บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 800: ตระกูลเว่ย
ตอนที่ 800: ตระกูลเว่ย
ตอนที่ 800: ตระกูลเว่ย
ซูอี้ไม่ได้ตกใจกับปฏิกิริยาของหงส์เพลิง
ไม่ว่าจะเป็นปักษาตนใดก็ยากจะปฏิเสธวัตถุพิเศษอย่างไขกระดูกเทพพญาหงส์ได้
หากว่าให้หงส์เพลิงได้วัตถุพิเศษนี้ไป มันย่อมสามารถบรรลุถึงขั้นที่สูงกว่านี้ได้!
“สิ่งที่ข้าให้เจ้าช่วยนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาหนึ่งให้แก่เจ้า และในช่วงเวลาต่อจากนี้ หากว่าคนลึกลับผู้นี้มาที่นี่อีก เจ้าเพียงแค่ขับเคลื่อนเคล็ดวิชานี้ก็สามารถมองเห็นโฉมหน้าของเขาและจดจำรูปลักษณ์ของเขาได้”
เมื่อพูดจบ ซูอี้ก็หยิบแผ่นหยกออกมา และสลักเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า ‘ตาทิพย์’ ลงไปในนั้น จากนั้นจึงยื่นให้ไป
“ได้”
วิญญาณหงส์เพลิงรับปากโดยเร็ว ฉับพลันก็ถามขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น… เจ้าสามารถบอกเรื่องราวเกี่ยวกับไขกระดูกเทพพญาหงส์ให้ข้ารู้ได้หรือไม่?”
มันแสดงสีหน้าคาดหวัง
ซูอี้กล่าวแบบไม่ปิดบัง “สมบัติล้ำค่าสิ่งนี้ซ่อนอยู่ใน ‘สระเกิดใหม่’ ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้าม แต่ว่า หากไม่มีใครชี้แนะ ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิก็ไม่อาจหาสมบัติล้ำค่านี้พบ เมื่อข้ามาหาอีกครั้ง จะบอกเจ้าว่าต้องไปหาอย่างไร”
“สระเกิดใหม่เช่นนั้นหรือ…”
วิญญาณหงส์เพลิงพยักหน้า ก่อนจะกล่าว “ยังมีอีกเรื่อง หากว่าบุคคลลึกลับคนนั้นไม่มา ต้องทำเช่นใด?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่จึงตอบ “ภายในสามปี ไม่ว่าคนผู้นั้นจะปรากฏตัวหรือไม่ ข้าจะย้อนกลับมาที่แห่งนี้ ช่วยแก้ข้อสงสัยให้แก่เจ้า”
“สามปี ไม่ถือว่านานมากนัก ก็เพียงแค่งีบสักตื่นเท่านั้น” วิญญาณหงส์เพลิงทำท่าโล่งอก
“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว” ซูอี้หมุนตัวกำลังจะจากไป
วิญญาณหงส์เพลิงรีบกล่าว “สหายเต๋า ขอรบกวนถาม เจ้ากับมารเฒ่าซูมีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกัน?”
“หากข้าบอกว่าข้าก็คือมารเฒ่าซูที่เจ้าพูดถึง เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว
วิญญาณหงส์เพลิงตะลึง
ไม่รอให้มันไล่ซักต่อ ซูอี้ก็หมุนตัวไปแล้ว
“ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!” วิญญาณหงส์เพลิงแอบบ่นพึมพำ
ซูเสวียนจวินเป็นตัวตนที่น่ากลัวระดับไหน ใต้หล้านี้มีใครคนไหนบ้างที่ไม่รู้?
คนตัวจ้อยในขอบเขตสยายวิญญาณอย่างเจ้าจะไปเทียบเทียมได้เช่นใด?
‘แต่ว่า ในเมื่อเจ้าหนุ่มคนนี้รู้ความลับมากมายเช่นนี้ คงจะเป็นบุตรหลานของมารเฒ่าซู หรือบางทีอาจจะเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานก็ได้…’
วิญญาณหงส์เพลิงแอบคิดในใจ
“พี่ซู ก่อนหน้านี้พี่คุยอะไรกับหงส์เพลิงหรือ?”
