บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 8 วันเกิดของหญิงสาว
ตอนที่ 8 วันเกิดของหญิงสาว
“สันเขามารดาภูตผีมีซากศพหยินหกสมบูรณ์ดำรงอยู่…”
“เช่นนี้ก็น่าจะมีชิ้นส่วนชีพจรวิญญาณหยินฝังอยู่ที่นั่น!”
“มีเพียงเหตุนี้เท่านั้นที่เหล่าภูตผีในสันเขามารดาภูตผีจะกลายเป็นซากศพหยินหกสมบูรณ์ได้”
“ในเก้ามหาแดนดินชีพจรวิญญาณหยินเป็นของธรรมดา แต่ในอาณาจักรโจวที่มีปราณวิญญาณน้อย มันจึงเป็นของหายาก…”
ขณะคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็เดินตรงไปเมืองกว่างหลิงเลียบลำแม่น้ำต้าฉาง
“ขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ขอบเขตหลอมกำเนิด จำเป็นต้องบ่มเพาะอวัยวะภายในทั้งห้า การใช้ ‘ชีพจรวิญญาณหยิน’ บ่มเพาะอวัยวะภายในทั้งห้าจะได้ผลสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว”
“นอกจากนี้บนยอดเขามารดาภูตผียังมีหญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวัน ที่เป็นของสำคัญในการฝึกขอบเขตหลอมกำเนิด”
“เมื่อข้าสำเร็จขอบเขตโคจรโลหิต ข้าคงต้องขึ้นไปเดินเล่นเสียหน่อย”
ซูอี้ตัดสินใจแล้ว
การเผชิญหน้ากับเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นในครั้งนี้ทำให้เขาได้อะไรมากมาย
เงินหมื่นตำลึงก็เพียงพอแล้วที่เขาจะซื้อยาทุกชนิดที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูและบ่มเพาะร่างกายในทีเดียว
ในเวลาเดียวกัน ข่าวอันมีค่าเกี่ยวกับยอดเขามารดาภูตผีก็ถูกรับรู้ด้วย
เป็นต้นว่ามีชีพจรวิญญาณหยิน!
เมื่อซูอี้มาถึงประตูเมืองกว่างหลิง เขาก็เห็นเหล่าทหารประจำการอยู่ที่นั่นด้วยยุทโธปกรณ์ครบครัน
ที่ด้านหน้าแถวทหารหลวงยังมีคนจำนวนมากรออยู่ที่นั่น ทุกคนมีท่าทีที่ไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งเบื้องบนมาเป็นเวลานานจนดูโดดเด่นกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไป
เหตุการณ์การรวมกลุ่มกันของคนชั้นสูงเช่นนี้หาได้ยากมากในเมืองกว่างหลิง
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวประตูเมืองต่างตกตะลึง และรู้สึกสงสัยเมื่อเดินผ่านมา
“ท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาออกมายืนกันที่หน้าประตูมืองทำไม? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
บทสนทนาดังจอแจ
“เป็นเจ้าเมืองฟู่ซานกับทหารของเขา…”
แม้ซูอี้จะคิดสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดอยากสอดรู้ ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ประตูเมืองเพื่อผ่านเข้าไปด้านใน
แต่แล้วในขณะที่เขาเดินผ่าน มีเสียงพูดคุยของคนใหญ่คนโตดังมาจากด้านหลัง
“ดูสิ นั่นซูอี้ลูกเขยตระกูลเหวินไม่ใช่หรือ? เขาเคยเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ เป็นชายหนุ่มอัจฉริยะคนหนึ่ง”
“น่าเสียดายจริง ๆ”
“ในความเห็นข้ามันน่าเสียดายจริง ๆ ที่เหวินหลิงเจา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะเป็นเลิศแถมยังมีความงามที่หาได้ยากยิ่งต้องมาแต่งงานกับซูอี้คนนี้ นางช่างโชคร้ายจริง ๆ”
ซูอี้ยิ้มไม่สนใจ ก่อนที่จะหายตัวไปจากถนนอันพลุกพล่านนั้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นไม่นาน
เซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นก็ปรากฏตัวนอกกำแพงเมืองแต่ไกล
“ผู้น้อยฟู่ซาน คารวะนายท่าน คารวะคุณหนู!”
