บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 785: การดูหมิ่นขั้นสูงสุด
ตอนที่ 785: การดูหมิ่นขั้นสูงสุด
เสียงของชุยจิ๋งเหยี่ยนยังสะท้อนอยู่ แสงสองลำนั้นได้ไล่ตามขึ้นมาแล้ว
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลำแสงหมุนวน ท้องฟ้าสั่นสะท้าน กลายเป็นร่างของชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ตัวชายหนุ่มสวมชุดหรูเผาพร้อมสายคาด เคราพลิ้วสะบัด
ตัวหญิงสาวงดงามเพริศพริ้ง เยือกเย็นสูงส่ง ปราณที่แผ่ซ่านออกจากตัวส่งผลให้ปฐพีผืนนี้สั่นสะเทือน สรรพสิ่งล้วนหม่นหมองลง
พวกเขาก็คือหยวนหลินหนิง นักบวชลำดับสามผู้อยู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น และหลี่ฉางชิง นักบวชลำดับห้าผู้อยู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์
ทันทีที่ทั้งสองมาถึง แรงกดดันซึ่งเป็นของตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิแผ่ซ่านออกจากตัวหยวนหลินหนิง
พื้นที่ภายในรัศมีสามพันจั้งล้วนถูกปกคลุมทันใด
เปรียบเสมือนแหยักษ์ที่แผ่ออก เมื่อตกอยู่ในนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจหนีรอดไปได้!
ซูอี้และชายชราตาบอดชะงักฝีเท้าพร้อมกัน
ชายชราตาบอดตัวแข็งทื่อ กระนั้นนับว่าสุขุมอยู่มาก
เพราะเมื่อครั้งออกจากหุบเขาไน่เหอ เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าหยวนหลินหนิงต้องไล่ตามเข้ามาแน่นอน และตลอดทางของซูอี้ ไม่ช้าไม่เร็ว ก็เป็นการให้โอกาสหยวนหลินหนิงได้ไล่ตามขึ้นมาชัด ๆ
“นักบวชลำดับสาม พวกเจ้า… มาไวโดยแท้”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถอนหายใจ
“ดั่งคำที่ซูอี้ว่าไว้เมื่อวาน หมายจะสั่งสอนข้า ข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้เขารอนาน”
หยวนหลินหนิงมีสีหน้าเย็นชา นางสวมชุดนักพรตเต๋าสีเทา หน้าตาไร้เครื่องประทินโฉม ดวงหน้างามล้ำ เพียงแต่บุคลิกเย็นชาไม่ต่างกับภูเขาเหมันต์
นางมีรัศมีของผู้เป็นจักรพรรดิ ส่งผลให้ผู้อื่นไม่กล้าสบประมาทดูหมิ่น
น้ำเสียงเจือแววถากถางเย็นชา
ซูอี้เอ่ยด้วยท่าทีสบายอารมณ์ “หากเจ้านอบน้อมหมายมั่นตั้งใจศึกษา ข้าย่อมมองเจ้าแตกต่างจากเดิม พร้อมชมว่าเป็นบัวพ้นตม อนิจจา เจ้าหาได้มาศึกษาร่ำเรียน แต่เจ้า… วอนส้นเท้า!”
ชายชราตาบอดอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ส่วนชุยจิ๋งเหยี่ยนต้องกุมขมับ สีหน้าจนใจ เวลานี้แล้ว หมอนี่สงบเสงี่ยมหน่อยไม่ได้หรือ?
ขืนทำให้หยวนหลินหนิงบันดาลโทสะ หมายมั่นจะฆ่าตัดหัวให้ได้ ตัวนางเองจะห้ามไม่อยู่จริง ๆ นะ!
อย่างที่คิด หลังได้ยินถ้อยคำของซูอี้ ดวงหน้างดงามของหยวนหลินหนิงเคร่งขรึมขึ้นมา ความเคียดแค้นที่ระอุอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานประหนึ่งภูเขาไฟรอวันปะทุ มีวี่แววว่าจะคุมไม่อยู่
ส่วนหลี่ฉางชิงนิ่งเงียบไม่พูดจา ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใช้สมาธิ
เขาถูกบังคับมา หัวใจเปี่ยมไปด้วยความตะลึงระคนสงสัย หวั่นใจเหลือเกินว่าการปะทะครานี้เป็นกับดักใหญ่ มีหรือจะอยากเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทว่าเวลานี้ อยู่ ๆ หยวนหลินหนิงก็เอ่ยขึ้น “นักบวชลำดับห้า คนผู้นี้ก็คือซูอี้ คนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณจากมหาทวีปคังชิง”
หลี่ฉางชิงตอบอืมมาหนึ่งคำ พร้อมพยักหน้า
เขาระวังตัวเต็มรูปแบบ ไม่อยากต่อบทสนทนาด้วยสักนิด
หยวนหลินหนิงกล่าวต่อโดยไม่สนใจ “ข้าได้ยินจากนักบวชลำดับเก้ามา เด็กผู้นี้เป็นใหญ่ในเส้นทางวิถีวิญญาณที่มหาทวีปคังชิงด้วยระดับพลังขอบเขตสยายวิญญาณ ทั้งใต้หล้าไม่มีผู้ใดทัดเทียม เจ้าอยากประมือกับเขาดูหรือไม่ นี่ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าเจ้าชนะ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออกโรงรังแกคนขอบเขตสยายวิญญาณด้วยตัวเอง”
ข้อเสนอนี้ของนาง ทำให้ทั้งชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยนแปลกใจกันหมด
หลี่ฉางชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาอยากถามเหลือเกิน ข้าปฏิเสธได้หรือไม่?
