บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 795: แท่นเต๋าและร่มสีดำ
ตอนที่ 795: แท่นเต๋าและร่มสีดำ
ตอนที่ 795: แท่นเต๋าและร่มสีดำ
ค่ำคืนนั้นมืดมนและคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด
เว่ยอวิ้นมองไปที่แท่นปทุมสำริดทั้งสามสิบหกในหุบเหวด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง และกล่าวว่า
“จากเรื่องเล่าของบรรพชนตระกูลเว่ยของข้า ค่ายกลผนึกนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อนด้วยมือของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน มีอำนาจมากพอจะสังหารจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย!”
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
เมื่อได้ยินสมญานี้ ปีศาจเฒ่าทั้งหลายต่างประหลาดใจ
กระทั่งนักพรตผีมลายสวรรค์ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด ปีศาจเฒ่าแขนเดียวและเหล่าปีศาจเฒ่าอื่น ๆ ยังอดมีปฏิกิริยาไม่ได้
นี่คือตัวตนอันเป็นตำนานสูงสุด เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิต้องก้มหัวให้!
“ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน?”
ดวงเนตรงามของชุยจิ๋งเหยี่ยนทอประกาย
นี่คือตัวตนในตำนานซึ่งบรรพชนของนางให้ความเคารพที่สุด และยังเป็นตัวตนที่ร้ายกาจที่สุดในเส้นทางแห่งจักรพรรดิด้วย
ชายชราตาบอดมีอารมณ์ที่ซับซ้อน
เขาอดมองซูอี้ ณ ข้างกายไม่ได้
ในอดีตกาล หากไม่ใช่เพราะซูอี้อายุน้อยเกินไป เขาคงสงสัยแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินหรือไม่!
มีเพียงซูอี้ที่ดูไร้ปฏิกิริยา เขาทำเพียงยืนมือไพล่หลังอย่างเงียบ ๆ
“ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินตั้งค่ายกลไว้ที่นี่ เขาผนึกสมบัติของเขาไว้ในนี้หรือ?”
เจ้านทีปี้เซียวตาลุกวาวอย่างบ้าคลั่ง
ลองคิดดูว่าสมบัติที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ครั้งหนึ่งเคยใช้หนึ่งดาบสยบทั่วโลกหล้าจะหายากและแข็งแกร่งเพียงไร?
“มันอาจเป็นสมบัติ หรืออาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติอันไม่อาจหาได้ที่อื่น”
เว่ยอวิ้นกล่าวอย่างจริงจัง
และวาจาของเขาก็ได้รับการเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์
ต้องทราบว่าสมบัติของตัวตนเยี่ยงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แค่หยิบสุ่ม ๆ มาสักชิ้นก็เพียงพอให้แม้แต่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิตาลุกวาวแล้ว
เนิ่นนานกาลก่อน ครั้งหนึ่งภูมิมืดมิดเคยจัดงานประมูลใหญ่โต โดยอ้างว่าเป็นการประมูลภาพเขียนอักษรซึ่งปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินทิ้งไว้
มันเป็นแค่ภาพเขียนอักษรม้วนเดียว ทว่ากลับดึงดูดบรรดาจักรพรรดิจากทั่วทุกสารทิศ
ระหว่างงานประมูลนั้น มีผู้แข็งแกร่งมากมายรวมตัว หากเลือกมาสักคน คนใด ๆ ก็สามารถสั่นคลอนภูมิมืดมิดได้สามหนด้วยหนึ่งกระทืบเท้าแล้ว
ท้ายที่สุด ตัวตนบรรพกาลจากวิหารเทพสะท้อนเพลิงผู้หนึ่งก็เอาชนะเหล่าจักรพรรดิและนำภาพเขียนอักษรไปด้วยราคาสูงลิบดั้นนภา
ภาพอักษรม้วนนั้นมีเพียงแปดอักขระ เขียนไว้ว่า ‘ฤทัยสรวงดุจจันทรา สะท้อนเจตแห่งข้า’
มันไม่ใช่สมบัติหรือมรดกใด ๆ และเป็นเพียงภาพเขียนอักษรโดยแท้
ทว่าตัวตนบรรพกาลจากวิหารเทพสะท้อนเพลิงผู้นั้นกลับทอดถอนใจอย่างเป็นสุข กล่าวว่าอักษรเหล่านี้แสดงถึงความใจกว้างและจิตวิญญาณอันสูงส่งของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน หากพินิจอย่างละเอียดจะส่งประโยชน์ต่อผู้มองไม่จบสิ้น เป็นยอดสมบัติล้ำค่าแห่งโลกา!
เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องประหลาดในภูมิมืดมิด
และยามนี้ ค่ายกลซึ่งปรากฏตรงหน้า แท้จริงก็ถูกจัดขึ้นโดยปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเมื่อนานมาแล้ว ซ้ำยังเป็นไปได้มากด้วยว่าด้านในจะมีสมบัติที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินทิ้งไว้ เรื่องนี้จะไม่ทำให้ปีศาจเฒ่าไม่ตื่นเต้นได้เช่นไร?
ซูอี้มองเรื่องทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา ทว่าในใจกลับระเบิดหัวเราะ
“ท่านเจ้าเมือง เราควรทำเช่นไรต่อ?”
ใครบางคนใจร้อนไม่อาจรอเฉย
เว่ยอวิ้นสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างจริงจัง “ทุกท่านตามข้ามา โปรดจำไว้ว่าอย่ากระทำการบุ่มบ่ามไป หาไม่ พวกท่านจะถูกฆ่าในพริบตา”
เขากล่าวพลางเดินนำเข้าไปในหุบเหว
คนอื่น ๆ ติดตามไปเบื้องหลัง
ระหว่างทาง เหล่าปีศาจเฒ่าต่างระมัดระวังหวาดระแวง
ซูอี้และคณะตามปิดท้าย
หมอกสีเลือดหนาหนัก หลังจากเข้าสู่หุบเหว ภาพเบื้องหน้าคนทุกผู้ก็เปลี่ยนแปรกะทันหัน ราวกับตกสู่ความมืดมิดไม่รู้จบแห่งรัตติกาลนิรันดร์ มีหมอกสีเลือดปกคลุมหนาทึบทั่วทุกที่
ทัศนวิสัยและจิตสัมผัสถูกบดบังโดยสมบูรณ์ การกำหนดทิศทางเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง!
สิ่งนี้ทำให้เหล่าปีศาจเฒ่ารู้สึกหนาวเยือกในใจ
สิ่งที่ไม่เป็นที่รับรู้น่าสะพรึงกลัวที่สุด เมื่อจิตสัมผัสถูกปกปิด ขอเพียงเกิดอันตราย จะเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่ผู้ใดจะสามารถเตรียมการป้องกันล่วงหน้า!
เว่ยอวิ้นหยิบตะเกียงทองแดงขึ้นมาหนึ่งดวง ไส้ตะเกียงจุดเพลิงดวงน้อย และในพริบตา หมอกสีเลือดก็ถูกไล่ออกไปจากระยะหนึ่งจั้ง
จากนั้น เขาก็เดินนำผู้คนต่อไปเบื้องหน้า
ซูอี้เหลือบมองตะเกียงทองแดงและไม่พูดจา
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด เว่ยอวิ้นถือตะเกียงทองแดงเดินนำผู้คนอยู่ครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งมาถึงตรงหน้าแท่นปทุมสำริดขนาดสิบจั้งแท่นหนึ่ง
เมื่อมาถึงที่นี่ เว่ยอวิ้นก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวว่า “ในหลุมกลางแท่นปทุมมีทางเข้าสู่พื้นที่ต้องห้าม แต่การจะเข้าไปได้ ต้องใช้ความช่วยเหลือจากปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์”
กล่าวจบ เขาก็นำปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์เก้าตัวซึ่งได้รับแบ่งมาจากซูอี้ โยนพวกมันลงบนเก้ากลีบบัวบนแท่นปทุม
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเหล่าปีศาจเฒ่าก็วูบไหว แล้วก็อดเหลือบมองซูอี้ไม่ได้
แท่นปทุมมีทั้งหมดเก้ากลีบ และปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์ที่ซูอี้แบ่งให้มาก่อนหน้านี้ก็บังเอิญมีเก้าตัวพอดี นี่คือความบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่?
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดเองก็ตกตะลึง
ทว่าทั้งคู่แน่ใจว่านี่ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญ!
ฮึ่ม!
