บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 792: ตายโดยอัตวินิบากกรรมไม่ใช่สิ่งน่าเสียดาย
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 792: ตายโดยอัตวินิบากกรรมไม่ใช่สิ่งน่าเสียดาย
ตอนที่ 792: ตายโดยอัตวินิบากกรรมไม่ใช่สิ่งน่าเสียดาย
ตอนที่ 792: ตายโดยอัตวินิบากกรรมไม่ใช่สิ่งน่าเสียดาย
เมื่อนางเห็นร่างของคนทั้งสาม ฮูหยินจินไฉ่ผู้นั่งอยู่ในโถงก็อดส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ไม่ได้
ในขณะเดียวกัน นักดาบมารจากภูเขาอัคคีทิพย์ ชายชราร่างผอมผู้เป็นที่รู้จักในนาม ‘หนอนเฒ่า’ แห่งมหาธารเทียนอินและชายในชุดผ้าแพรต่างแสดงสีหน้าแปลกใจ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจำ ‘หน้าใหม่’ ทั้งสามซึ่งเพิ่งเข้าสู่เมืองปีศาจราตรีในคืนนี้ได้
เจ้าเมืองเว่ยอวิ้น เจ้านทีปี้เซียวและคนอื่น ๆ ต่างก็หันมองคนทั้งสามซึ่งปรากฏนอกโถงเช่นกัน
ทันใดนั้น คนทุกผู้ก็ขมวดคิ้ว
เพราะทั้งสามช่างดูไม่คุ้นตา และไม่มีผู้ใดทราบที่มา
ผู้มาใหม่ทั้งสามย่อมเป็นซูอี้และคณะ
เมื่อพวกเขาเข้าสู่โถง ทั้งสามก็ตกเป็นเป้าความสนใจทันที
โดยเฉพาะชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้มีรูปลักษณ์โดดเด่นและกิริยาดุจนางสวรรค์ซึ่งได้รับสายตาตะลึง หิวกระหาย เร่าร้อนและชั่วร้ายไปมากมาย
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายตัว คิ้วสวยย่นลงเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“ใต้เท้า นี่คือสหายเต๋าผู้ซื้อโถหนอนคล้อยดาราก่อนข้าน้อยขอรับ”
ผู่เจิงกล่าวพลางมองไปยังซูอี้
ร่างสูงใหญ่ของเว่ยอวิ้นนั่งนิ่งไม่ขยับ ขณะแย้มยิ้มร่าบนใบหน้า “สหายเต๋าทั้งสามดูไม่คุ้นตายิ่งนัก ไม่ทราบชื่อแซ่เป็นเช่นไร อาจารย์อยู่แห่งหนใดหรือ?”
ซูอี้เหลือบมองคนทุกผู้และกล่าวอย่างสุขุม “ที่มาของเราไม่ใช่ประเด็น ข้าแค่อยากถามว่าจุดประสงค์ที่ตระกูลเว่ยของพวกเจ้ารวบรวมหนอนคล้อยดารานี้เกี่ยวกับการจับปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์หรือไม่?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกเปล่งออกมา บรรยากาศในโถงก็เงียบลงอย่างมากทันที
ดวงตาของเว่ยอวิ้นวูบไหว กล่าวอย่างประหลาดใจ “สหายเต๋าล่วงรู้ความลับเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
เขาแปลกใจจริงแท้ เพราะในกาลก่อน นอกจากตระกูลเว่ย แทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้เกี่ยวกับหนอนคล้อยดาราซึ่งเป็นเหยื่อจับปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์เลย!
ซูอี้ไม่ได้ตอบ ทว่าขมวดคิ้วครุ่นคิด
วาจาของเว่ยอวิ้นทำให้เขาตระหนักได้ว่าผนึกในพื้นที่ต้องห้าม ณ ส่วนลึกของมหาภูผาคงพังทลายลงแล้วเป็นแน่
“สหายเอ๋ย เจ้าเมืองกำลังถามเจ้าอยู่นะ”
ชายในอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่งแค่นเสียงอย่างเย็นชา น้ำเสียงดูไม่พอใจเล็กน้อย
ผิวพรรณของเขาเป็นสีเหลือง จมูกงองุ้ม เบ้าตาลึกโหล มีบรรยากาศเย็นชาคลุ้งกลิ่นเลือดรอบกาย
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าไม่ใช่หรือไร?”
