บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 79 ไก่ย่างกับสุราดอกสาลี่
ตอนที่ 79: ไก่ย่างกับสุราดอกสาลี่
ราตรีเย็นเยือกดุจวารี แสงจันทราสาดส่องเจิดจ้า ช่างเงียบสงบนัก
ขณะความคิดของซูอี้กำลังลอยล่อง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นายน้อยซูอยู่หรือไม่?”
เสียงของจางเยวี่ยนซิงดังขึ้นนอกประตูลานบ้าน
ซูอี้ลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นจางเยวี่ยนซิงถือสุราหนึ่งเหยือก กับไก่ย่างหนึ่งตัว
ด้านหลังเขา อาสงสวมหมวกกลมสีดำเดินตามทุกย่างก้าว
“เจ้ามาทำสิ่งใด?” ซูอี้ถาม
“ราตรีมืดมิดเช่นนี้ เจ้ากับข้าดื่มกันที่นี่ ยินดีกับสุรา ไม่คิดว่ามันงดงามบ้างหรือ?”
หลังจากถามเช่นนั้น จางเยวี่ยนซิงก็เดินเข้าไปในลานบ้านพร้อมรอยยิ้ม หลังจากมองรอบข้าง เขาก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ลานบ้านนี้จะเรียบง่าย แต่เงียบสงบเช่นนี้ก็ดี”
เขาวางเหยือกสุราและไก่ย่างบนโต๊ะหินใต้ต้นหวายเก่าแก่ ก่อนจะนั่งบนม้านั่งหินด้วยท่วงท่าสบาย เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “นายน้อยซู เชิญนั่ง”
จางเยวี่ยนซิงออกกิริยาราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน
ซูอี้ไม่สนใจ หยิบจอกสุรามาสองใบ ก่อนนั่งลงตรงข้ามกับจางเยวี่ยนซิง
“สุรานี้นำมาจากบ้านข้า ชื่อของมันคือ ‘สุราดอกสาลี่’ แช่ดอกสาลี่ในน้ำพุวิญญาณช่วงเช้าตรู่ ผสมสมุนไพรวิญญาณสามสิบหกชนิดลงไปในสุรา ผนึกบ่มไว้ที่แท่นบูชามาเก้าปี ในบ้านข้า จะเปิดสุรานี้ออกก็ต่อเมื่อต้องการมอบความบันเทิงให้กับแขกอันทรงเกียรติเท่านั้น”
ขณะพูด จางเยวี่ยนซิงเปิดเหยือก กลิ่นหอมสดชื่นของสุราพลันแผ่กระจายไปทั่วราตรี
จางเยวี่ยนซิงรินสุราใส่จอกทั้งสองใบ ซูอี้พลันเห็นว่าสุราเหลืองใสดุจพลอยอำพัน สะท้อนแสงจันทรา มีกลิ่นอายสดชื่นแผ่กระจายออกมาน่าลิ้มลองนัก
“มา เจ้ากับข้ามาดื่มกันเถอะ!”
จางเยวี่ยนซิงยิ้มก่อนชนจอก การแสดงออกของเขาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
เขาเชื่อว่าด้วยสายตาของซูอี้ ย่อมสามารถมองออกว่าสุรานี้ยอดเยี่ยมมากเพียงใด
แต่ทว่าซูอี้กลับทำตัวเฉยชาตอบ ก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายจางมาที่นี่ น่าจะไม่ได้แค่มาหาสหายร่วมดื่ม เริ่มจากเราคุยกันก่อน จากนั้นค่อยดื่มก็ยังไม่สาย”
แน่นอนว่าสุราดอกสาลี่นี้นับว่าเป็นสุราดีอันดับต้น ๆ
แต่น่าเสียดาย หากเทียบกับยอดสุราเซียนที่ซูอี้เคยดื่มในชาติที่แล้ว สุราดอกสาลี่นี้ยังห่างชั้นราวฟ้ากับเหว ฉะนั้นเขาจะรู้สึกตื่นเต้นกับของเช่นนี้ได้อย่างไร?