เช่นนั้นคงดูขี้ขลาดเกินไป
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นนักบวชลำดับห้าแห่งโถงหลงลืม! ไฉนเล่าจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับคนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณ?
ครู่หนึ่ง หลี่ฉางชิงพรูลมหายใจ “ซูอี้ เจตนาของเราเชื่อว่าเจ้ารู้ดีแก่ใจ ข้าว่า เจ้า…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ซูอี้ก็ขัดขึ้นมา “ไสหัวไปไกล ๆ”
ประโยคเดียวสั้น ๆ ราบเรียบไร้อารมณ์
แต่เมื่อตกกระทบเข้าหูของหลี่ฉางชิง กลับเต็มไปด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม!
หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าเขาไม่เห็นหลี่ฉางชิงในสายตาเลยสักนิด!
และตอนนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนออกปากเตือนเช่นกัน “นักบวชลำดับห้า ข้าอาจพูดไม่เข้าหูบ้างท่านโปรดอย่าถือสา หากลงมือกันจริง ๆ ท่าน… คงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มิหนำซ้ำ ขืนเข้ามาเอี่ยวในเรื่องนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อท่านแม้แต่น้อย”
หลี่ฉางชิง “…”
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ผมเผ้าแผ่ออกด้วยความกราดเกรี้ยว “ข้าในฐานะศิษย์โถงหลงลืม ฝึกฝนมาถึงป่านนี้ หาเคยหวาดกลัวการต่อสู้ไม่!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรำพึงว่าแย่แน่
และได้เห็นหลี่ฉางชิงก้าวออกมา นัยน์ตาวาวโรจน์พร้อมกล่าวกับซูอี้ “นักบวชลำดับห้าแห่งโถงหลงลืม ขอให้สหายเต๋าซูชี้แนะด้วย!”
เสียงนั้นดังก้องนภา
ห่างออกไปไม่ไกล ชายชราตาบอดถอนหายใจพลางสั่นศีรษะ
ซูอี้เลิกคิ้วมองหลี่ฉางชิง “รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องนี้มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล ยังเข้าต่อสู้เพราะศักดิ์ศรีเพียงเล็กน้อยของตัวเอง โง่เขลาสิ้นดี นิสัยใจคอเช่นนี้ มิน่าเล่าจนบัดนี้ถึงยังไม่อาจแตะด่านประตูเพื่อบรรลุเป็นจักรพรรดิ”
หลี่ฉางชิงตาโต โมโหจนหน้าเขียว
หากคำพูดก่อนหน้านี้ของซูอี้แค่เปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม เช่นนั้นวาจาในตอนนี้ เรียกได้ว่าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาไว้ใต้เท้า กระทืบซ้ำตามอำเภอใจ!
เคร้ง!
หลี่ฉางชิงข่มความโทสะในใจไม่ไหวอีกต่อไป เขาเรียกดาบวิถีเจิดจ้าออกมาเล่มหนึ่ง ฟาดฟันไปหาซูอี้กลางอากาศ
ดาบวิถีนั้นสว่างเจิดจรัส เปลวแสงทะยานสู่ฟ้า
และความทรงพลังของดาบนี้ ส่งผลให้มิติรอบด้านปั่นป่วนไปหมด
พลังปานนั้นส่งผลให้ชายชราตาบอดอดตะลึงไม่ได้ ต้องยอมรับว่าความสามารถขอบเขตวงล้อวิญญาณของหลี่ฉางชิง ไม่ด้อยไปกว่าผูเจวี๋ย ผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณซึ่งติดห้าอันดับในภูมินภาจรัส!
ตู้ม!
ดาบวิถีพร้อมด้วยประทีบฟ้าฟาดฟันเข้ามาด้วยความเกรี้ยวกราด
ซูอี้ไม่แม้แต่จะชายตามอง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ
ตึง!!!