ชายชราตาบอดตำหนิด้วยใบหน้าเฉยเมย
“เจ้า…”
ชายในอาภรณ์สีม่วงหน้าคล้ำ จิตสังหารฉายออกมาผ่านแววตา
ทุกคน ณ ที่นี้ต่างแปลกใจ พวกเขาไม่คาดว่าชายชราตาบอดซึ่งดูเหมือนบริวารจะมีการวางตัวแข็งกร้าวนัก
ควรค่าจดจำว่าชายในอาภรณ์สีม่วงเป็นสัตว์ประหลาดผู้เย่อหยิ่งจองหองและอาศัยในถ้ำมังกรพิษตลอดปี จนได้สมญา ‘เจ้าแห่งเขามังกรพิษ’
เมื่อผู้ฝึกตนทั่วไปมาพบพาน หัวใจของพวกเขาจะสั่นไหวอย่างกลัวเกรง ไม่อาจอยู่สุข
ทว่าชายชราตาบอดกลับตำหนิเขาอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกสายตา ผู้ใดเล่าจะไม่แปลกใจ?
เมื่อเห็นเช่นนี้ เว่ยอวิ้นก็กล่าวทั้งที่ยังยิ้มว่า “ทั้งสองโปรดสงบใจ อย่าทำลายความสงบเลย”
เจ้าแห่งเขามังกรพิษสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อท่านเจ้าเมืองเอ่ยปาก ข้าย่อมไม่ยุ่งกับเขา”
ชายชราตาบอดยิ้มเยาะ พลางกล่าวว่า “ข้าจะทิ้งวาจาไว้ ณ ที่นี้เช่นกัน ว่าเมื่อคุณชายซูของข้ากำลังพูดคุย ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดขัดจังหวะเขา”
ท่าทางเช่นนี้ทำให้เหล่าปีศาจเฒ่าผู้มีตัวตนมาแสนนานขมวดคิ้ว ชายชราตาบอดผู้นี้ผยองนัก!
เว่ยอวิ้นมองซูอี้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อสหายเต๋ารู้จุดประสงค์การรวบรวมหนอนคล้อยดาราของข้า ไม่ทราบว่าจะสามารถสละหนอนคล้อยดาราให้ข้าได้หรือไม่?”
ในฐานะเจ้าเมืองปีศาจราตรี สายตาของเว่ยอวิ้นย่อมเฉียบคม มองออกนับแต่ปราดแรกว่าทั้งชายชราตาบอดและหญิงงามไร้คู่เปรียบต่างมองไปยังชายหนุ่มชุดเขียว
ซูอี้ส่ายหน้าตอบ “ไม่”
ปฏิเสธอย่างเป็นธรรมชาติ
เว่ยอวิ้นขมวดคิ้วและถามอย่างฉงน “หรือสหายเต๋าเองก็ตั้งใจจะมาจับปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์เช่นกัน?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้กล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าพวกเจ้าต้องการทำสิ่งใดแน่ ยามนี้เมื่อได้คำตอบ ก็ลาก่อน”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินออกไปนอกโถงหลัก
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบติดตามไป
ทั้งคู่ต่างตระหนักดีถึงลักษณะนิสัยของซูอี้ เขาไม่เคยกระทำการใดส่งเดช ไปมายามต้องการ และไม่สนใจว่าจะอยู่ในสถานที่ใด หรือปุบปันเกินไปหรือไม่
ทว่า สำหรับเหล่าปีศาจเฒ่าในที่นี้ การกระทำของซูอี้ดูหยิ่งผยองเกินไป ราวกับไม่เห็นผู้ใดทั่วโลกหล้าในสายตา
สีหน้าของเจ้าเมืองเว่ยอวิ้นแย่ลงเล็กน้อย
คนผู้นี้ถือจวนเจ้าเมืองเป็นที่แบบใด?
