บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 788: ลงโทษ
ตอนที่ 788: ลงโทษ
ตอนที่ 788: ลงโทษ
หลังจากเห็นว่าม่ออู๋เหินดูจะไม่เชื่อ สัตว์เหวลึกจึงกล่าวว่า “นั่นแหละความจริง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็เชื่อเช่นนั้น”
กล่าวจบ ศีรษะของเขาก็หดหายกลับเข้าไปท่ามกลางม่านหมอก ไม่ปล่อยโอกาสให้ม่ออู๋เหินถามต่อแต่อย่างใด
ม่ออู๋เหินมุมปากกระตุก
การเคลื่อนไหวของสัตว์เหวลึกดูผิดปกติยิ่ง และนี่ยังทำให้เขาสรุปได้ว่าเจ้าสัตว์เหวลึกนี่แหละน่าจะเป็นผู้ส่งซูอี้เข้าไปในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือนเอง!
‘ที่มาของซูอี้ผู้นี้ไม่มีทางธรรมดา เรื่องนี้ต้องถูกตรวจสอบโดยละเอียด!’
ม่ออู๋เหินลอบคิดในใจ
ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้นนั่นเอง เสียงของสัตว์เหวลึกพลันดังขึ้นมาจากในห้วงลึกแห่งหมอก
“เจ้าหนูเฒ่า ข้าเตือนเจ้านะ อย่าไปรบกวนซูอี้ผู้นั้น หาไม่… อืม ผลที่ตามมาจะไม่ใช่สิ่งที่โถงหลงลืมของพวกเจ้าจะรับไหว!”
ม่ออู๋เหินตะลึงอึ้ง สีหน้ายากคาดเดา
สัตว์เหวลึกมาจากห้วงลึกแห่งแม่น้ำหลงลืม ลักษณะนิสัยไร้ระเบียบป่าเถื่อนโหดร้าย นับแต่เข้ามาในโถงหลงลืม มันก็ไม่เคยคิดยำเกรงเหล่าผู้เฒ่าเหล่านี้จริงจังแม้แต่น้อย
กระทั่งอวิ๋นจื่ออิงก็ถูกสัตว์เหวลึกมองว่าเป็น ‘ขุนศึกพ่ายสงคราม’ มาโดยตลอด
ความเย่อหยิ่งทะนงตนของสัตว์ร้ายตนนี้คาดเดาได้จากสิ่งเหล่านี้
ทว่ายามนี้ มันกลับออกคำเตือนไม่ให้ไปล่วงเกินชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตสยายวิญญาณด้วยตนเอง หาไม่ พวกเขาจะไม่อาจรับผลกระทบตามมาได้!
เรื่องนี้หนักหนาเกินไป!
ซูอี้คือผู้ใดกัน?
อีกฝ่ายต้องมีประวัติเช่นไรที่ทำให้สัตว์เหวลึกปล่อยเขาสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน และกระทั่งออกคำเตือนเพื่อชายผู้นั้น?
ม่ออู๋เหินไม่แน่ใจเล็กน้อย
ทว่าสิ่งเดียวที่เขาแน่ใจก็คือ สัตว์เหวลึกไม่มีทางบอกคำตอบแก่เขาได้แน่แท้…
“เซวี่ยเอ๋อร์ เจ้าไปบอกพวกผู้อาวุโสในสำนักเสีย ว่าข้าจะรออยู่ในโถงสำนัก มีบางสิ่งต้องหารือ”
ม่ออู๋เหินสูดหายใจลึก ๆ และตัดสินใจ
“รับทราบ”
นกกระจอกเร้นโลหิตโบยบินจากไป
…
เสี้ยวชั่วยามถัดมา
ณ ยอดเขาอัสดงสว่างภพ โถงหลักแห่งสำนัก
กลุ่มคนระดับสูงอันนำโดยนักบวชสูงสุดมารวมตัวกัน
ทว่าบรรยากาศกลับดูหม่นหมองชวนจิตตกเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดจินตนาการได้ว่าตัวตนบรรพกาลเยี่ยงม่ออู๋เหินซึ่งไม่ปรากฏตัวสู่โลกหล้าแสนนานจะออกจากการเก็บตัวในวันนี้ และยังเรียกพวกเขามารวมตัว
และสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็คือ สาเหตุการทำเช่นนี้ของม่ออู๋เหินก็เพราะซูอี้!