แทบจะในบัดดลนั้น ฟู่ซานเจ้าเมืองกว่างหลิงก็ดูเคร่งขรึมก่อนก้าวไปด้านหน้าเพื่อค้อมคำนับ และพูดด้วยเสียงดังก้อง
“ผู้น้อยขอคารวะจวิ้นอ๋อง คารวะคุณหนู!”
คนใหญ่คนโตที่อยู่ด้านหลังฟู่ซาน รวมถึงเหล่าทหารต่างตกตะลึงและพากันคำนับตาม
ทั้งด้านนอกและด้านในเมืองพลันเงียบลงถนัดตา
คนที่เดินผ่านไปมาพากันหวาดหวั่น และเงียบลงเหมือนจักจั่นหยุดร้อง
ไม่ไกลจากนั้น เซียวเทียนเชวี่ยเอามือไพล่หลังพลางพยักหน้าเล็กน้อย เผยลักษณะความยิ่งใหญ่ออกมาตามวิสัยผู้ซึ่งมีตัวตนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมาช้านาน
เมื่อมองไปยังจื่อจิ่นอีกครั้ง ร่างสูงระหงนั้นก็ยืนตัวตรง ใบหน้ารูปไข่ที่ดูสง่างามนั้นแสดงรัศมีความสูงส่งราวกับให้คนเห็นได้ตั้งแต่พันลี้
“ฟู่ซาน ข้าไม่ใช่จวิ้นอ๋องอะไรอีกแล้ว ให้ทุกคนกลับไปเสีย อย่าได้รบกวนชาวบ้าน!” เซียวเทียนเชวี่ยขมวดคิ้ว
“ผู้น้อยรับบัญชา!” เจ้าเมืองฟู่ซานตอบรับด้วยความเคารพ จากนั้นเขาจึงโบกมือ
ทันใดนั้นกลุ่มคนระดับสูงและทหารในบริเวณใกล้เคียงก็รีบทำตามคำสั่งทันที ไม่มีผู้ใดกล้าชักช้า
“ท่านอาฟู่ได้โปรดไปซื้อยาตามใบสั่งนี้ด้วย ข้าต้องใช้พวกมันทุกวันเป็นเวลาเจ็ดวันติดต่อกัน และโปรดเตรียมเรือนเงียบ ๆ ให้ข้าและท่านปู่ด้วย”
จื่อจิ่นก้าวไปด้านหน้าก่อนจะยื่นใบสั่งยาให้
“ผู้น้อยจะทำตามบัญชาท่านหญิงมิให้ขาดตกบกพร่อง!”
เจ้าเมืองฟู่ซานประสานกำปั้นด้วยความหวั่นเกรง
เซียวเทียนเชวี่ยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก ก่อนเข้าไปในประตูเมืองพร้อมกับจื่อจิ่น
ฟู่ซานรีบตามทั้งสองไป
กระทั่งคนพวกนั้นไปหมดแล้ว ผู้คนบริเวณประตูเมืองก็ราวกับตื่นจากความฝัน และเริ่มพูดกันจอแจอีกครั้ง
ฟู่ซานคือเจ้าเมืองกว่างหลิง เขากุมอำนาจและปกครองเมืองอย่างเบ็ดเสร็จด้วยตัวคนเดียว นอกจากนี้เขายังเป็นผู้นำของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิงด้วย
ทว่าตอนนี้เขากลับทำตัวราวกับสุนัขเชื่องเมื่ออยู่ต่อหน้าคู่ปู่หลานนี้!