“หยุดนะ!”
เจ้าแห่งเขามังกรพิษเป็นผู้แรกที่ตะโกนอย่างทนไม่ไหว
ทว่าซูอี้เมินเฉยทำหูทวนลม ไม่แม้แต่จะชะงักฝีเท้า
คิ้วของคนทุกผู้ขมวดแน่นขึ้นทุกขณะ
ทว่าเจ้าแห่งเขามังกรพิษหัวเราะด้วยโทสะ มือฟาดโต๊ะและกล่าวว่า “หากเจ้ากล้าก้าวออกไปนอกจวน เจ้าจะต้องตาย!”
ตู้ม!
จิตสังหารเย็นยะเยือกเกินเทียบพลุ่งพล่านในโถงดุจคลื่นน้ำ
ทุกสายตาจับจ้องนิ่งที่พวกซูอี้ด้วยประกายตาวูบไหว
ก่อนหน้านี้ บางทีอาจเป็นเพราะซูอี้และชายชราตาบอดแข็งแกร่งเกินไป เหล่าปีศาจเฒ่าผู้เคยออกอาละวาดในอดีตจึงสงสัยและไม่กล้าก่อกวน
ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิดอันใด
ณ ยามนี้ เมื่อการกระทำนำร่องของเจ้าแห่งเขามังกรพิษตรงกับเจตนารมณ์ของพวกเขา จึงอยากเห็นนักว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไร
ในขณะที่ผู่เจิงอยากพูดบางสิ่ง เว่ยอวิ้นก็โบกมือหยุดเขาและกล่าวว่า “ดูละครต่อไป”
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดหนาวสะท้านนี้ ซูอี้ผู้อยู่ห่างประตูโถงเพียงสามจั้งกล่าวโดยไม่หันมามอง
“ตายโดยอัตวินิบากกรรมไม่ใช่สิ่งน่าเสียดาย”
วาจาไม่กี่คำถูกเอ่ยลอย ๆ
เมื่อวาจานี้ดังขึ้น ทุกคนยังคงตะลึงและรู้สึกขำขันในเวลาเดียวกัน เหตุใดคนผู้นี้จึงกล้าออกปากเยี่ยงนี้?
และขณะที่วาจายังสะท้อนในโถง ลำแสงดาบสายหนึ่งก็ตัดผ่านนภา
ฉับ!
ศีรษะชุ่มโลหิตกระเด็นขึ้นสู่อากาศ
เจ้าแห่งเขามังกรพิษ วีรชนวิถีมารผู้ยิ่งใหญ่ในโลกามาแสนนานยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เหลือเพียงศพไร้หัว จากนั้นก็ร่วงลงพื้นดังโครม กระแทกโต๊ะเบื้องหน้าเขาเป็นชิ้น ๆ
ถ้วยจานแตกกระจาย พื้นเละเทะ ปะปนด้วยโลหิตแผ่กระจายออก
ปีศาจร้ายแห่งยุคถูกสังหาร!
ผู้พบเห็นต่างตะลึง สีหน้าเปลี่ยนอย่างมหันต์
พวกเขามองซูอี้และคณะซึ่งก้าวออกไปนอกโถง และเดินหายลับไปท่ามกลางรัตติกาลอันกว้างใหญ่
นับแต่ต้นจนจบ ซูอี้ไม่ได้หยุดเดิน และไม่ได้หันกลับมา
ทว่าทุกคนต่างไม่อาจหยุดอุทานอย่างประหลาดใจได้
“คนผู้นี้อหังการยิ่งกว่าพวกเจ้าเฒ่าผู้สังหารอย่างไม่กะพริบตาเสียอีก…”
ใบหน้างดงามของฮูหยินจินไฉ่เปลี่ยนเป็นจริงจัง หัวใจสั่นสะท้าน
คืนนี้ในเมืองปีศาจราตรี นางถูกตำหนิโดยชายชราตาบอด ขณะนั้นนางค่อนข้างรำคาญใจและตั้งใจหาโอกาสล้างแค้น
ทว่าเมื่อนางได้เห็นภาพนี้ นางก็ตะลึง และรู้สึกหนาวเยือกที่สันหลัง ขณะลอบอุทานยินดีที่ยังไม่ทันลงมือ
นักดาบมารและหนอนเฒ่าจากมหาธารเทียนอิน ชายในชุดผ้าแพรต่างเปลี่ยนสีหน้า
ไม่ใช่ว่ามังกรแกร่งกลัวลำธาร แต่ดาบเมื่อครู่ของซูอี้ที่สังหารเจ้าแห่งเขามังกรพิษทำให้พวกเขาทั้งหมดสะพรึงกลัว
เพราะยามที่พวกเขาสัมผัสถึงอันตรายได้ เจ้าแห่งเขามังกรพิษก็ถูกประหารคาที่แล้ว!