“ท่านบรรพชน นี่คือสิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับซูอี้ขอรับ”
รุ่ยหยางกล่าวเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้ามองม่ออู๋เหินผู้นั่งบนเก้าอี้ประธาน
ตามคำสั่ง เขาได้อธิบายว่าตนได้พบซูอี้ในมหาทวีปคังชิงได้เช่นไร
ทว่าเขาก็เลือกเก็บเรื่องเกี่ยวกับจี้หยกของชุยจิ๋งเหยี่ยนเป็นความลับ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยมราชพิพากษา ซึ่งเป็นความลับสุดยอดอันไม่เกี่ยวข้องกับโถงหลงลืมเลย
ดังนั้นนักบวชลำดับเก้าจึงกล้าปกปิดมัน
หลังจากได้ยินเรื่องราวของซูอี้จากมหาทวีปคังชิง ม่ออู๋เหินก็ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่พบเรื่องใดที่น่าสนใจมากนัก
ม่ออู๋เหินถาม “คู่ศิษย์อาจารย์ที่กลับมากับเจ้าอยู่หนใด?”
รุ่ยหยางส่ายหน้ากล่าว “เรื่องนี้ เกรงว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่สามคงรู้ดีที่สุดขอรับ”
“เขาอยู่ไหนเล่า?”
ม่ออู๋เหินถาม
เหล่าคนใหญ่คนโตในโถงมองหน้ากันอย่างลังเล
ณ ขณะนี้ นักบวชสูงสุดก็ตระหนักว่าเขาไม่อาจซ่อนเรื่องได้อีกต่อไป จึงทำได้แต่ตอบแบบไปตายเอาดาบหน้า “รายงานท่านบรรพชน หลังจากซูอี้มาถึงหุบเขาของโถงเราเมื่อวานนี้…”
เขาเล่าเรื่องที่พวกตนพยายามชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจากซูอี้ ไม่กล้าปกปิดรายละเอียดใด ๆ เพราะเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ในสำนักเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากรู้ว่าหยวนหลินหนิงและนักบวชลำดับที่ห้าออกไปไล่ล่าซูอี้ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามก็เป็นห่วงความปลอดภัยของหลี่ฉางชิง ดังนั้นจึงตามไป สีหน้าของม่ออู๋เหินก็มืดหม่น
“บังอาจ!”
เขากล่าวอย่างเย็นชา สุ้มเสียงสะท้านโถง ทุกคนล้วนตัวสั่น
กู่จงซวิ่นตกใจยิ่งกว่า เหงื่อกาฬผุดไหลตามแนวสันหลัง และกระซิบทันทีว่า “ท่านบรรพชน เราไม่ได้พยายามชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงแล้ว ทว่า…”
ม่ออู๋เหินกล่าวขัดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยังจะกล้าพลิกลิ้นอีก!? ในฐานะนักบวชสูงสุดแห่งโถง เป็นจักรพรรดิผู้ทรงเกียรติ ทว่ากลับทำเรื่องน่ารังเกียจไร้ยางอายเช่นนี้ ไม่ละอายบ้างหรือไร? เจ้าจะเสียหน้าก็ช่างประไร แต่เจ้าทำสำนักเราทั้งผองเสียหน้าไปด้วย!”
ด้วยวาจานี้ นักบวชสูงสุดถูกดุด่าจนแทบไม่อาจเงยหน้า เขาลนลานลุกลี้ลุกลน
ผู้อื่นในโถงต่างเงียบลงยิ่งกว่า
ไม่มีผู้ใดจินตนาการได้ว่าเพราะซูอี้ผู้เดียว กลับทำให้ตัวตนบรรพกาลเช่นม่ออู๋เหินโกรธเคืองเดือดดาล
“ท่านบรรพชน ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามกลับมาแล้วขอรับ”
ณ นอกโถง ใครสักคนกล่าวรายงาน
ทันทีที่เขากล่าวจบ หลูฉางหมิงก็ก้าวยาว ๆ เข้าสู่โถงแล้ว และเมื่อเห็นม่ออู๋เหินนั่ง ณ ตำแหน่งประธานและบรรยากาศรอบข้างอันเย็นเฉียบ เขาก็อดรู้สึกประหลาดไม่ได้
“ท่านอาจารย์ลุง หาข้าอยู่หรือขอรับ?”
หลูฉางหมิงก้าวออกมาทักทาย
“หยวนหลินหนิงและศิษย์เจ้ากลับมาด้วยหรือไม่?”
ม่ออู๋เหินถามอย่างไร้อารมณ์
หัวใจของหลูฉางหมิงดิ่งวูบ ตระหนักแล้วว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง เขากล่าวเสียงต่ำ “จะกลับมาในไม่ช้าขอรับ”
“แล้วชายหนุ่มนามซูอี้เล่า?”
ม่ออู๋เหินถามอีกครั้ง
เปลือกตาของหลูฉางหมิงกระตุก ตอบเสียงเบา “เขาเดินทางไปยังตระกูลชุยกับชุยจิ๋งเหยี่ยนแล้วขอรับ”
ม่ออู๋เหินแค่นเสียงกล่าว “ได้เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาแล้วหรือ?”
