บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 789: เมืองปีศาจราตรี
ตอนที่ 789: เมืองปีศาจราตรี
ตอนที่ 789: เมืองปีศาจราตรี
หลังจากสงบใจตนได้ ม่ออู๋เหินก็เขียนอีกครั้ง
‘ข้าไม่อาจยืนยันได้ว่าเขาจะเป็นตัวจริงหรือไม่ แต่เรื่องนี้มีความแปลกประหลาดผิดปกติมากเหลือเกิน’
‘ศิษย์พี่ หากท่านได้รับข้อความนี้ โปรดกลับสำนักโดยไว’
เขียนจบ ม่ออู๋เหินก็ใช้เคล็ดวิชาและคีบมันขึ้นด้วยปลายนิ้ว
ฟิ้ว!
ยันต์ลับสีทองแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ทะลวงแหวกอากาศหายไป
ม่ออู๋เหินผ่อนถอนหายใจยาว นั่งเงียบ ๆ เพียงลำพังที่เดิม
…
ภูมิมืดมิดแบ่งออกเป็นหกเขต สิบสามแดนดิน
เขตแม่น้ำลืมเลือนคือหนึ่งในหกเขต มีพื้นที่กว้างขวางอันเทียบได้กับโลกกว้างหนึ่งแห่ง
ในเขตแม่น้ำลืมเลือน โถงหลงลืมคือกลุ่มขุมกำลังเต๋าโบราณอันยืนอยู่บนจุดสูงสุด
ทว่าขุมอำนาจในอาณาเขตต่าง ๆ ก็ยังมีมากมายดุจดวงดาวแต่งแต้มนภา
สามวันถัดมา
ยามสิบโมงเช้า
“พี่ซู นั่นคือมหาภูผา ทอดยาวแปดพันลี้และนับได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามในเขตแม่น้ำลืมเลือน”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนชี้ไปไกลพลางกล่าวเสียงใส “ทว่าเราไม่ต้องไปที่นั่นหรอก แค่เดินไปตามแนวแม่น้ำหลงลืมเก้าพันลี้ ก็จะไปถึงเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ชายแดนใต้ของเขตแม่น้ำลืมเลือนได้แล้ว…”
หญิงสาวกล่าวเจื้อยแจ้ว ราวกับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ในเขตแม่น้ำลืมเลือนเป็นอย่างดี
บางทีอาจเป็นเพราะซูอี้เอาชนะหยวนหลินหลิงอย่างสวยงาม ทัศนคติของชุยจิ๋งเหยี่ยนที่มีต่อซูอี้จึงแปรเปลี่ยนไปมาก และนางก็ทั้งใกล้ชิดและให้เกียรติเขามากขึ้น
“คืนนี้เราจะไปพักแรมที่ ‘เมืองปีศาจราตรี’ กัน”
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ
“เมืองปีศาจราตรี?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนขมวดคิ้วน้อย ๆ และกล่าวว่า “ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายซึ่งมีปีศาจและพวกนอกรีตรวมตัวกัน มัจฉามังกรปะปนวุ่นวาย กระทั่งตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณยังไม่อยากไปที่นั่นเลยนะ”
เมืองปีศาจราตรีตั้งอยู่ด้านข้างของมหาภูผา หากออกจากเมือง ๆ นี้ก็สามารถเข้าไปสู่มหาภูผาได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปีศาจร้ายซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกาจะเลือกหนีมาหลบซ่อนยังเมืองปีศาจราตรีเมื่อพวกมันถูกอำนาจอันแข็งแกร่งไล่ล่า
เหตุผลนั้นเป็นเพราะเมืองปีศาจราตรีมีกฎอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง…
ผู้ใดก็ตามจะเข้ามาในเมือง พวกเขาแค่ต้องส่งสิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวเป็นบรรณาการ และคนผู้นั้นจะได้รับการคุ้มครองจากเจ้าเมือง!