“ดี ข้านับถือหัวใจกระหายเลือดของคนผู้นี้นัก หากมีโอกาส ข้าจะพยายามดูว่าจะสามารถเปลี่ยนใจเขามาอยู่ใต้คำสั่งของข้าได้หรือไม่”
นักพรตผีมลายสวรรค์ปรบมือพลางกล่าวอย่างอบอุ่น
“เหตุใดพี่ชายร่วมวิถีจึงปล่อยเขาไปก่อนเล่า?”
ชายชุดเทาผู้มีแขนเดียวผู้หนึ่งถามอย่างเฉยเมย
หนวดเคราและเส้นผมของเขากระจัดกระจาย แก้มซ้ายมีแผลอันดูเหมือนตะขาบ เขาเป็นที่รู้จักในนาม ‘ปีศาจเฒ่าแขนเดียว’ และตำแหน่งของเขาในโถงนี้ก็เทียบได้กับปีศาจเฒ่าเยี่ยงนักพรตผีมลายสวรรค์ นักพรตเต๋าหน้าขาว และปีศาจเฒ่าพันเนตร
“ฮี่ ๆ คนผู้นี้กับข้าไร้ความขุ่นเคืองข้องแค้นใด ๆ ต่อกัน ก่อนที่ข้าจะลงมือในคืนนี้ ข้าไม่ต้องการหาปัญหาใส่ตัวเพิ่มน่ะ”
นักพรตผีมลายสวรรค์ยิ้มอย่างอบอุ่น
วาจาของเขากล่าวแทนความในใจทุกคน ณ ที่นี้
คืนนี้ เหตุที่พวกเขารวมตัวกันในจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ก็เพื่อแสวงโชคใหญ่ และไม่มีผู้ใดต้องการเพิ่มปัญหา
“น่าเสียดายที่เจ้าแห่งเขามังกรพิษมากสามารถ ทว่ากลับเบื่อชีวิตเช่นนี้”
ชายผู้มีใบหน้าซีดเซียว ดวงตาสีเขียวและสวมชุดนักพรตเต๋าโทรม ๆ ทอดถอนใจ
นักพรตเต๋าหน้าขาว!
เขานั่งถือแส้สีเลือดไว้ในมือ แต่งตัวดูเหมือนนักพรตเต๋า ทว่าร่างของเขากลับเต็มไปด้วยบรรยากาศหม่นหมอง
“หากไม่เปิดหูเปิดตาย่อมตายเร็ว เจ้าแห่งเขามังกรพิษยังคงเป็นไก่อ่อนอยู่นิดหน่อย เขาไม่กระทั่งจะมองตาม้าตาเรือ ในหมู่คนที่นี่ ใครเล่าจะบุ่มบ่ามหุนหันเยี่ยงเขา? เขาสมควรตายแล้ว”
น้ำเสียงแหบห้วนดังขึ้น
ผู้กล่าวคือชายชราผู้หนึ่งซึ่งผอมสูงดุจท่อนไม้ไผ่ ใบหน้ายับย่นและดวงตาขุ่นมัว
ปีศาจเฒ่าพันเนตร!