เห็นซูอี้เดินมา ชุยจิ๋งเหยี่ยนถามด้วยความอยากรู้
ปกติแม่สาวน้อยผู้นี้ก็สอดรู้สอดเห็นอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นซูอี้กับหงส์เพลิงพูดคุยกันโดยใช้ภาษาประหลาด ๆ ฟังไม่ออกแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้อยากรู้มากขึ้นไปอีก
แต่ซูอี้รู้ดีว่า หากตอบไป ต่อไปแม่สาวน้อยจะต้องโยนคำถามต่าง ๆ นานาออกมาอีก
ดังนั้นเขาจึงตอบไปหน้าตาเฉยว่า “เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก
ซูอี้เบนสายตามองไปที่เว่ยอวิ้น แล้วจึงกล่าวขึ้นมา “ตอนนี้เว่ยเต้าเยวี่ยนยังคงอยู่ในตระกูลของพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
เว่ยอวิ้นตะลึง ตอบจริงจัง “บรรพชนของตระกูลข้าปิดตนเมื่อหลายปีก่อนแล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ออกมา”
เว่ยอวิ้นมีความอาวุโสมาก เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเว่ย และยังเป็นคนรุ่นหลังของเว่ยเต้าเยวี่ยนด้วย
ทว่าหนุ่มน้อยอย่างซูอี้กลับเรียกชื่อของเว่ยเต้าเยวี่ยนโดยตรง ถึงแม้เว่ยอวิ้นจะรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ซูอี้คิดสักครู่ ก่อนกล่าวคำ “ให้ข้าได้พบกับเขาสักครั้งได้หรือไม่?”
เว่ยอวิ้นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ และกล่าว “เรียนสหายเต๋าตามตรง ด้วยฐานะของข้า ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะจัดการเรื่องนี้ได้ แต่ว่า ข้าจะพยายาม!”
พูดถึงท้ายสุด น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขึ้นมา
วันนี้ซูอี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขาไว้เท่านั้น และยังช่วยแก้สถานการณ์คับขัน ฆ่าคนชั่วช้า บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้เขาไม่อาจละเลยเพิกเฉยได้
“ขอบใจมาก”
ซูอี้พยักหน้า
——
เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว จันทรากลมมนสีเลือดลอยเด่น สาดส่องประกายแสงสีเลือดอึมครึม
นอกค่ายกล
เมื่อพวกของเว่ยอวิ้นกับซูอี้เดินออกมาแล้ว ฉับพลันเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น มีคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวออกมา
“ท่านทั้งสามไม่ต้องตระหนก คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนในตระกูลเว่ยของข้า” เว่ยอวิ้นเอ่ยพูดขึ้น
ขณะที่พูด คนเหล่านั้นก็ตรงมาหา คนที่เดินนำหน้าคือผู้ชายร่างผอมสูงสวมชุดยาวสีเงิน
“น้องสาม เหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บถึงเพียงนี้?”
เมื่อเห็นบาดแผลร้ายแรงบนตัวเว่ยอวิ้นแล้ว ผู้ชายในชุดสีเงินถึงกับร้องตกใจ
เว่ยเฉิง
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเว่ย ระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์
เว่ยอวิ้นก้าวมาข้างหน้า จากนั้นจึงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ฟังแล้ว พวกของเว่ยเฉิงต่างก็ซาบซึ้ง สายตาที่มองดูพวกของซูอี้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เวลาเดียวกันก็ยังแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเช่นกัน
“ขอบคุณท่านทั้งสามที่ช่วยเหลือ!”
เว่ยเฉิงเดินขึ้นมาข้างหน้า และแสดงความคารวะด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ ไม่ได้กล่าวอะไร
“พี่ใหญ่ พวกเรากลับไปคุยกันที่จวนดีหรือไม่?”
เว่ยอวิ้นเสนอขึ้น
“ใช่ ๆ ๆ กลับจวนกันก่อน” เว่ยเฉิงรับคำโดยเร็ว
คนทั้งหมดจากที่ตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว
———–
ณ เขตแม่น้ำลืมเลือน ตระกูลเว่ยตั้งรกรากอยู่ที่นี่มานมนาน ขุมกำลังทั่วไปจึงไม่กล้าผิดใจด้วย
และสถานที่ตั้งของตระกูลนี้ก็ตั้งอยู่ในพื้นที่หุบเขาของมหาภูผา
ในห้องโถงใหญ่ที่มีแสงไฟสว่างไสวของตระกูลเว่ย
พวกของซูอี้นั่งดื่มชารออยู่ในนั้น
หลังจากที่มาถึงจวนตระกูลเว่ยแล้ว พวกเขาก็ถูกจัดให้มารออยู่ตรงนี้ ส่วนเว่ยอวิ้นกับเว่ยเฉิงก็ไปยังห้องโถงใหญ่ประจำตระกูลเพื่อปรึกษากันในเรื่องคืนนี้
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องในคืนนี้ เว่ยอวิ้นต้องรายงานต่อตระกูลเป็นธรรมดา
“พี่ซู ถึงแม้วัน ๆ จะทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แต่ข้าก็พอเดาออกได้คร่าว ๆ ถึงประวัติความเป็นมาของเจ้า”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนหัวเราะคิกคักพลางพูด
ริมฝีปากของหญิงสาวเผยอขึ้นแสดงความยินดี
ซูอี้กำลังดื่มชาอยู่เมื่อได้ยินความจึงยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นหรือ ลองเล่ามาสิ”
ชายชราตาบอดก็อดเงี่ยหูฟังไม่ได้
ดวงตาคู่งามของชุยจิ๋งเหยี่ยนเป็นประกาย จับจ้องไปยังซูอี้ ก่อนกล่าวคำขึ้น “ข้ามีเหตุผลพอที่จะสงสัยว่าเจ้าก็คือคนรุ่นหลังของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน”
ชายชราตาบอดตะลึง
น้ำชาที่เพิ่งแตะโดนริมฝีปากซูอี้เกือบจะพ่นออกมา เขาทำสีหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวขึ้น “เหตุใดจึงไม่คิดว่าข้าก็คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนค้อนตาใส่ พลางกล่าว “หากว่าเจ้าเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ข้าก็เป็นภรรยาของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแล้ว!