จางเยวี่ยนซิงตกตะลึงไปครู่ เขาวางแก้วสุราในมือลง ก่อนเอ่ยคำ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ข้าแค่อยากถามบางอย่างเกี่ยวกับภูเขามารดาภูตผี”
“เจ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” ซูอี้ถามกลับ
จางเยวี่ยนซิงตอบตามตรงว่า “ไม่ สิ่งที่ข้าอยากถามคือ เจ้าทำอย่างไร ถึงทำให้หยวนลั่วซีกับเฉิงอู้หย่งให้ความเคารพมากขนาดนี้”
ตอนนี้ อาสงผู้ยืนอยู่ไม่ไกลนักก็มองมาเช่นกัน ถึงแม้สีหน้าจะราบเรียบ แต่กลับกดดันผู้คนได้เป็นอย่างมาก
ซูอี้เข้าใจความตั้งใจของจางเยวี่ยนซิงคร่าว ๆ เขาจึงถามต่อ “ทำไมเจ้าไม่ถามพวกเขาด้วยตนเองเล่า?”
จางเยวี่ยนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา แต่ยังอธิบายว่า “พวกเขาจะบอกเรื่องนี้กับข้าได้อย่างไร ถ้าบอกจริง ข้าไม่มารบกวนเจ้าในเวลาแบบนี้หรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรื่องนี้เรียบง่ายนัก ที่ภูเขามารดาภูตผี ข้าช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ขายหญ้าหกหยินให้ ข้าคิดว่าด้วยเหตุนี้ ที่ทำให้พวกเขาเคารพในตัวข้า”
ชายหนุ่มไม่ปกปิด เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดแต่อย่างใด
ไม่จำเป็น!
จางเยวี่ยนซิงตกตะลึงไปครู่ จากนั้นขมวดคิ้ว “นายน้อยซู เรื่องตลกเช่นนี้ไม่น่าขันเอาเสียเลย”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ
หยวนลั่วซีมีเฉิงอู้หย่งซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณคุ้มกันโดยตลอด มันไร้สาระสิ้นดีกับเรื่องที่ว่าบุคคลขอบเขตโคจรโลหิตเป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขา
ไม่ไกลกันนั้นสงป๋อหู่ก็เอ่ยถามว่า “เจ้าช่วยเล่าอย่างละเอียดได้หรือไม่ ว่าช่วยพวกเขาอย่างไร?”
จางเยวี่ยนซิงซึ่งสงสัยอยู่แล้ว จึงมองซูอี้ด้วยความสนใจเช่นกัน เพราะเขาอยากฟังว่าอีกฝ่ายจะอธิบายอย่างไร
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เมื่อวันนั้น มารหยินหกสมบูรณ์ใช้ประโยชน์จากท้องฟ้าที่มืดมิดเนื่องจากฝนได้กระหน่ำลงมา เข้าโจมตีกลุ่มของพวกข้า เฉิงอู้หย่งเพียงลำพังไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย ตัวข้าซึ่งมีเป้าหมายไปที่ภูเขามารดาภูตผีเพื่อสังหารเดรัจฉานตนนี้อยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงฆ่ามันด้วยหนึ่งดาบ สรุปแล้วนับว่าเป็นการช่วยชีวิตพวกเขาโดยทางอ้อมอย่างแท้จริง”
ใบหน้าของจางเยวี่ยนซิงมืดหม่น เขาหักห้ามความโกรธที่อยู่ในใจเอาไว้ แล้วกล่าวว่า
“ซูอี้ ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายที่สามารถคุยกันได้ แต่เจ้าถึงกับปั้นเรื่องเหลวไหลมาโกหกข้า การคุยกับข้าจางเยวี่ยนซิงอย่างจริงจังมันยากเกินไปนักหรือ!?”
