บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 784: มีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงด้วย
ตอนที่ 784: มีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงด้วย
กู่จงซวิ่น นักบวชสูงสุดประหลาดใจยิ่ง
เขารู้มานานว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนตั้งใจใช้มหาค่ายกลรับส่งของตระกูลเพื่อพาซูอี้ไปยังตระกูลชุย
ด้วยเหตุนี้ เขาได้เตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว และมั่นใจว่าต่อให้ออกเดินทางด้วยค่ายกลรับส่ง ต่อให้ซูอี้มีปีกก็ไม่อาจบินหนีไปได้
แต่ใครเล่าจะคิด พวกซูอี้กลับเปลี่ยนใจ!
“ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ หากไม่ใช้ค่ายกลรับส่ง ถ้าพวกเขาเดินทางด้วยเท้าต่อให้ผ่านไปอีกเป็นเดือนก็อย่าหวังว่าจะออกจากเขตแม่น้ำลืมเลือน”
กู่จงซวิ่นขมวดคิ้ว “ซูอี้ผู้นี้… มีแผนใดกันแน่?”
“นักบวชสูงสุด จะคิดมากไปไย เขตแม่น้ำลืมเลือนเป็นถิ่นของพวกเราโถงหลงลืม บรรดาขุมกำลังชั้นนำที่กระจัดกระจายอยู่ในดินแดนเขตแม่น้ำลืมเลือนล้วนแต่นับถือโถงหลงลืมของเราเป็นใหญ่”
หยวนหลินหนิง นักบวชลำดับสามซึ่งอยู่ด้านข้างส่งสายตาเย็นเยียบ “ขอเพียงท่านสั่งลงมา บรรดาขุมกำลังย่อมเป็นหูเป็นตาให้เรา เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าซูอี้ปรากฏตัวที่ใด พวกเราย่อมรู้ได้ทันที!”
เมื่อกล่าวถึงซูอี้ ภายในใจของหยวนหลินหนิงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเคียดแค้น นางแทบอยากออกเดินทางเสียเดี๋ยวนี้เพื่อชะล้างความอัปยศ!
“เจ้าอย่าปล่อยให้โทสะครอบงำ”
นัยน์ตาของกู่จงซวิ่นวูบไหว “ท่าทีของอาจารย์อาหลูฉางหมิงเมื่อวานผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะช่วยซูอี้ กระนั้นกลับมีแววว่าเป็นการปลุกระดม”
เมื่อพูดมาถึงนี่ ความคิดแล่นในใจเขา “เอาอย่างนี้ เจ้าพานักบวชลำดับห้าออกเดินทางด้วยกัน”
“นักบวชลำดับห้า?”
หยวนหลินหนิงชะงัก “พาเขาไปเพื่อเหตุใด”
“นักบวชลำดับห้าเป็นศิษย์เอกของอาจารย์อาหลูฉางหมิง สนิทชิดเชื้อกับอาจารย์อาหลูฉางหมิงเป็นที่สุด อาจารย์อาหลูตัดสินใจไว้นมนานแล้วว่าถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อให้นักบวชลำดับห้าได้บรรลุเป็นจักรพรรดิ”
กู่จงซวิ่นกล่าวเรียบ ๆ “เจ้าพานักบวชลำดับห้าไปจัดการซูอี้ด้วย หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับนักบวชลำดับห้า เจ้าคิดว่าอาจารย์อาหลูจะยังนั่งติดอยู่หรือไม่?”
หยวนหลินหนิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “แค่จัดการซูอี้คนเดียว ไฉนเล่าต้องวางแผนแยบยลปานนี้?”