สิ่งนี้ได้เปิดหูเปิดตาผู้คน และพวกเขาล้วนพากันคาดเดาตัวตนของเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นไปต่าง ๆ นานา
ณ ตระกูลเหวิน
ในห้องนั้น ซูอี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ดวงตาของเขาหลับอยู่ ระหว่างลมหายใจแต่ละเฮือกมีอากาศสีขาวจาง ๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศคล้ายกับลิ้นงู ดูเป็นจังหวะน่าอัศจรรย์
นี่คือวิธีฝึกปราณแบบ ‘เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง’
ในอ่างอาบน้ำมียาต้มที่ทำจากสมุนไพรมากกว่าห้าสิบชนิด ที่ต้มมาแล้วกว่าหนึ่งชั่วยาม
ถึงแม้ว่าสมุนไพรพวกนี้มิใช่ ‘สมุนไพรวิเศษ’ ที่เหล่าผู้บ่มเพาะเสาะแสวงหา ทว่าแต่ละชนิดก็มีราคาที่แพงมาก รวมราคาได้ราวห้าร้อยตำลึง!
สำหรับคนทั่วไปในเมืองกว่างหลิง ค่าใช้จ่ายรายปีพวกเขาคิดเป็นเพียงเงินราวสิบตำลึงเงินเท่านั้น
จากการเปรียบนี้แสดงให้เห็นว่า ‘ยากจนเป็นบุ๋น มั่งมีเป็นบู๊!’
มีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะบ่มเพาะได้
แม้แต่ตระกูลเหวินที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักแห่งเมืองกว่างหลิงซึ่งมีสมาชิกในตระกูลนับพันคน ยังมีคนในตระกูลเพียงน้อยนิดที่ได้รับการส่งเสริมให้บ่มเพาะตั้งแต่วัยเด็ก
ไม่มีทางที่ตระกูลไหนในเมืองกว่างหลิงที่จะสามารถส่งเสียรุ่นเยาว์ของตนบ่มเพาะได้ครบทุกคน ด้วยการบ่มเพาะนั้นมีราคาสูงเกินไป!
ผู้บ่มเพาะทั่วไปต้องกินอาหารบำรุงหลายชนิดทุกวันเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย และต้องการสมุนไพรอีกหลายชนิดมาช่วยเรื่องการบ่มเพาะพลังด้วย
ครอบครัวชาวบ้านไม่อาจแบกรับค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้เลย
นี่เป็นเรื่องธรรมดาในอาณาจักรโจว
เวลาผ่านไป เงาตะวันก็เบี่ยงไปทางทิศประจิม
ซูอี้นั่งทำสมาธิได้หนึ่งชั่วยามครึ่ง และทันใดนั้นก็มีกระแสลมสองเส้นพวยพุ่งออกจากรูจมูกของเขา
กระแสการพุ่งของลมสองเส้นนั้นรุนแรงราวกับลูกเกาทัณฑ์ มันพุ่งออกไปราวสามคืบเสียดสีกับอากาศจนส่งเสียงได้ยินชัดเจน
นี่คือสัญญาณของพลังปราณในร่างกายที่กำลังพลุ่งพล่าน
ขณะนี้ ซูอี้ลืมตาขึ้นก่อนมีแสงสว่างวาบผ่านรูม่านตาของเขา ดูราวกับสายฟ้าที่แปลบปลาบ และใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะหายไป
“ตอนเช้าวันนี้ข้าได้ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อฝึกฝนที่ริมฝั่งแม่น้ำต้าฉางนอกเมือง ตอนเที่ยงข้าแช่น้ำสมุนไพรเพื่อคงสภาพร่างกาย ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งวัน รากฐานของขอบเขตโคจรโลหิตขั้นหนึ่งของข้ามั่นคงโดยสมบูรณ์แล้ว…”
ซูอี้ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ก่อนสวมเสื้อผ้าและเดินตรงไปยังลานบ้าน
แสงตะวันกำลังลาลับฟ้า
ต้นพุทราในลานบ้านถูกสาดส่องด้วยแสงนวลตา
ร่างของซูอี้ยืนอย่างตระหง่านมั่นคง เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณและโลหิตในร่างกาย ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ชี้นิ้วส่งพลังดัชนีออกไปยังกิ่งของต้นพุทราราวกับแทงกระบี่
เปรี้ยง!