หลูฉางหมิงสงบสติและส่ายหน้า “เปล่าขอรับ เมื่อข้าไปถึง…”
เขาเล่าเรียงลำดับเหตุการณ์ที่ซูอี้ใช้ดาบสยบหยวนหลินหนิงเป็นฉาก ๆ
เมื่อวาจาถูกกล่าว เหล่าผู้ฟังก็ตกตะลึงนิ่งกับที่
มีเพียงม่ออู๋เหินที่ยังเยือกเย็น
เขารู้นานแล้วว่าซูอี้สังหารวิญญาณรบเก้าตนในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน การเอาชนะหยวนหลินหนิงจึงไม่น่าแปลกใจเลย
“ไฉนเจ้าจึงไม่ลงมือ?”
ม่ออู๋เหินมองหลูฉางหมิง
สีหน้าของหลูฉางหมิงยากคาดเดาอยู่ชั่วขณะ และกล่าวตอบเสียงเบา “ตอบอาจารย์ลุงตามตรง ข้าไม่เห็นด้วยกับการปล้นเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาตั้งแต่ต้น ซ้ำสหายเต๋าซูยังไม่ธรรมดา ข้า… ทำเรื่องเช่นการปล้นชิงไม่ได้”
วาจาเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของกู่จงซวิ่นแข็งค้างอยู่ชั่วขณะ
ม่ออู๋เหินพลันกล่าวว่า “ที่มาของคู่ศิษย์อาจารย์นั่นเป็นเช่นไร?”
หลูฉางหมิงตะลึง และก้มหน้าตอบว่า “รายงานอาจารย์ลุง พี่ชายร่วมวิถีผู้นั้นเป็นบุคคลไม่ธรรมดา เขาเคยเมตตาข้าเมื่อนานมาแล้ว และก่อนหน้ายามที่เขาจากไป ข้ารับปากเขาว่าจะไม่เผยตัวตนของเขา หวังว่าอาจารย์ลุงจะยกโทษให้ข้าด้วย”
หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “ข้ารับประกันได้ว่าพี่ชายร่วมวิถีจะไม่ก่อปัญหาใดให้โถงหลงลืมของเรา”
ม่ออู๋เหินขมวดคิ้ว ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอันใด
ณ ยามนั้นเอง หยวนหลินหนิงก็กลับมาถึง
ใบหน้างามของนางซีดขาวและดูโทรม หลังเดินเข้ามาในโถงหลัก นางก็ก้มหัวลงโค้ง “คารวะบรรพชน”
สีหน้าคนทุกผู้ดูซับซ้อนขึ้นทันที
จักรพรรดิผู้หนึ่งถูกชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณปราบลง หากเรื่องนี้แพร่งพราย อย่าว่าแต่จะเกิดเสียงฮือฮากระฉ่อนโลกหล้า แต่ชื่อเสียงของหยวนหลินหนิงจะเสียหายหนักหนา!
เมื่อเห็นสภาพเศร้าสร้อยของหยวนหลินหนิง ม่ออู๋เหินก็ถอนหายใจยาว ก่อนกล่าวว่า “ไม่ผิดหรอกที่เจ้าจะแพ้แก่ซูอี้ แต่ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องทำร้ายตนเอง”
ทุกผู้ในโถงต่างตกตะลึง บรรพชนรู้รายละเอียดของซูอี้แล้วหรือ?
“ขอบังอาจถามท่านบรรพชน หรือซูอี้จะมีพื้นเพอื่นหรือขอรับ?”
นักบวชสูงสุดอดถามไม่ได้
ทุกคนเองก็งุนงง วันนี้ ม่ออู๋เหิน ตัวตนบรรพกาลผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกกลับเรียกพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันเป็นครั้งแรกและถามเกี่ยวกับซูอี้ เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ
ม่ออู๋เหินไม่ได้ตอบ
เขามองกู่จงซวิ่นอย่างไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “จากนี้ไป เจ้าควรไปพินิจใจตนที่ชั้นเก้า ณ ‘ถ้ำวารีทมิฬ’ สักร้อยปี ห้ามก้าวออกมาจากที่นั่นหากยังไม่ครบเวลาเด็ดขาด”
บรรยากาศในห้องโถงเงียบลงทันที และสีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยน
ชั้นเก้าแห่งถ้ำวารีทมิฬ!
ที่แห่งนั้นคือสถานที่ต้องห้ามสำหรับการลงโทษตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ! ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดน่าหวาดกลัว กระทั่งตัวตนจักรพรรดิยังต้องทนทุกข์ทรมานทั้งเลือดเนื้อตลอดวันคืน!
หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขาก็อาจกระทั่งถูกทรมานจนตายได้!
การลงโทษเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก
นักบวชสูงสุดกู่จงซวิ่นดูตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด มือเท้าเย็นเฉียบ ปากสั่นระริกอยู่ชั่วขณะ และในที่สุดก็กล่าวเสียงเบา “รับคำสั่งท่านบรรพชน!”
ม่ออู๋เหินมองหลูฉางหมิง และกล่าวอีกครั้ง “ในฐานะผู้อาวุโส รู้ทั้งรู้ว่าซูอี้มีประวัติไม่ธรรมดา แต่กลับไม่ออกมาหยุดยั้งเรื่องร้ายอย่างเด็ดเดี่ยว แม้จะไม่ใช่ความผิดร้ายแรงแต่ก็ต้องถูกลงโทษ จากนี้ไป เจ้าจะไม่ต้องทำหน้าที่ผู้อาวุโสสูงสุดอีก และไปสำนึกผิดในถ้ำของเจ้าเองเสีย”
บรรยากาศในโถงหดหู่ลงทุกขณะจิต
หัวใจของเหล่าคนใหญ่คนโตสั่นสะท้าน ไม่คาดเลยว่าเพราะซูอี้หนึ่งคน ไม่เพียงม่ออู๋เหินจะสั่งลงโทษนักบวชสูงสุดสถานหนัก แต่กระทั่งปลดหลูฉางหมิงจากตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดด้วย!!
หลูฉางหมิงสีหน้าเปลี่ยน และครู่ต่อมา เขาก็ก้มหัวกล่าวอย่างขมขื่น “อาจารย์ลุงสั่งสอนถูกต้อง ข้า… จะรับโทษนี้!”
“หยวนหลินหนิง เจ้าจงไปเก็บตัวยัง ‘ผาฝึกใจ’ เสีย เมื่อใดที่สามารถควบรวมกฎเกณฑ์ในวิถีลึกล้ำได้ เจ้าจึงจะออกมาได้”
ม่ออู๋เหินออกคำสั่งอีกประการ
“เจ้าค่ะ”
หยวนหลินหนิงก้มหัวตอบรับ
ถึงยามนี้ ม่ออู๋เหินก็เหลือบมองทุกคนในโถง พลางกล่าวอย่างจริงจัง “ห้ามเปิดเผยสิ่งใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้สู่ภายนอก และห้ามเผยแพร่สิ่งใด ๆ เกี่ยวกับซูอี้ หาไม่ ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ให้อภัยเจ้า!”
ทุกวาจาสนั่นลั่นดุจสายฟ้า สะท้อนก้องทั่วโถง
ทุกคนต่างร่างสั่น ขณะรับคำสั่งอย่างหวั่นเกรง
ม่ออู๋เหินลุกขึ้นและก้าวยาว ๆ จากไป
เขายังมีงานที่ต้องทำ
จนกระทั่งเมื่อร่างของม่ออู๋เหินลับสายตา ทุกคนในโถงก็ยังรู้สึกงุนงงยิ่งนัก
ซูอี้จากมหาทวีปคังชิงมีที่มาเช่นไร จึงสามารถทำให้บรรพชนไม่ลังเลจะออกมาลงมือเช่นนี้!?
แม้พวกเขาจะไม่อาจแก้ปริศนานี้ได้ ทว่าคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างรู้แก่ใจว่าฐานะของซูอี้คงมากพอจะทำให้บรรพชนม่ออู๋เหินหวาดกลัว!
สิ่งนี้น่าหวาดหวั่นโดยไม่ต้องสงสัย แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
ในขณะเดียวกัน ร่างของม่ออู๋เหินก็ปรากฏขึ้นในถ้ำแห่งหนึ่ง
เขาเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงนำยันต์ลับสีทองออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนสลักมันด้วยจิตสัมผัสของเขา
‘ศิษย์พี่ ข้าพบชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีที่มาเป็นปริศนา ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพติดตามเขา และแม่หนูจิ๋งเหยี่ยนก็พาเขาไปยังตระกูลชุยด้วยตนเอง กระทั่งสัตว์เหวลึกยังออกคำเตือนร้ายแรงแก่โถงหลงลืมของเราเพื่อเขา…’
‘สิ่งที่แปลกก็คือ เขามีระดับฝึกฝนเพียงขอบเขตสยายวิญญาณ อายุเพียงสิบแปดปี แต่กลับสามารถเอาชนะจักรพรรดิเยี่ยงนักบวชลำดับสามหยวนหลินหนิงได้’
‘เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ เขาใช้แซ่ซู!’
เมื่อเขียนถึงจุดนี้ ม่ออู๋เหินก็ไม่รู้คิดอันใดอยู่ นิ้วที่ถือยันต์ลับสั่นไหวเล็กน้อย สีหน้าของเขาเหม่อลอย ดูไม่แน่ใจยากคาดหยั่ง