นางรู้สึกว่ากู่จงซวิ่นทำเกินเหตุ
กู่จงซวิ่นหัวเราะ “จากเมื่อวาน ในเมื่ออาจารย์อาเข้ามาเกี่ยวข้อง ห้ามไม่ให้พวกเรา ‘ทำการแลกเปลี่ยน’ กับซูอี้ เวลานี้ จะปล่อยให้ท่านอยู่เฉยเฝ้ามองพวกเราต่อสู้กันเองได้อย่างไร”
“มิหนำซ้ำ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงโอกาสวาสนาครั้งใหญ่อย่างเมล็ดพันธุ์คังชิง ขอให้นักบวชลำดับห้าลงมือกับเจ้าด้วย หาได้ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด”
พูดมาถึงนี่ เขาก็ทอดสายตามองหยวนหลินหนิง “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ ต่อให้ภายภาคหน้าอาจารย์อาหลูมีการกล่าวโทษ ย่อมเป็นข้าที่ต้องเผชิญ”
หยวนหลินหนิงพยักหน้า จากนั้นลุกขึ้นพลางกล่าว “ข้าจะไปหานักบวชลำดับห้าเดี๋ยวนี้”
…..
นักบวชลำดับห้ามีนามว่าหลี่ฉางชิง ผลการฝึกอยู่ที่ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์
ตอนที่หยวนหลินหนิงมาหา หลี่ฉางชิงกำลังดื่มชาอยู่อย่างสบายใจ
“นักบวชสูงสุดมีคำสั่ง ให้เจ้ากับข้าไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน”
หยวนหลินหนิงแสดงเจตนาการมาชัดเจน
แม้จะมีตำแหน่งนักบวชเหมือนกัน แต่นางเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นหลี่ฉางชิงจึงเทียบไม่ติด
หลี่ฉางชิงผงะ ลุกขึ้นพลางกล่าว “ขอถามท่านได้หรือไม่ นักบวชสูงสุดต้องการให้พวกเราปฏิบัติภารกิจใดหรือ?”
หยวนหลินหนิงกล่าว “ตามหาซูอี้ให้เจอ และนำเมล็ดพันธุ์คังชิงกลับมา”
นางไม่คิดปิดบังเรื่องแบบนี้
สีหน้าของหลี่ฉางชิงเปลี่ยนไปทันควัน เขาสูดหายใจเข้าลึก “คำสั่งจากนักบวชสูงสุด ข้าย่อมไม่บังอาจคัดค้าน เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนนี้ข้าต้องไปแสดงความคารวะต่อท่านอาจารย์ ไว้ข้ากลับมาเมื่อใด จะออกเดินทางพร้อมท่านทันที”
หยวนหลินหนิงส่ายหัวพลางกล่าว “เวลามีจำกัด ไม่อาจเสียไปได้”
หลี่ฉางชิงใจกระตุกวูบ “จำต้อง… ออกเดินทางตอนนี้เลยหรือ?”
หยวนหลินหนิงพยักหน้า “ใช่”
สีหน้าหลี่ฉางชิงเปลี่ยนแปลงวูบไหว ท้ายสุดก็พยักหน้าตกลง “ได้”
เวลานี้ นักบวชสูงสุดเป็นผู้แทนดูแลสั่งการทุกสิ่งในโถงหลงลืม ส่วนนักบวชลำดับสามหยวนหลินหนิงเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เขาอยากปฏิเสธก็คงไม่ได้
หยวนหลินหนิงพาหลี่ฉางชิงออกจากหุบเขาไน่เหอทันที
เพียงครึ่งชั่วยามให้หลัง
ยอดเขาอัสดงสว่างภพ
ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง หลูฉางหมิงซึ่งกำลังตัดแต่งดอกไม้ต้นหญ้าอยู่คิ้วขมวดฉับพลัน
หากเป็นปกติ หลี่ฉางชิง ลูกศิษย์ของเขาต้องมาคารวะทุกเช้า เพื่อขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการฝึกฝน
ทว่าวันนี้ เขารอมาครึ่งชั่วยามแล้ว หลี่ฉางชิงยังไม่มา
แบบนี้ผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานั้น เสียงเข้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนอกถ้ำ
“อาจารย์อาหลู ข้ามาคารวะท่านแทนศิษย์น้องหลี่”
หลูฉางหมิงตากระตุก เดินออกจากถ้ำ จึงเห็นกว่ากู่จงซวิ่นยืนอยู่ตรงนั้น ก้มหน้าประสานมือ ท่าทางนอบน้อม
“มาคารวะแทนฉางชิง? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลูฉางหมิงขมวดคิ้ว
กู่จงซวิ่นเอ่ยยิ้ม ๆ “เรียนอาจารย์อาตามตรง วันนี้ศิษย์น้องหลี่มีเรื่องสำคัญ จึงออกจากหุบเขาไน่เหอไปกับนักบวชลำดับสามแล้ว แต่ข้ารู้ดีว่าศิษย์น้องหลี่ต้องคอยคารวะอาจารย์อาทุกวัน ในเมื่อวันนี้เขาไม่อยู่ ศิษย์พี่อย่างข้าย่อมต้องทำแทน”
สีหน้าหลูฉางหมิงขรึมลง และตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล “ออกจากหุบเขาไน่เหออย่างนั้นหรือ เขาไปทำสิ่งใดกับหยวนหลินหนิง?”