แสงท่วมท้นฟ้านั้นดับวูบลงในบัดดล ดาบวิถีของหลี่ฉางชิงเสมือนหญ้าฟางที่ถูกพายุกระหน่ำ กระเด็นออกไปด้วยแรงสะเทือน ตัวดาบส่งเสียงกู่ร้องเศร้าสร้อย
ส่วนหลี่ฉางชิงเหมือนว่าวที่ด้ายขาด ปลิวออกไปอย่างแรง กระแทกลงพื้นที่ห่างออกไปร้อยจั้ง ฝุ่นผงคละคลุ้งไปท่วมฟ้า
เมื่อหันมองเขาอีกครั้ง ก็เห็นสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้าเปื้อนฝุ่นดิน เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด
สะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ก็กำราบผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์ได้!
ทั้งหมดเงียบสงัด
ชายชราตาบอดลอบตะลึง อย่างที่คิด หลังการเดินทางไปถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือนเมื่อคืน พลังวิถีของคุณชายซูแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
ชุยจิ๋งเหยี่ยนขยับริมฝีปาก ดวงตาสุกสกาวเบิกกว้าง อยู่ในอาการตะลึงเช่นกัน
นางเคยเป็นสักขีพยานในการต่อสู้แต่ละครั้งของซูอี้ จึงรู้ดีกว่าคนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณเบื้องหน้าผู้นี้น่าสะพรึงเพียงใด
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าหลี่ฉางชิงจะใช้ไม่ได้ปานนี้…
หลี่ฉางชิงเป็นถึงนักบวชลำดับที่ห้าของโถงหลงลืม อาจารย์ของเขาคือผู้อาวุโสสูงสุดที่สาม หลูฉางหมิง จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีโอกาสสูงสุดในการบรรลุขอบเขตจักรพรรดิ!
ในเส้นทางวิถีวิญญาณใต้หล้าภูมิมืดมิด นับเป็นบุคคลชั้นต้น
ทว่าบัดนี้ เขากลับกระจอกงอกง่อยเหมือนแมลงวันตัวหนึ่ง พ่ายแพ้ให้กับซูอี้ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ง่าย ๆ เสียอย่างนั้น!
จะไม่ให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนไม่ตะลึงได้อย่างไร?
“มิน่าเล่า ชายคนนี้ถึงกล้าทำตัวโอหังอวดดีปานนั้น พลังวิถีวิญญาณของเขาแข็งแกร่งจนน่าทึ่งจริง ๆ แม้กระทั่งตัวข้าเมื่อครั้งยังอยู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ น่ากลัวว่ายังด้อยกว่าหน่อย…”
หยวนหลินหนิงนัยน์ตาวูบไหว หัวใจเดือดพล่านขึ้นมา
แต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ วีรกรรมโดดเด่นที่นางสร้างขึ้นเมื่อครั้งอยู่ในชั้นสามที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน หากนำมาเทียบกับซูอี้ คำว่าด้อยกว่าหน่อยยังน้อยไป
ห่างออกไปไกลโพ้น หลี่ฉางชิงตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งตัว อับอายโกรธแค้นแทบตาย จนอยากมุดแผ่นดินหนี
เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ทุกคนในที่นี้ ไม่มีผู้ใดสนใจเขา…
การถูกมองข้าม นับเป็นการดูหมิ่นขั้นสูงสุด!
“ตาเจ้าแล้ว”
ซูอี้ทอดมองหยวนหลินหนิง
ขณะที่พูด เขาบิดขี้เกียจยืดยาว กำชับชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยน “พวกเจ้าก็ถอยออกไป”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนทำท่าจะพูดบางอย่าง แต่โดนชายชราตาบอดดึงแขนลากออกไปไกล “แม่นางจิ๋งเหยี่ยน ท่านอย่าขัดความสุนทรีย์ของคุณชายซูเลย!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “?”
น่าโมโหจริง!!!
ถ้าไม่ใช่ว่าข้าหวังดีต่อคุณชายซูของเจ้า เหตุใดต้องเอาตัวเข้ามาพัวพันจนถึงตอนนี้
หวังดีแท้ ๆ แต่ไม่มีผู้ใดเห็นค่า!
ชายชราตาบอดผู้นี้นี่ นับว่าบอดสมชื่อ!
หญิงสาวโมโหมาก นางยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกไป พร้อมพึมพำกับตัวเอง รอให้ซูอี้โดนอัดจนเลือดท่วม จนต้องขอความเมตตาก่อนเถอะ ข้าขอดูหน่อยว่าเจ้ายังมีสุนทรีย์อยู่หรือไม่!