ชายชราตาบอดรีบกล่าวขึ้นมา “แม่นางจิ๋งเหยี่ยน พูดจาล้อเล่นเช่นนี้ไม่ได้ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเป็นสหายรักของบรรพชนเจ้า เจ้าพูดเช่นนี้เท่ากับเป็นการไม่เคารพปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตอบไม่พอใจ “เป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้ก็คือคนรุ่นหลังของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แต่เขากลับแอบอ้างตนว่าเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ไม่มีความเคารพยำเกรงผู้อาวุโส สบประมาทผู้ใหญ่ เหตุใดเจ้าจึงไม่ว่ากล่าวเขาเล่า?”
“เรื่องนี้…”
ชายชราตาบอดสะอึก จากนั้นจึงกล่าว “แม่นางจิ๋งเหยี่ยน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคุณชายซูก็คือคนรุ่นหลังของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนหัวเราะมีเลศนัย กล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “เรื่องนี้ข้าบอกไม่ได้ อย่างไรเสีย พื้นเพของคุณชายซูของเจ้า ข้ารู้มาเกือบหมดแล้ว หากว่าพูดกันตามศักดิ์อาวุโสล่ะก็ ไม่แน่ว่า… อาจจะต่ำกว่าข้าก็เป็นได้!”
ซูอี้ได้ยินแล้วหัวเราะออกมา แม่นางน้อยคนนี้ช่างคิดเสียจริง ๆ!
ชายชราตาบอดลังเลสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวช้า ๆ “แต่ทุก ๆ คนในใต้หล้าต่างก็รู้ว่า ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแสวงวิถีมาตลอดชีวิต ถึงแม้จะเคยมีหญิงรู้ใจจำนวนไม่น้อย แต่ไม่เคยมีบุตรหลาน…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมองดูชายชราตาบอดด้วยท่าทีรังเกียจ จากนั้นจึงพูดตัดบทในทันใด “เกิดว่าในบรรดาหญิงรู้ใจของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมีใครคนใดไม่ระวังตั้งท้องกับเขาเล่า?”
พูดถึงตรงนี้ นางเบนสายตามองไปที่ซูอี้ แล้วหัวเราะฮิฮิพลางกล่าว “พี่ซู ข้าไม่ได้จาบจ้วงเจ้าหรอกนะ อย่าได้เก็บไปคิด”
ซูอี้นวดหัวคิ้ว ไปกันใหญ่แล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว!
“เจ้าดูสิ พี่ซูยังเถียงไม่ออกเลย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนหัวเราะฮ่า ๆ ขึ้นมา
ซูอี้ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน หญิงสาวคนนี้ช่างเข้าใจพูดเข้าข้างตัวเองเสียจริง
ชายชราตาบอดกลับตื่นตะลึงไม่หาย
เขานึกถึงความลับมากมายในตัวซูอี้เมื่อครั้งอดีตขึ้นมา ประกอบกับเรื่องราวที่ได้ยินมาในคืนนี้แล้ว ในใจจึงได้แต่ครุ่นคิด
…หรือว่า คุณชายซูจะเป็นคนรุ่นหลังของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง ๆ?