เสียงนั้นเจือแววดุดัน
กู่จงซิ่นกลับทำทีเหมือนไม่รู้สึก เขาตอบพร้อมด้วยยิ้ม “อาจารย์อาไม่ต้องห่วง ในเขตแม่น้ำลืมเลือน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าแตะคนจากโถงหลงลืมของเรา มิหนำซ้ำ ข้างกายศิษย์น้องหลี่ยังมีนักบวชลำดับสามเคียงข้าง ไม่มีทางเกิดสิ่งใดขึ้นแน่นอน”
ถ้อยคำนี้หนักแน่นมั่นคง
แต่ยิ่งเขาพูดเช่นนี้ หลูฉางหมิงกลับยิ่งสังหรณ์ไม่ดี สีหน้าอึมครึมลง “เจ้าสั่งให้ฉางชิงออกไปต่อสู้กับซูอี้พร้อมหยวนหลินหนิงรึ?”
กู่จงซวิ่นกล่าว “ไม่ใช่ต่อสู้กับซูอี้ เพียงแต่ไปนำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงกลับมาเท่านั้น โอกาสวาสนาอันดีเช่นนี้ คนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณอย่างเขาย่อมไม่อาจควบคุมได้…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ หลูฉางหมิงมีท่าทีโมโหชัดเจน เขาเอ่ยเสียงเข้ม “เยี่ยมจริง ๆ กู่จงซวิ่น เจ้าลอบแทงข้างหลังข้าอย่างนั้นรึ!”
เขาปล่อยพลังอำนาจน่าสะพรึงออก ลมปราณขั้นรู้แจ้งลึกล้ำของเขา ส่งผลให้มวลอากาศรอบ ๆ สั่นสะเทือนและกู่ร้อง
กู่จงซวิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “อาจารย์อา ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ก่อนเจ้าโถงและผู้อาวุโสสูงสุดออกเดินทาง ได้กำชับให้ข้าคอยดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ในโถงหลงลืม ไม่ว่าจะเป็นนักบวชลำดับสาม หรือนักบวชลำดับห้า ล้วนเป็นคนของโถงหลงลืมเรา ข้ามอบหมายภารกิจให้พวกเขา ไฉนเล่ากลายเป็นแทงข้างหลังไปได้?”
เมื่อเห็นท่าทางไม่เกรงกลัวใด ๆ ของกู่จงซวิ่นแล้ว หลูฉางหมิงผู้อยู่ในอารมณ์กราดเกรี้ยวก็ใจเย็นลงในฉับพลัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าซูอี้ผู้นั้นอันตรายเพียงใด?”
หลูฉางหมิงปริปากเย็น ๆ
ไม่รอให้กู่จงซวิ่นตอบ เขาเอ่ยขึ้น “หากการจัดแจงครานี้ของเจ้าเป็นเหตุให้หยวนหลินหนิงและฉางชิงต้องตาย ผลที่ตามมา… เจ้ารับไหวหรือ?”