และเจ้าเมืองเมืองปีศาจราตรีก็คือยอดฝีมือจากตระกูลเว่ยเผ่ามาร
ตระกูลเว่ยเผ่ามารเป็นขุมกำลังโบราณอันเก่าแก่ ตลอดยุคสมัยผันผ่าน พวกเขาก็อาศัยลึกเข้าไปในมหาภูผาเสมอมา
จากตำนานเล่าขาน ไม่ว่าขุมอำนาจใดในเขตแม่น้ำลืมเลือนล้วนไม่กล้าล่วงเกินตระกูลเว่ยเผ่ามารโดยง่าย
กระทั่งโถงหลงลืมก็ยังไม่เคยมีปัญหาใด ๆ กับตระกูลเว่ยเผ่ามาร
จนกระทั่งยามนี้ เมืองปีศาจราตรีอันปกครองโดยตระกูลเว่ยเผ่ามารได้กลายเป็นแดนสรวงสำหรับการหลบเร้นสำหรับปีศาจและคนนอกรีตทั่วโลกหล้าแห่งหนึ่งไปแล้ว
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เมืองแห่งนี้อาจโกลาหล แต่หากไม่มีมัน โลกนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นโกลาหล”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตกใจ
นางเองก็เคยได้ยินคำกล่าวใกล้เคียงกันนี้จากผู้อาวุโสบางคนในสำนักเช่นกัน
เมืองปีศาจราตรีเป็นเมืองคนบาปอันลือนามในโลกหล้าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าไฉนจึงไร้ขุมอำนาจใดคิดทำลายมันในอดีต?
ยามนั้น ผู้อาวุโสใหญ่สูงสุดแห่งโถงหลงลืมก็รำพึงเบา ๆ “หากเมืองนี้ถูกทำลาย ปีศาจเหล่านั้นก็รังแต่จะนำภัยพิบัติให้โลกหล้ามากขึ้น”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนในขณะนั้นยังไม่เข้าใจ ว่าสังหารปีศาจและคนนอกรีตเหล่านั้นไม่ได้หรือไร?
ทว่าต่อมา เมื่อระดับการฝึกฝนของนางพัฒนา มุมมองกว้างไกลขึ้น นางก็ค้นพบว่าปีศาจบนโลกนี้มีมากมายไร้จบสิ้น
เหมือนเช่นที่ใดมีแสงสว่าง ที่นั่นก็จะมีความมืด
เมื่อมีความดี ย่อมมีความชั่ว
“การที่ตระกูลเว่ยเผ่ามารปกครองเมืองปีศาจราตรี สำหรับคนทั่วไปบนโลกหล้าย่อมมีข้อเสียเปรียบ ทว่าข้อดีมีมากกว่าข้อเสีย”
ระหว่างการสนทนา ซูอี้ก็สาวเท้าออกไปแล้ว
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดรีบร้อนติดตาม
…
ยามรัตติกาลโรยตัว เมืองปีศาจราตรีก็เต็มไปด้วยแสงสว่างและชีวิตชีวา
กำแพงเมืองยิ่งใหญ่สูงตระหง่านไม่อาจหยุดสุ้มเสียงในเมืองไม่ให้เล็ดลอด
ตลอดมานับแต่บรรพกาล ที่แห่งนี้คือสถานที่อันลือนามทั่วโลกาด้านความชั่วร้าย มากมายปีศาจ เต็มไปด้วยบุคคลนอกรีตชั่วช้ารวมตัว
ทว่าในขณะเดียวกัน เนื่องจากเมืองแห่งนี้อยู่ติดกับมหาภูผา มันจึงดึงดูดพ่อค้าและผู้ฝึกตนไร้สังกัดผู้รักความเสี่ยงให้มาเยือน
ควรค่ากล่าวถึงว่า ‘ตลาดมืด’ ในเมืองปีศาจราตรีมีชื่อเสียงยิ่งนักในเขตแม่น้ำลืมเลือน
ลือกันว่าในตลาดมืดนี้ ขอเพียงจ่ายไหว ก็สามารถซื้อสมบัติใดก็ได้ที่ต้องการ!
