเขาเริ่มส่องประกายราวเปลวไฟ
“ครั้งนี้เมื่อข้าไปสำนักดาบชิงเหอ ข้าจะสะสางบัญชีที่คั่งค้างในอดีตทั้งหมด เพื่อปลดบ่วงในใจให้สิ้น!”