ปีศาจเฒ่าผู้มีที่มาเป็นปริศนาและกระทำชั่วมากมาย
ดวงตาทุกคู่วูบไหว
ปีศาจเฒ่าเหล่านี้ดูจะขึ้นชื่อเรื่องความชั่วร้าย ทว่าพวกเขาก็มีชีวิตอยู่ได้จวบยามนี้ ดังนั้นย่อมไม่มีผู้ใดเป็นคนโง่
ในทางกลับกัน ทุกคนต่างผ่านมรสุมมามากมาย แม้จะไม่สบอารมณ์กับซูอี้เมื่อครู่นี้ พวกเขาก็ยังซุกซ่อนมันไว้ในใจ
ในทางกลับกัน วิธีการครั้งก่อนของเจ้าแห่งเขามังกรพิษนับว่าบุ่มบ่ามเล็กน้อยจริง ๆ
เจ้านทีปี้เซียวหันไปกล่าวกับเว่ยอวิ้น “ท่านเจ้าเมืองนั่งนิ่งดุจขุนเขา ดูไม่ตกใจเลย หรือท่านจะเห็นว่าที่มาของคนทั้งสามไม่ธรรมดาหรือ?”
ด้วยวาจานั้น ทุกคนในโถงต่างก็หันมองเว่ยอวิ้น
เว่ยอวิ้นกล่าวเย้ยหยันตนเองเล็กน้อย “เพราะไม่อาจมองเห็นที่มาของอีกฝ่ายได้ เว่ยผู้นี้จึงไม่ได้สร้างเรื่องใหญ่โต อีกอย่าง การที่อีกฝ่ายรู้จักความวิเศษของหนอนคล้อยดารานั้นเหนือความคาดหมายของข้านัก เพราะเหตุนี้ เมื่ออีกฝ่ายต้องการไป เว่ยผู้นี้จึงคิดว่าไม่เป็นการดีหากจะรั้งเขาไว้”
กล่าวจบ เขาก็มองทุกคนที่อยู่ที่นี่และกล่าวอย่างจริงจัง “ทุกท่าน สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ข้าสงสัยว่าคนทั้งสามนั้นก็มุ่งเป้าไปที่สมบัติชิ้นนั้นเช่นกัน ยังไม่สายหากเราจะชิงลงมือก่อน”
หัวใจคนทุกผู้ชะงัก
ทว่าเจ้านทีปี้เซียวกล่าวขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ในเขตแม่น้ำลืมเลือนนี้ ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าตระกูลเว่ยที่อยู่เบื้องหลังท่านเจ้าเมืองคือนายแห่งมหาภูผา หากผู้อื่นหวังจะมาชิงโอกาส เขาต้องดูก่อนว่าเจ้าเมืองเห็นด้วยหรือไม่”
เว่ยอวิ้นกล่าวพร้อมถอนใจยาว “บริเวณมหาภูผาทอดยาวแปดพันลี้ มีอันตรายที่ไม่รู้จักเต็มไปหมด ตระกูลเว่ยของข้าครอบครองเพียงมุมเดียวของดินแดนนี้ จะกล้าอ้างตนเป็นเจ้าของมหาภูผาได้เช่นไร?”
กล่าวจบ เขาก็ยืนขึ้น และกล่าวคำตัดสิน “ทุกท่าน เราชิงลงมือกันเถอะ เมื่อไปถึงมหาภูผา เว่ยผู้นี้จะแจ้งแผนการครั้งนี้ทีละข้อ”
ทุกคนมองหน้ากัน แล้วก็ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
ตลอดกาลนานมา เมืองปีศาจราตรีอยู่ภายใต้คำสั่งและการควบคุมของตระกูลเว่ยเสมอ
การใช้ชื่อตระกูลเว่ยเพียงพอจะทำให้พวกเขา ปีศาจเฒ่าทั้งหลายเชื่อได้
หาไม่ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาชักชวนพวกเขาให้ออกแสวงโชคด้วยกัน พวกเขาคงไม่มีวันเลือกร่วมมือโดยไม่รู้เรื่องราวใด ๆ เป็นแน่