เกิดลำแสงพุ่งออกมาจากเก้ากลีบบัวสำริด ปรากฏลวดลายอักขระหนาตา ในขณะที่ปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์ทั้งเก้าถูกแผดเผามอดไหม้หายไปทันที
ณ ทางเข้าที่ใจกลางแท่นปทุม หมอกโลหิตซึ่งหลั่งรินออกมาไม่จบสิ้นหายไปกะทันหัน
เว่ยอวิ้นรีบกล่าว “ทุกท่าน มากับข้า”
กล่าวจบ เขาก็กระโดดลงสู่ทางเข้าใจกลางแท่นปทุมก่อนใคร
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าชักช้า ต่างคนต่างพุ่งไปยังทางเข้า
ในพริบตา ดวงตาของทุกคนก็วูบไหว และก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในโลกเร้นลับอันน่าพิศวง
โลกเร้นลับแห่งนี้มีขนาดเพียงร้อยจั้ง ไม่ต่างอันใดกับปราสาทใหญ่ และพื้นเป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึก
ณ สุดปลายโลกเร้นลับมีแท่นเต๋าสูงเก้าจั้งอยู่แท่นหนึ่ง
บนแท่นมีเพียงร่มสีดำคันหนึ่งตั้งอยู่เดียวดาย ไร้สมบัติอื่นใด
กล่าวอีกนัยก็คือ ในโลกเร้นลับขนาดร้อยจั้งแห่งนี้มีเพียงแท่นเต๋าและร่มสีดำเพียงอย่างละหนึ่ง ซึ่งดูเรียบง่ายยิ่งนัก
ในพริบตานั้น สายตาของเหล่าปีศาจเฒ่าต่างจับจ้องไปที่ร่มสีดำคันนั้น
มันมีความยาวราวสี่จั้ง ทั้งคันร่มเป็นสีดำสนิท ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพพับเก็บเรียบร้อย ทว่าพวกเขาไม่อาจหยั่งทราบวัตถุดิบที่ใช้สร้างมันได้
มันดูไม่ได้ต่างอันใดกับร่มธรรมดาซึ่งปุถุชนใช้กันแดดกันฝนเลย
ทว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็แปลกใจ
ก่อนหน้านี้ที่โลกภายนอก เมื่อเขาเห็นว่าผนึกมีรอยร้าว เขายังรู้สึกไม่ดีในใจ เผลอคิดไปว่าสมบัติที่เขาทิ้งไว้ที่นี่เมื่อกาลก่อนคงถูกขโมยไปแล้วแน่แท้
ทว่าใครเล่าจะคิด ว่าสมบัติชิ้นนี้จะยังอยู่!
“อันใดนี่? หรือนิมิตเหนือธรรมดาซึ่งปรากฏที่นี่เมื่อกาลก่อนจะเกี่ยวกับร่มสีดำคันนี้?”
เจ้านทีปี้เซียวอดถามไม่ได้
เว่ยอวิ้นพยักหน้ากล่าว “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ เสียงกรีดร้องลั่นก็ดังสนั่นขึ้น…
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรคนหนึ่งถูกล้อมไปด้วยหมอกสีเลือด และพริบตาต่อมา เลือดเนื้อและกระดูกของเขาก็ถูกป่นเป็นเถ้าหายไป
สลายเป็นเถ้า!
เสียงกรีดร้องลั่นของเขาสะท้อนในโลกเร้นลับแห่งนี้
ทุกคนตกใจและเริ่มตื่นตัวขึ้นมา จากนั้นจึงใช้สมบัติ เดินพลังปราณภายในร่าง
“เกิดอันใดขึ้น?”
“ผีเฒ่าหกหยินนี่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลาย เขาจะตายในพริบตาได้เช่นไร?”
“หมอกโลหิตนี้มาได้เช่นไร?”
…เหล่าปีศาจเฒ่าพากันเปลี่ยนสีหน้า ตระหนักแล้วว่าโลกเร้นลับอันดูเรียบง่ายนี้ ที่แท้คือมหันตภัยอันไม่อาจหยั่งทราบ!
กระทั่งชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดยังตะลึงงัน สันหลังหนาววาบ
มารเฒ่าผู้อาละวาดอยู่ในโลกหล้าเนิ่นนานกลับต้องมาตายกะทันหันอย่างไม่คาดฝัน ภาพนี้ช่างชวนให้หนาวสะท้าน
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดที่จะส่งกระแสเสียงถามไม่ได้ “พี่ซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”
หญิงสาวสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมยเช่นก่อน ดูไม่แปลกใจสักนิด
“ก่อนหน้านี้ คนผู้นี้พยายามควบคุมร่มสีดำด้วยจิตสัมผัสของเขา และถูกแท่นเต๋าตีพลังโต้กลับ ร่างและวิญญาณของเขาจึงดับสลาย”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
หญิงสาวอดรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้ ใบหน้างามของนางซีดขาว ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าแท่นเต๋านั่นอันตราย ไฉนจึงไม่บอกแต่แรกเล่า”
ซูอี้ตบบ่าหญิงสาวและกล่าวว่า “มีข้าอยู่ เจ้าจะกลัวอันใด”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมุ่ยหน้า
“ทุกท่านระวังด้วย ข้ารู้สึกว่าแท่นเต๋านั่นไม่ชอบมาพากล อย่าใช้จิตสัมผัสตรวจตรา!”