เมื่อเขาเห็นเมืองจากระยะไกล ซูอี้ก็อดมีท่าทีคิดถึงไม่ได้
ในอดีตชาติ เขาเคยมายังเมืองแห่งนี้พร้อมกับเย่น้อยเพื่อไล่ล่าคนทรยศผู้หนึ่งจากเผ่าปีศาจงู เดินทางตั้งแต่เมืองปีศาจราตรีไปยันพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง ณ ลึกเข้าไปในมหาภูผา
และยามนั้นเองที่ซูอี้ทิ้งสมบัติชิ้นหนึ่งไว้ในพื้นที่ต้องห้ามแห่งนั้น
เมื่อกลับมาครานี้อีกครั้ง เรื่องราวก็แตกต่างออกไป
“ดึกมากแล้ว ไฉนจึงยังมีคนมากมายเรียงแถวมายังเมืองปีศาจราตรีเล่า?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนโพล่งถาม
ทั่วทุกสารทิศบนอากาศปรากฏเส้นแสงวูบไหวไปยังเมืองปีศาจราตรีให้เห็นประปรายเป็นครั้งคราว
“ไปดูสิ เดี๋ยวก็รู้เอง”
ซูอี้หยุดความคิดอันวุ่นวายของเขา และเดินไปยังเมืองปีศาจราตรี
ทว่าทันทีที่เขามาถึงประตูเมือง เขาก็ชะงักเท้าและมองขึ้นไปยังท้องนภาราตรี
เสียงฆ้องและแตรเขาสัตว์ดังออกมาจากรัตติกาลอันห่างไกล เป็นบทเพลงอันน่าตื่นเต้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกวังเวงมืดหม่น ฟังดูน่ากลัวจับใจท่ามกลางรัตติกาลอันลึกล้ำ
ใกล้ประตูเมืองมีคนมากมายซึ่งแหงนหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ
และทุกคนต่างพบว่าบนฟ้าไกล ๆ ปรากฏขบวนแห่ประหลาดขึ้น
กลุ่มคนนำขบวนเป็นชายสวมอาภรณ์สีเลือดและมงกุฎยาวสีเลือด รวมสิบหกคนแบ่งเป็นสองกลุ่ม แปดคนตีฆ้อง และแปดคนเป่าแตรเขาสัตว์
เสียงตีฆ้องดังลั่นทิ่มแทง
เสียงของแตรเขาสัตว์ดังและลากยาว คลื่นเสียงสีดำสะเทือนสุญญะ บริเวณพื้นที่ด้านล่างกระเพื่อมไหว
บทเพลงนี้ช่างหวีดหวิวดุจอสุภคีตะ พิสดารชวนขนลุก
แถวหลังของขบวนเป็นสตรีสี่คนในชุดกระโปรงสีเลือด ร่วมกันยกเกี้ยวสีเลือด
ภาพเหล่านี้ดูราวกับงานแต่งงานของเจ้าสาวภูตผี แต่งแต้มรัตติกาลให้ดูมืดหม่นลี้ลับกว่าเก่า
“นักพรตผีมลายสวรรค์!”
ใครบางคนกล่าวเสียงสั่น “ปีศาจเฒ่านั่นมาแล้ว…”
เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้คนรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว
“นักพรตผีมลายสวรรค์? ที่แท้ก็เป็นไอ้แก่นี่เอง” ใบหน้างามของชุยจิ๋งเหยี่ยนปรากฏสีหน้าขยะแขยง
“คนผู้นี้แข็งแกร่งมากหรือ?”