ม่านตากู่จงซวิ่นหดลง เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย “หรืออาจารย์อาคิดว่าคนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณที่เพิ่งมาถึงภูมิมืดมิดจะเป็นคู่ต่อสู้กับตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิได้?”
ใบหน้าหลูฉางหมิงเย็นเยียบ “บางทีระดับพลังของเขาไม่เท่าไร กระนั้นใช่ว่าเขาทำอะไรตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิอย่างหยวนหลินหนิงไม่ได้! ไม่เช่นนั้น เหตุใดเมื่อวานข้าต้องไปห้ามไม่ให้หยวนหลินหนิงลงมือกับซูอี้ เจ้าคิดว่าข้าว่างนักหรือไร?”
ตาของกู่จงซวิ่นกระตุกรุนแรง “อาจารย์อาหมายความว่า หมอนี่… มียอดฝีมือคุ้มกันอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ”
หลูฉางหมิงถอนหายใจยาว ยกมือชี้กู่จงซวิ่น “เจ้านี่นะ มีแต่เล่ห์เหลี่ยม!”
พูดจบ เขาก้าวออกไปยาว ๆ
“อาจารย์อาจะไปไหนกัน?”
กู่จงซวิ่นรีบถาม
“ให้ทำอะไรเล่า เจ้าผลักฉางชิงเข้ากองไฟเช่นนี้ ข้าย่อมต้องไปดับไฟ!”
เสียงเย็นยะเยือกเจือแววขุ่นเคืองของหลูฉางหมิงดังมาจากที่ไกล ๆ
ส่วนร่างของเขาหายวับไปนานแล้ว
สีหน้าของกู่จงซวิ่นวูบไหว
เมื่อเห็นท่าทีในเวลานี้ของหลูฉางหมิงแล้ว เขามั่นใจได้เรื่องหนึ่ง
ซูอี้ผู้นั้น… มีอะไรไม่ชอบมาพากลจริง ๆ ด้วย!
“มิน่าเล่า เมื่อวานตาเฒ่าอย่างเจ้าถึงเข้ามายุแยง เห็นจะจะว่าต้องการยืมมือซูอี้ ข่มขวัญข้าและนักบวชลำดับสาม…”
สีหน้ากู่จงซวิ่นอึมครึมลงอย่างมาก
เขารู้ดีกว่าหลูฉางหมิงในฐานะตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิขั้นรู้แจ้งลึกล้ำยังบันดาลโทสะเพราะเรื่องนี้ จำต้องเข้าไปช่วยในทันที เป็นการบ่งบอกว่าเบื้องหลังคนหนุ่มผู้มาจากมหาทวีปคังชิงอย่างซูอี้ มียอดฝีมือคอยคุ้มกันจริง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่อย่างนั้น เหตุใดหลูฉางหมิงต้องตื่นตระหนกปานนี้ เหตุใดเขาต้องกราดเกรี้ยวปานนี้?!
เมื่อคิดมาถึงนี่ กู่จงซิ่นก็อดตะลึงจนเหงื่อซึมไม่ได้
เดิมเขาคิดว่าการชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจากซูอี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยกำลังพลของพวกเขาโถงหลงลืม คงพอให้คนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณอย่างซูอี้ยอมก้มหัวแต่โดยดี
แต่ตอนนี้ดูแล้ว เรื่องนี้หาได้ง่ายดายเช่นนั้น!
“ยังดีที่ข้าสั่งให้นักบวชลำดับสามและนักบวชลำดับห้าปฏิบัติภารกิจ ทำให้ตาเฒ่าอย่างอาจารย์อาหลูไม่อาจดูอยู่เฉย ๆ ได้ จำต้องไปปัดกวาดเช็ดถูด้วยตัวเอง…”
เมื่อกู่จงซวิ่นคิดมาถึงตรงนี่ จึงสบายใจขึ้น ทว่าอีกด้านก็รู้สึกสงสัย คันในหัวใจยากจะเกา
ซูอี้ผู้นั้นเป็นเพียงขอบเขตสยายวิญญาณตัวเล็ก ๆ ที่มาจากมหาทวีปคังชิงเท่านั้น เหตุใดถึงมีลับลมคมในมากมายขนาดนี้?