เวลานี้ เว่ยอวิ้นเดินเข้ามาในห้องโถง
“สหายเต๋าทั้งสาม ผู้นำตระกูลของข้าได้ไปที่สถานปิดตนของบรรพชนเพื่อรายงานเรื่องนี้แล้ว”
เว่ยอวิ้นพูดพลางเบนสายตามองไปที่ซูอี้ “เพียงแต่ว่า สหายเต๋าจะสามารถพบกับบรรพชนของข้าได้หรือไม่ เรื่องนี้ตอบยาก”
ซูอี้พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถาม “กับดักที่วางไว้ในสถานที่ต้องห้ามเหมือนดังที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ก่อนเคยมีหรือไม่?”
เว่ยอวิ้นพยักหน้ากล่าว “ในช่วงสามร้อยปีมานี้ ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีตระกูลเว่ยของข้าจะสร้างความเคลื่อนไหวขึ้นในสถานที่ต้องห้ามแห่งนั้น ทำให้ตัวตนชั่วนอกวิถีในเมืองปีศาจราตรีเข้าใจว่ามีโชคผุดขึ้นในมหาภูผา ดึงดูดมารร้ายชั่วช้าบางส่วนมาฆ่า เหตุการณ์เช่นในค่ำคืนนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว”
ชายชราตาบอดอดถามขึ้นมาไม่ได้ “เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องทำเช่นนี้?”
เว่ยอวิ้นนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “บรรพชนของข้าเคยกล่าวไว้ว่า ฆ่าปีศาจขจัดความชั่วร้ายเป็นหน้าที่ของตระกูลเว่ย ดังนั้นจึงได้มีเมืองปีศาจราตรีแห่งนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าปีศาจชั่วนอกวิถีที่มาจากทุกหัวระแหงในใต้หล้าเหล่านั้นจะมารวมตัวกันในเมืองปีศาจราตรี จะไม่เป็นการดีต่อสิ่งมีชีวิตในสถานที่อื่น ๆ หรอกหรือ?”
“แต่สำหรับผู้ฝึกตนนอกวิถีที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองปีศาจราตรีแล้วเป็นเรื่องอันตรายมาก อาจสิ้นชีพได้ตลอดเวลา”
“สหายเต๋าทั้งสามก็ทราบดีว่าสถานที่ใดมีคนอยู่ สถานที่นั้นก็จะมีแม่น้ำลำคลอง เมืองปีศาจราตรีใหญ่โต จึงได้รวบรวมปีศาจชั่วนอกวิถีไว้มากมายถึงเพียงนั้น ลำพังเพียงแค่ความขัดแย้งและฆ่าฟันกันเองของพวกเขาก็สามารถทำให้บุคคลนอกวิถีมากมายสิ้นชีพไปได้ ถือเป็นการขจัดสิ่งชั่วร้ายให้แก่โลกมนุษย์ไปโดยปริยายเช่นกัน”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เว่ยอวิ้นจึงกล่าวต่อ “และการที่ตระกูลเว่ยของข้าปักหลักอยู่ที่เมืองปีศาจราตรี สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจะต้องกำจัดกลุ่มเจ้าถิ่นจำนวนหนึ่ง”
“เหมือนดังพวกฮูหยินจินไฉ่กับพวกปีศาจเฒ่าแขนเดียว พวกนั้นมีขุมกำลังของตัวเองอยู่ในเมืองปีศาจดาราแล้ว หากไม่กำจัดให้หมดไป จะกลายเป็นภัยอันตรายของเมืองปิศาจราตรี”
ฟังแล้วชายชราตาบอดก็กล่าวแสดงความนับถือออกมา “ตระกูลเว่ยของพวกเจ้ายอดเยี่ยมมากจริง ๆ!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็พยักหน้าตามด้วยเช่นกัน นางรู้สึกนับถือตระกูลเว่ยที่ปักหลักอยู่ในมหาภูผาแห่งนี้
“เยี่ยมยอด?”
เว่ยอวิ้นอดหัวเราะฝืดไม่ได้ จากนั้นถอนใจยาว ๆ กล่าว “แต่คนส่วนใหญ่ในใต้หล้ากลับเข้าใจว่า ตระกูลเว่ยของข้าทำตนเป็นหลักพักพิงให้ปีศาจชั่วนอกวิถีที่ทำแต่ความชั่วร้ายเหล่านั้น ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตระกูลเว่ยของข้าต้องแบกรับคำด่าว่าไม่รู้มากมายเท่าใด”
ชายชราตาบอดกับชุยจิ๋งเหยี่ยนได้แต่นิ่งเงียบไป
เรื่องราวทั้งหลายก็มักจะเป็นเช่นนี้ มุมมองของคนอื่นใช่ว่าจะถูกต้องไปเสียทั้งหมด!
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ตลอด
คำตามที่เว่ยอวิ้นตอบเขาเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตระหนักถึงเรื่อง ๆ หนึ่ง