ซูอี้ถาม
“ไอ้แก่นี่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ชั่วช้า กลับกลอกและโหดร้าย ขึ้นชื่อลือชาด้านการหล่อหลอมศพและควบคุมภูตผี ในช่วงพันปีนี้ มีผู้ฝึกตนหญิงที่ถูกไอ้แก่นี่ชำแหละไปมากมาย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรีบถ่ายทอดเสียง “สิ่งน่าชังนักคือไอ้แก่นี่ไม่เพียงกระทำชั่วด้วยการฝึกฝนของตนเอง แต่ยังอาศัยบารมี ‘สำนักนทีโลหิตปรภพ’ กบดานอยู่ในแม่น้ำบาปสีเลือดจนรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ หาไม่ โถงหลงลืมของข้าที่หนึ่งแล้วที่จะไม่ไว้ชีวิตเขา!”
จากคำกล่าวของชุยจิ๋งเหยี่ยน นักพรตผีมลายสวรรค์มีวิถีเต๋าอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตวงล้อวิญญาณ และในโลกทุกวันนี้ เขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวตนอันทรงอำนาจสูงสุดภายใต้จักรพรรดิ
“ผู้ฝึกตนมารเลื่องชื่อซึ่งยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิ การที่เขาสามารถมีชีวิตยืนยาวจนบัดนี้หลังจากกระทำเรื่องชั่วช้ามากมาย นับได้ว่าเป็นทักษะอันแพรวพราว”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ในระหว่างสนทนา ขบวนแห่ที่พวกเขากล่าวถึงก็เคลื่อนผ่านนภาสูงแห่งรัตติกาลเข้ามายังเมืองปีศาจราตรี และค่อย ๆ หายไป
เกิดเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ขึ้นในบริเวณประตูเมือง
“นักพรตผีมลายสวรรค์ไม่เปิดเผยร่องรอยมาเกือบร้อยปี ทว่าวันนี้เขากลับดิ่งตรงมายังเมืองปีศาจราตรี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องได้คำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงราตรีจากจวนเจ้าเมืองเป็นแน่”
ใครบางคนกระซิบ
“ช่วงนี้ ทั้งปีศาจเฒ่าแขนเดียว ปีศาจเฒ่าพันเนตร นักพรตเต๋าหน้าขาว และทรราชมารมากมายจึงทยอยโผล่มาคนแล้วคนเล่า ว่ากันว่าพวกเขาต่างมาร่วมงานเลี้ยงแห่งวาสนาที่จวนเจ้าเมืองในคืนนี้!”
“ข้ายังเคยได้ยินอีกว่าเมื่อไม่นานมานี้มีลำแสงเซียนเก้าสีพุ่งออกมาจากส่วนลึกของมหาภูผา ปรากฏนิมิตอัศจรรย์มากมาย และกล่าวกันว่ามีเสียงระฆังลึกลับดังอยู่สามวันสามคืน ไม่หายไปจนกระทั่งวานซืนนี้เอง”
“ยังกล่าวกันด้วยว่าวันนั้น เว่ยอวิ้นเจ้าเมืองปีศาจราตรีออกเทียบเชิญถึงกลุ่มยักษ์ใหญ่ในวิถีมารให้เดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมกันชิงสมบัติลึกลับไร้หยั่งคาดนั่น”
“มิน่าเล่า เมืองปีศาจราตรีช่วงนี้จึงคึกคักนัก”
…ผู้คนกล่าวขานพลางเดินจากทีละคนสองคน
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลำแสงเซียนเก้าสี?
ระฆังลึกลับ?
หรือผนึกของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนั้นจะถูกผู้ใดสักคนเปิดออก?