ความยุติธรรมอยู่ที่ใด!?
…..
เมื่อเทียบกับบรรยากาศในใจโลกภพภูมิอื่น ภูมิมืดมิดเปี่ยมไปด้วยความเร้นลับหม่นมืด น่ากลัวดุจนรกโลกันตร์
แต่ความจริงแล้ว ภูมิมืดมิดหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ที่นี่เป็นภูมิอันโบราณ มีดินแดนกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในนั้น กลุ่มขุมกำลังมีอยู่มากหน้าหลายตา และมีขุมกำลังเต๋าโบราณตั้งอยู่มากมาย
ทว่าเทียบกับโลกภูมิอื่น ๆ พื้นที่ต้องห้ามที่มีอยู่ในภูมิมืดมิดเยอะกว่าที่อื่น และน่ากลัวกว่าที่อื่นอย่างชัดเจน
อย่างเช่น ประตูนรก เส้นทางสู่ความตาย สระเกิดใหม่ เมืองมรณะ และอื่น ๆ อีกมากมาย และเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่ต้องห้ามอันเป็นที่รู้จักแล้ว ในภูมิมืดมิด ยังมีพื้นที่ต้องห้ามอีกมากที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
อย่างเช่นทะเลทุกข์ จวบจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าทะเลผืนนี้กว้างใหญ่เพียงใด แล้วซ่อนความลับไว้เท่าไร
หลังออกจากหุบเขาไน่เหอ กลุ่มของซูอี้มุ่งตรงไปทางทิศใต้ ที่ที่เขาต้องไป คือพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตแม่น้ำลืมเลือน
…..
แดนเหยียนฝู!
ชาติก่อน เขาเคยฝากของสิ่งหนึ่งไว้ในนั้น
แสงแดดยามเช้าแจ่มจ้า ภูผากว้างไกล
คณะของซูอี้เหาะเหิน ท่องอยู่บนภูเขาลำธาร ไม่ถือว่าเร็ว แต่ก็ไม่ถือว่าช้า
ซูอี้สัมผัสถึงพลังฟ้าดินแห่งภูมิมืดมิดได้อย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากมหาทวีปคังชิงโดยสิ้นเชิง เป็นลมปราณหนักอึ้ง กว้างไกล เก่าแก่โบราณ
พรั่งพร้อมด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ จึงแบกรับการฝึกฝนของผู้แกร่งในขอบเขตจักรพรรดิได้
เทียบกับความชื่นมื่นสบายอุราของซูอี้แล้ว ชุยจิ๋งเหยี่ยนกลับมีท่าทีกลัดกลุ้ม คอยหันมองรอบ ๆ เป็นครั้งคราว หน้าตาฉายแววกังวล
นางมั่นใจว่าพวกนักบวชลำดับสามไม่ยอมพลาดโอกาสสังหารซูอี้แน่!
และเพราะเหตุนี้ ตลอดทั้งทาง นางนั้นอกสั่นขวัญแขวน กลัวเหลือเกินว่าหากไม่ทันระวัง หยวนหลินหนิง นักบวชลำดับสามจะปรากฏตัวฉับพลัน
ขณะที่จิตใจของชุยจิ๋งเหยี่ยนกำลังว้าวุ่น…
ขอบฟ้าอันห่างออกไปไกลโพ้น พลันมีแสงสองลำทะลุมวลอากาศเข้ามา
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกลายเป็นเหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง กราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที นางบ่นงึมงำ “ดูสิ ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ พวกเขาไม่ยอมปล่อยท่านไว้แน่!”