ยามนี้ เว่ยอวิ้นกล่าวเตือนเสียงดัง
สีหน้าของเหล่าปีศาจเฒ่าต่างยากคาดเดา พวกเขาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าการตายของชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรผู้นั้นเกี่ยวข้องกับแท่นเต๋านั่น
“ท่านเจ้าเมือง ท่านเห็นอันตรายของแท่นเต๋านี้อยู่แล้วหรือ?”
นักพรตเต๋าหน้าขาวโพล่งถามขึ้น
“ข้ามาที่นี่ครั้งแรก จะไปรู้ได้เช่นไร?”
เว่ยอวิ้นส่ายหน้า
ปีศาจเฒ่าแขนเดียวกล่าวด้วยสีหน้ามืดหม่น “เป็นไปไม่ได้หรอก ที่นี่คือพื้นที่ต้องห้ามห่างจากที่ตั้งตระกูลเว่ยของพวกเจ้าเป็นพัน ๆ ลี้ก็จริง แต่ถึงอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็ยังอยู่ในมหาภูผานะ”
“ยิ่งกว่านั้น ตระกูลเว่ยของพวกเจ้ายังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาจับปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์อีก การจะเข้ามายังที่แห่งนี้ได้นั้นไม่ยากเลย”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเอ่ย ทุกคนก็มองเว่ยอวิ้นด้วยสีหน้าต่าง ๆ กันออกไป
บรรยากาศเองก็กลายเป็นมาคุตึงเครียดอย่างเงียบ ๆ
ปีศาจเฒ่าจากทั่วทุกมุมโลกเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดเป็นคนดี กระทั่งคนโง่ยังเห็นได้ว่าหากเว่ยอวิ้นไม่อาจหาคำอธิบายอันน่าพอใจออกมาชี้แจง เขาคงถูกคนเหล่านี้รวมตัวโจมตีเป็นแน่
เว่ยอวิ้นกล่าวอย่างจริงจัง “เว่ยผู้นี้ได้เคยบอกไปแล้วยามมาที่นี่ ว่าพลังของผนึกนี้เพิ่งเบาบางลงเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะลงมายังที่แห่งนี้ได้ ในอดีตกาล อย่าว่าแต่เราท่านที่นี่เลย กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิมา พวกเขายังไม่อาจก้าวล้ำเกินกว่าสระอสนีบาตแม้แต่ก้าวเดียว!”
หลังหยุดพูดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “นอกจากนั้น หากข้าเว่ยอวิ้นมีเจตนาทำร้ายพวกท่าน ไฉนต้องนำตนเองมาเสี่ยงด้วย?”
ปีศาจเฒ่าทั้งหลายจับจ้องมาด้วยแววตาวูบไหว ฉงนสงสัย
ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้จับตามองผนึกของดินแดนต้องห้าม มันมีอยู่ตั้งแต่บรรพกาลจริงแท้ และคาดว่าคงเป็นฝีมือจากปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเอง
นี่ยังยืนยันคำพูดของเว่ยอวิ้นได้ หากตระกูลเว่ยมีวิธีเข้ามายังที่นี่แต่แรก คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอคอยจวบยามนี้
ทว่า ปีศาจเฒ่าเหล่านั้นก็ยังทราบด้วยว่าการที่เว่ยอวิ้นเชิญชวนพวกเขามาร่วมแสวงโชคนั้น เป็นไปไม่ได้เลยหากจะบอกว่าเป็นเพราะตระกูลเว่ยของพวกเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่คงเป็นเพราะมีความคิดอื่นแฝง
แน่นอนว่าเรื่องอย่างการแสวงโชคนั้นไม่อาจแยกจากอันตรายได้
ท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครกันแน่จะได้เป็นผู้ชนะสุดท้าย
นี่ยังเป็นเหตุผลที่เหตุใดปีศาจเฒ่าเหล่านี้จึงเลือกร่วมมือกับเว่ยอวิ้นด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะไตร่ตรองหรือมีเจตนาใดแอบแฝง ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องแข่งขันด้วยความสามารถตน
“ช่างเถิด ข้าจะลองดูว่าสามารถนำร่มสีดำนี่ออกมาได้หรือไม่”
ทันใดนั้น ปีศาจเฒ่าแขนเดียวก็กล่าวพลางสาวเท้าไปที่แท่นเต๋า
ทุกคนกลั้นหายใจอย่างอดไม่ได้ ระแวดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเงียบ ๆ ราวกับเป็นคนนอก
เขาทำเพียงมองสถานการณ์