ชายชราตาบอดโพล่งขึ้นว่า “เพื่อค้นหาสมบัติ กลับต้องไปเรียกเหล่ามารร้ายจากภายนอกเข้ามา ตระกูลเว่ยเผ่ามารช่างกระทำการโจ่งแจ้งนัก มันย่อมหมายความว่าสมบัติชิ้นนี้คงจะแปลกพิสดารเป็นแน่”
“เพราะเหตุใด?” ชุยจิ๋งเหยี่ยนอึ้ง
ชายชราตาบอดกล่าว “แม่นางจิ๋งเหยี่ยน หากเจ้าพบสมบัติเหนือธรรมดาในถิ่นฐานของเจ้าเอง เจ้าจะยอมแบ่งมันกับผู้อื่นหรือไม่?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพลันกล่าว “จริงของท่าน”
มหาภูผาคือหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามแห่งเขตแม่น้ำลืมเลือน
และนานมาแล้ว ตระกูลเว่ยเผ่ามารก็อาศัยอยู่ใน ‘โกรกธารนภาเมฆ’ ลึกเข้าไปในมหาภูผา!
หากกล่าวถึงความเข้าใจในมหาภูผาแล้ว ทั่วโลกหล้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเทียบตระกูลเว่ยเผ่ามารได้
ทว่ายามนี้ เว่ยอวิ้น เจ้าเมืองปีศาจราตรีจากตระกูลเว่ยเผ่ามารกลับออกเทียบเชิญถึงเหล่ามหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีมาร ซึ่งหมายความว่าเรื่องราวเบื้องหลังมิอาจเรียบง่ายดังว่า
“ไปกันเถิด ไปที่ตลาดมืดในเมืองก่อน”
ซูอี้ก้าวเข้าประตูเมือง
ชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยนเดินตาม
ทั้งสองต่างรู้สึกฉงนมากในใจว่าเหตุใดซูอี้จึงต้องมายังเมืองปีศาจราตรี ทว่าก็ไม่ได้ถามอันใดอย่างเฉลียวฉลาด
หากซูอี้อยากพูด เขาต้องพูดออกมาแล้วแน่แท้
เมืองปีศาจราตรีครึกครื้นยิ่งนัก ถนนและตรอกซอยแน่นขนัดดุจต้นไม้ในป่า แสงสว่างเรียงแถวดุจขนดมังกร ผู้คนแออัดหนาแน่น
ภาพอันมีชีวิตชีวานี้หาต่างอันใดกับเมืองทั่ว ๆ ไปไม่
ทว่าขอเพียงสนใจสังเกต จะพบว่าเหล่าผู้ฝึกตนในเมืองแห่งนี้คือมัจฉาและมังกรปะปน มีทั้งผู้ฝึกตนมารผู้ฝึกตนวิญญาณ ผู้ฝึกตนปีศาจ และอื่น ๆ …เช่นเดียวกับยอดฝีมือจากกลุ่มชนต่าง ๆ
ยิ่งกว่านั้น ปราณของคนเหล่านั้นยังทะลักล้นไม่ขาดสาย ดุร้ายเกรี้ยวกราดไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แม้พวกเขาจะพยายามสุดชีวิตเพื่อปกปิดมัน ก็ยังไม่อาจหลุดรอดสายตาผู้แข็งแกร่งได้
ซูอี้ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้
ที่แห่งนี้ปั่นป่วนอลหม่านมาแต่ไหนแต่ไร ความรุ่งเรืองมีชีวิตชีวานี้ก็เป็นเพียงผิวเผิน ในความเป็นจริง ที่แห่งนี้ช่างโสมม คลุ้งกลิ่นเลือดและมืดมน
หากผู้ฝึกตนไม่รู้เรื่องราวสักคนมายังสถานที่โหดร้ายเช่นนี้ เขาย่อมได้ตายโดยไม่มีวันรู้สาเหตุเป็นแน่
“นายน้อย เจ้าเพิ่งเข้าเมืองนี้เป็นวันแรกใช่หรือไม่?”
เมื่อซูอี้และคณะเพิ่งเข้ามาในเมือง ชายชราในชุดนักพรตเต๋าผู้ดูราวเทพเซียนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาคุยกับพวกเขาก่อนด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้เหลือบมองอีกฝ่าย และกระซิบหนึ่งถ้อยคำ
“ไสหัวไป”