สิ้นคำพูด คิ้วของเขาขมวดมุ่นขึ้นมา
ตั้งแต่เช้านี้ ตอนเขาเห็นซูอี้พูดคุยกับหยวนลั่วซีที่นอกเมือง เขาค่อนข้างไม่พอใจอยู่พอประมาณ ด้วยเห็นว่าซูอี้ไม่ทักทายเขา ราวกับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นหัว
และยิ่งไปกว่านั้น ยามอยู่ในงานเลี้ยงในภัตตาคารรวมเซียน ความคิดเกี่ยวกับการแสดงท่าทีเคารพของหยวนลั่วซีที่มีต่อซูอี้ มันยิ่งทำให้เขาไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นตอนเขามาพบซูอี้ในคืนนี้ ความโกรธก็ได้สั่งสมอยู่ในใจแล้ว แต่คิดว่าหากซูอี้ให้ความร่วมมือแต่โดยดี เขาก็ไม่คิดมากที่จะแสดงความใจกว้าง พร้อมกับให้อภัยสักครั้ง
ใครจะคาดคิด ว่าอีกฝ่ายถึงกับปั้นเรื่องเหลวไหลหน้าตาเฉย แถมยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ นี่เป็นการจงใจดูถูกสติปัญญาของเขายิ่งนัก!
อาสงผู้อยู่ไม่ไกลกันนั้นขมวดคิ้วเช่นกัน กล่าวว่า “ซูอี้ ถ้าเจ้าอยากโอ้อวดตัวเองต่อหน้าคุณชาย ด้วยการจงใจบิดเบือนความจริง เช่นนั้นข้าคงพูดได้แค่ว่า เจ้ามันทั้งอ่อนหัดและเหลวไหลสิ้นดี!”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา
เห็นได้ชัด ว่าเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย ด้วยระดับการบ่มเพาะของซูอี้ที่อยู่ในขั้นขอบเขตโคจรโลหิต จึงไม่มีทางที่จะสามารถฆ่ามารหยินหกสมบูรณ์ได้ เพราะแม้แต่ปรมาจารย์ขอบเขตหลอมกำเนิดก็ยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ
นี่ไม่ต่างกับมดผู้โอ้อวดว่าฆ่าเสือ มันช่างไร้สาระและน่าขบขันนัก
ซูอี้ถอนหายใจเล็กน้อย
เขาอุตส่าห์พูดเล่าความจริงไม่มีเท็จ แต่กลับไม่มีใครเชื่อ …นั่นทำให้เขาผิดหวังยิ่งนัก
“สิ่งที่ข้าควรพูด ข้าก็พูดไปแล้ว หากพวกเจ้าทั้งสองไม่เชื่อข้า ก็สามารถไปถามพวกหยวนลั่วซีได้ ข้าไม่คิดจะเสียเวลาอธิบายอีก”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้น เดินกลับเข้าห้องไป “พวกเจ้าสองคนกลับไปได้แล้ว แต่ข้าคงไม่เสียเวลาออกไปส่ง”
นี่เทียบเท่ากับเป็นการไล่
เพล้ง!
จางเยวี่ยนซิงเขวี้ยงจอกสุราลงกับพื้น กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ซูอี้ ข้าอุตส่าห์มาชวนฉลอง แต่กลับไม่ยอมกินดื่มด้วยกันอย่างนั้นหรือ!?”
ซูอี้พลันหันกลับมา สายตาเย็นชา และถามว่า “คนแซ่จาง เจ้าคิดจะสร้างปัญหาในบ้านข้างั้นหรือ?”
“สร้างปัญหางั้นหรือ?”
จางเยวี่ยนซิงหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่สะกดข่มอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไป และตอบว่า “ก่อนหน้านี้ที่สุภาพกับเจ้า เป็นเพราะข้านิยมชมชอบในความสามารถของเจ้าที่เผยออกในงานประลองประตูมังกร แต่เจ้ากลับเอาแต่ทำตัวหยิ่งผยองไม่เข้าเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดหรือว่าข้าจางเยวี่ยนซิงเป็นคนใจกว้างถึงขนาดให้อภัยเจ้าได้ทุกครั้งครา?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็มองอย่างเย็นชาก่อนชี้นิ้วที่ซูอี้ “ข้าจะบอกอะไรให้รู้ไว้ หากไม่อธิบายมาตามตรงในคืนนี้ อย่าโทษข้าที่เสียมารยาท!”