กิ่งไม้แตกเป็นเสี่ยง ๆ และสลายกลายเป็นผุยผง
ที่น่าอัศจรรย์คือใบไม้สีเขียวบนกิ่งนั้นมิได้สูญสลายไปด้วย
ซูอี้เก็บนิ้ว และผงกศีรษะเงียบ ๆ
ในช่วงต้นของการบ่มเพาะ ร่างกายและพลังปราณและโลหิตจะถูกปรับแต่งใหม่ ดังนั้นจุดสำคัญคือต้องรู้กำลังตัวเองอยู่ตลอดและต้องควบคุมพลังของตัวเองให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเสมอ
เฉกเช่นเดียวกับพลังดัชนีของซูอี้
ถึงมันจะดูธรรมดา ทว่าอันที่จริงมันเคลื่อนที่ราวกับสายฟ้าแลบ!
และพลังดัชนีนั้นก็ทำลายกิ่งของต้นพุทราได้อย่างหมดจด ในขณะที่ใบพุทราอันแสนบอบบางนั้นกลับคงสภาพอยู่โดยสมบูรณ์
การควบคุมพลังได้เช่นนี้จริง ๆ แล้วมันยากเกินอธิบายได้ แต่เขากลับทำมันได้อย่างง่ายดายและสมบูรณ์แบบจนน่าตื่นตกตะลึง
อย่างไรก็ดี หากเทียบกับพลังของเขาเมื่อชีวิตที่แล้วที่แค่เพียงดัชนีเดียวก็สามารถทำให้ภูผาป่นปี้ได้อย่างง่ายดาย ทักษะนี้ก็นับว่าเล็กน้อยจนไม่น่ากล่าวถึง
ในยามเช้าห้าวันต่อมา ซูอี้ออกนอกเมืองไปเพื่อบ่มเพาะที่ริมแม่น้ำต้าฉางเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา และก่อนยามเที่ยงเขาก็กลับมาแช่น้ำสมุนไพรเพื่อคงสภาพร่างกาย
…ความแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ตอนนี้เรียกได้ว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!
ในช่วงทีผ่านมานี้ เหวินหลิงเสวี่ยน้องภรรยาของเขาก็กลับไปบ่มเพาะที่สำนักดาบซ่งอวิ๋น
แต่ก่อนที่นางจะจากไป เด็กสาวได้กำชับซูอี้เป็นพิเศษด้วยว่า อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดปีที่สิบหกของนาง และหวังว่าซูอี้จะเข้าร่วมด้วย
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ก็ตอบรับโดยไม่ลังเล
“ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นหนึ่งสำเร็จแล้ว!”
ในเช้านี้ หลังจากที่กลับจากแม่น้ำต้าฉางข้างนอกเมืองมาถึงเรือนพัก เขาก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รอยยิ้มแห่งความพอใจปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก
เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องนั้นคู่ควรจะเป็นยอดวิธีรวมชีพจรในเก้ามหาแดนดินนี้!
หลังจากบรรลุถึงแก่นแท้และความพิศวงของมันแล้ว ภายในห้าวัน เขาก็ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายจนแข็งแกร่งไร้เทียมทานหากเทียบกับผู้บ่มเพาะระดับเดียวกัน!
แน่นอนว่าถ้าเทียบกับตัวเขาในภพชาติก่อนหน้า ก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าด้วย!
“ด้วยพลังกายของข้าตอนนี้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตคนอื่น ๆ ไม่มีทางเทียบข้าได้…”
ซูอี้มีความทรงจำและประสบการณ์ในชีวิตตลอดช่วงสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา หลังจากเปรียบเทียบส่วนหนึ่ง ก็มีสิ่งที่พอยืนยันได้
ว่าแม้แต่ศิษย์เอกในสำนักดาบชิงเหอที่สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตแล้ว คนผู้นั้นก็ยังต้องแพ้ราบคาบหากมาเผชิญหน้ากับเขา!!!