สีหน้าหยวนหลินหนิงสงบลง นัยน์ตาเยือกเย็นดั่งหิมะ
นางดูออกว่าซูอี้ไม่เกรงกลัว
ส่วนการพ่ายแพ้ของหลี่ฉางชิง ทำให้นางตระหนักได้ว่าไม่อาจใช้มาตรฐานขั้นพลังวิถีวิญญาณมาวัดคนหนุ่มที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่ออย่างซูอี้ได้
“เจ้าฟังให้ดี ข้าจะไม่ออมมือ จนกว่าเจ้าจะยอมมอบเมล็ดพันธุ์คังชิงให้”
หยวนหลินหนิงเอ่ยเสียงเย็นชา
พริบตานั้น โทสะและความแค้นที่สุมอยู่ในใจนางสงบลงทั้งสิ้น ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้น เปลวไฟสีฟ้าลุกโชนเจิดจ้าอยู่ในนั้น
ตู้ม!
ฟ้าดินสะเทือน ภูเขาลำธารสั่นคลอน
พลังขอบเขตจักรพรรดิอันไร้เทียมทานแผ่ซ่านออกจากร่างระหงของหยวนหลินหนิง ความเกรียงไกรนั้นกดดันอากาศจนต้องสะท้านไปด้วย
และทำให้ชายชราตาบอดกับชุยจิ๋งเหยี่ยนหนาวเหน็บไปทั้งตัว ขนลุกขนพอง
กระทั่งหลี่ฉางชิงเอง เวลานี้ยังทอดสายตามองมาทางนี้ด้วยสัญชาตญาณ
วิถีลึกล้ำเปรียบดั่งสวรรค์ ผู้เป็นจักรพรรดิเปรียบดั่งเทพเซียน!
ผู้อยู่ใต้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ ล้วนคือมดปลวก!
ในช่วงเวลานับแต่เริ่มประวัติศาสตร์ถึงบัดนี้ ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณที่หาญกล้าต่อกรกับตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิมีไม่น้อยทีเดียว แต่ล้วนถูกบดขยี้จนตายไม่ต่างจากมดปลวก
และเวลานี้ ซูอี้ประกาศกร้าวว่าจะสั่งสอนหยวนหลินหนิงซึ่งเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!
ศึกประลองนี้ใกล้ปะทุเต็มที!
“อย่าออมมือจะดีกว่า มิฉะนั้น ข้าคงคร้านจะสั่งสอนเจ้า”
ขณะพูด ซูอี้ยกมือ
เคร้ง!
คล้อยตามเสียงใสกังวานเสียงหนึ่ง ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในมือ
อึดใจเดียว พลังในตัวซูอี้ก็เพิ่มพูนถึงขีดสูงสุด แสงมหาวิถีจำนวนมากห้อมล้อมอยู่รอบตัว ดูอัศจรรย์ราวเทพเซียน
และนัยน์ตาส่วนลึกของเขา คล้ายมีความกระหายการต่อสู้ลุกโชนโชติช่วงดั่งไฟ
เมื่อคืน เขาได้ปราบวิญญาณรบขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นถึงเก้าตน ณ ชั้นสี่ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน แต่ละตนมีแต่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าตนก่อน
ทว่าท้ายที่สุดก็เป็นเพียงวิญญาณรบ หาใช่ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิที่แท้จริง
และเวลานี้ การปรากฏตัวของหยวนหลินหนิงทำให้ในที่สุดซูอี้ก็มีโอกาสพิสูจน์ ด้วยพลังของตัวเองในตอนนี้ เมื่อเข้าห้ำหั่นกับตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิที่แท้จริง …จะมีโอกาสชนะเท่าใด?
“ไป!”
หยวนหลินหนิงไม่ลังเล มือขาวนวลเนียนดั่งหยกสะบัดออกไปกลางอากาศ
ตู้ม!
แสงเหมันต์ขาวสว่างกลายเป็นคมดาบลำแสงยาวสามฉื่อ ฟาดลงมากลางอากาศ
มวลอากาศรอบ ๆ เยือกแข็งขึ้นมาในบัดดล ภูเขาลำธารนับพันจั้งล้วนมีไอน้ำแข็งปกคลุม
และบนคมดาบแสงยาวสามฉื่อนั้น กลับมีเปลวเพลิงเหมันต์สีดำเยือกเย็นลุกโชนขึ้นอีกกองอย่างน่าพิศวง แผ่กลิ่นอายหนาวเหน็บสยดสยองไร้สิ่งใดเปรียบออกมา
แสงสามฉื่อค้างอยู่ระหว่างทาง ขณะที่ทั้งผม เสื้อผ้า และผิวของซูอี้มีไอน้ำแข็งปกคลุมอยู่ทั้งสิ้น พลังจากเปลวเพลิงสีดำหนาวเหน็บขยายออกไป
ชั่วพริบตานั้น ทั้งตัวของซูอี้ราวกับถูกแช่แข็ง คล้ายกับรูปปั้นหิมะตนหนึ่ง!
ภาพน่าเหลือเชื่อนี้ส่งผลให้ทุกผู้ผวากันหมด!!