ไม่ไกลกันนั้น อาสงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “คุณชายสงบสติลงก่อน ในเมื่อซูอี้บอกว่ามีความสามารถในการฆ่ามารหยินหกสมบูรณ์ เช่นนั้นข้าก็ขอลงมือเอง เพื่อเป็นการทดสอบดูว่าเขาโกหกหรือไม่ และทดสอบว่าเขามีฝีมือจริงหรือไม่”
จางเยวี่ยนซิงสูดหายใจเข้า พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อืม แต่อาสงอย่าฆ่าเขา ข้าอยากถามบางอย่างเกี่ยวกับภูเขามารดาภูตผี หากความจริงนี้ไม่ได้รับการคลี่คลาย ข้าย่อมไม่รู้สึกสบายใจเป็นยิ่งนัก”
อาสงพยักหน้า กล่าวว่า “เด็กน้อยแซ่ซู ทุกอย่างมันเริ่มบานปลายแล้ว หากสำนึกผิดในตอนนี้ จงบอกความจริงมา เวลายังมีอยู่”
มุมปากของซูอี้ยกขึ้นเล็กน้อย ท้ายสุดเขาก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้ สายตาราวกับจ้องมองคนโง่สองคน แล้วกล่าวว่า
“เจ้าก็เห็นอยู่ว่าหยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งให้ความเคารพข้ามากแค่ไหน แต่ยังกล้ามาทำเรื่องเสียมารยาทต่อหน้าข้าเช่นนี้อีก ข้าควรบอกว่าเจ้าโง่เขลาหรือไม่รู้จักความเป็นความตายดีล่ะ?”
จางเยวี่ยนซิงตกตะลึงไปครู่ เขาไม่เชื่อว่าครั้งนี้ ซูอี้จะถึงกับกล้าพูดจาหยาบคายเพียงนี้
ใบหน้าของอาสงหมองหม่นเช่นกัน จิตสังหารแผ่ซ่านออกจากดวงตา
เขาไม่แม้แต่จะคาดคิด ว่าบุคคลเล็กจ้อยเช่นซูอี้จะกล้าไม่ให้ความเคารพถึงเพียงนี้!
โดยไม่ลังเล เขาเดินเข้าหาซูอี้
เขายืดอกเชิดหน้าก่อนก้าวเดิน ท่วงท่าแสดงความสง่าก่อนแผดเสียงคำรามออกมา
ปัง!
ประตูลานบ้านพลันเปิดออก
ร่างผอมเพรียวปรี่เข้ามาด้วยความโกรธ ก่อนต่อว่าด้วยน้ำเสียงแจ่มชัดว่า “จางเยวี่ยนซิง เจ้ากล้าลงมืองั้นหรือ!”
ผู้มาเยือนสวมชุดเครื่องแบบทหาร ใบหน้าเรียบเนียนดั่งหยกละเอียดอ่อนถูกปกคลุมด้วยความโกรธอย่างเด่นชัดภายใต้แสงจันทรา
เป็นหยวนลั่วซี
ด้านหลังนาง เฉิงอู้หย่ง ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ตามติด
เช่นเดียวกัน พวกเฉิงอู้หย่งเผยสีหน้าน่าเกลียดยิ่งออกมา
ซูอี้ประหลาดใจ พวกเขามาได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าจางเยวี่ยนซิงไม่ทันระวัง จนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ลั่วซี เจ้าไม่ได้จากไปเมื่อเช้าหรือ?”
อาสงขมวดคิ้ว ก่อนหยุดมือ ระงับจิตสังหารไว้ในใจ
“ถ้าข้าไม่มา แล้วเมื่อไรถึงจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของจางเยวี่ยนซิงเล่า?”