แต่ขอบเขตโคจรโลหิตก็เป็นเพียงก้าวแรกของวิถียุทธ์เท่านั้น แม้จะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแต่ก็ถือว่าอยู่ในขั้น ‘ธรรมดา’ หากเทียบกับผู้บ่มเพาะที่แท้จริงอยู่ดี
“ในเวลาแค่ห้าวัน ข้าใช้เงินไปแล้วสองพันห้าร้อยตำลึง และนี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…”
“คาดว่าส่วนผสมสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะในอนาคตจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งเงินที่จำเป็นต้องใช้ในส่วนนี้ก็คงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
“ไม่ว่ายังไงหากข้าต้องการบ่มเพาะได้อย่างราบรื่น ข้าคงจำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับการหาเงินให้ได้มาก ๆ ควบคู่ไปด้วย” ซูอี้พูดเบา ๆ
มิตรสหายและความมั่งมี คือสิ่งจำเป็นต่อการบ่มเพาะ
และคำว่า ‘มั่งมี’ สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง!
ซูอี้รู้ดีว่าอนาคตเมื่อหนทางของเขาก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ สินทรัพย์ที่เขาต้องการก็จะยิ่งมากขึ้นตามตัว
ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับผู้บ่มเพาะ ‘ความมั่งคั่ง’ มิใช่เพียงเงินและทองเท่านั้น แต่หมายถึงสมบัติที่สำคัญต่อการบ่มเพาะทั้งหมด
เป็นต้นว่าสมุนไพรวิเศษ โอสถสวรรค์ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ และของอื่น ๆ อีกมาก
“อันที่จริงหากตัวข้าเข้าร่วมกับสำนักชั้นนำได้ ข้าคงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลย…”
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้าและปฏิเสธความคิดนั้น
เขายังไม่มีความคิดที่จะออกจากเมืองกว่างหลิงในตอนนี้
ขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่ ซูอี้ก็กลับไปยังจวนตระกูลเหวิน
แต่ไกล ๆ นั้น เขาเห็นเรือนร่างเพรียวงามร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูจวน
เหวินหลิงเสวี่ย
หญิงสาวสวมชุดสีม่วงเข้ม พันผ้าไหมสีครามไว้ที่มวยผม เผยให้เห็นใบหน้าเล็ก ๆ งามประณีต แววตาใสเป็นประกายราวกับดวงดารา
นางโบกมือ และยืนอยู่ตรงนั้นดูน่ารัก มีคิ้วที่โค้งงามราวกับภาพวาด บ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลมของนาง
“ท่านพี่เขย!”
เมื่อเห็นซูอี้แต่ไกล เหวินหลิงเสวี่ยก็ยิ้มและโบกมือด้วยความร่าเริง
ขณะนั้นเอง รัศมีที่เปล่งประกายก็แผ่ออกมาจากร่างของเด็กสาว ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าแสงตะวันดูมืดสลัวไป
“ทำไมเจ้าไม่ไปเรียนล่ะ เจ้ากลับมาทำไม?” ซูอี้ยิ้มทักทายนาง
“วันนี้เป็นวันเกิดของข้าไง!”
เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มก่อนพูด “ข้าจัดงานเลี้ยงและจองห้องในภัตตาคารวมเซียนที่อยู่ในเมือง ข้าเชิญสหายร่วมสำนักของข้าบางคนไปด้วย พวกเรารีบไปที่นั่นกันเถอะ!”
ขณะที่พูด นางก็จับแขนซูอี้ด้วยเสน่หาและเดินออกไป
ซูอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทุกวันนี้เขาเอาแต่จดจ่อกับการบ่มเพาะจนลืมไปหมดแล้ว ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย
พอคิดเรื่องนี้แล้ว เขาพลันเหล่มองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง ดูมีเสน่ห์และสดใสยิ่งนัก และยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวไม่ได้คิดจะกล่าวโทษเขาเลย
แต่ในทางกลับกันยิ่งซูอี้คิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งลำบากใจมากเท่านั้น
หลังจากคิดดูแล้ว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้
ข้าจะให้ของขวัญวันเกิดที่ดีงามอย่างหนึ่งแก่นาง!