ดวงตางดงามของหยวนลั่วซีเต็มไปด้วยความโกรธอันน่าสะพรึง
“ไม่คาดคิดเลย ว่าลูกชายของผู้นำตระกูลจางผู้สง่าผ่าเผย จะสายตามืดบอดถึงเพียงนี้!”
ฟู่ซานพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา
ถูกตำหนิโดยหยวนลั่วซี จางเยวี่ยนซิงยังพอทนได้
แต่เมื่อเห็นฟู่ซานกล้าล้อเลียน เขาอดที่ได้ฉุนเฉียวไม่ได้ ก่อนจะตะโกนว่า “ฟู่ซาน เจ้าอาจหาญดีอย่างไร ถึงกล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้!?”
“ข้าคือเจ้าเมืองกว่างหลิง ในเมื่อเห็นว่าเจ้ากำลังกระทำชั่วในพื้นที่ของข้า ย่อมมีสิทธิ์ต้องว่ากล่าวไม่ใช่หรือ? เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นของตระกูลจางหรืออย่างไร?”
ฟู่ซานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้า…”
จางเยวี่ยนซิงกำลังจะพูดบางอย่าง แต่อาสงกลับห้ามเขาเอาไว้
“คุณชาย พวกเราควรไปได้แล้ว” อาสงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เขามองเพียงครั้งเดียวก็รู้ ในเมื่อหยวนลั่วซีอยู่ที่นี่ ถ้าพวกเขากล้าโจมตีซูอี้ในคืนนี้ เฉิงอู้หย่ง ฟู่ซานและคนอื่นย่อมเข้ามาห้ามอย่างไม่ลังเล
แค่เฉิงอู้หย่งเพียงคนเดียว เขายังพอจะต้านทานได้ แต่ถ้ารวมฟู่ซานผู้อยู่ขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ผลลัพธ์จะต้องเลวร้ายเป็นแน่
แต่การจากไปทั้งอย่างนี้ จางเยวี่ยนซิงย่อมไม่เต็มใจ
เขาสูดหายใจเข้าหลายครั้ง หักห้ามความหงุดหงิดในใจไว้ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ลั่วซี นี่ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…”
หยวนลั่วซีขัดอย่างไม่ไว้หน้า “ไปให้พ้น! ใครอยากฟังคำอธิบายของเจ้า? ถ้ายังไม่ไสหัวไปอีก อย่ามาโทษข้าที่เสียมารยาท! ถึงตอนนั้น ข้าอยากรู้นัก ว่าพ่อของเจ้าจะช่วยแก้ปัญหาให้ได้หรือไม่!”
คำพูดเหล่านี้ เป็นมากยิ่งกว่าคำหยาบคาย พวกมันกำลังเหยีบย่ำศักดิ์ศรีของจางเยวี่ยนซิง
ใบหน้าของเขาพลันแดงก่ำ เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนตรงหน้าผาก เขาแทบจะวิ่งหนีไปพร้อมกับความเดือดดาล
เขาไม่เคยคาดคิด เพื่อช่วยลูกเขยของตระกูลเหวิน หยวนลั่วซีถึงกับฉีกหน้าเขามากเพียงนี้!
“คุณชาย ท่านควรดูทิศทางลมให้ดี มันเป็นเพียงความอับอายชั่วครู่ ยังมีโอกาสเอาคืนในภายหลัง!”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น อาสงจึงคว้าไหล่ของจางเยวี่ยนซิง และดึงตัวเขาออกมา ก่อนจะสาวเท้าจากไป ไม่ช้าก็หายไปจากสายตา
ราวกับแสงจันทรา ที่พร่ามัวและหนาวเหน็บ
ไก่ย่างบนโต๊ะหินยังไม่ถูกกิน สุราดอกสาลี่ยังไม่ถูกดื่ม การเผชิญหน้าอันตึงเครียด ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
พวกหยวนลั่วซีมาได้ประจวบเหมาะนัก!
จางเยวี่ยนซิงและอาสงจึงนับได้ว่าถูกพวกเขาช่วยชีวิตเอาไว้…