บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 802: ลิงปลอมตัว
ตอนที่ 802: ลิงปลอมตัว
ตอนที่ 802: ลิงปลอมตัว
เว่ยจงซีหยุดพูด
จิตใจของเว่ยอวิ้นกับเว่ยเฉิงกระสับกระส่าย ความคิดสับสน
สภาพจิตใจของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามของตระกูลเว่ยกำลังปั่นป่วนเพราะคำพูดของซูอี้
“ท่านผู้นำตระกูล ประเดี๋ยวหากว่าสหายเต๋าซูเกิดทำอะไรขึ้นมาจริง ๆ พวกเรา… จะไม่ขัดขวางจริง ๆ หรือ?”
นิ่งเงียบไปนาน เว่ยเฉิงก็ทนไม่ไหวส่งกระแสเสียงไปให้เว่ยจงซีเป็นการส่วนตัว
ผู้นำตระกูลเว่ยพยายามสกัดกลั้นความตื่นตระหนกภายในใจ แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บรรพชนมีระดับการฝึกตนในขอบเขตหยั่งเห็นล้ำลึกขั้นสมบูรณ์ ต่อให้ซูอี้คนนี้คิดจะทำอะไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของบรรพชน”
เว่ยเฉิงเข้าใจความหมายของเว่ยจงซีในทันที ประเดี๋ยวไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ยื่นมือช่วย ไม่ขัดขวาง คอยดูกันว่าเรื่องตื่นตะลึงที่ซูอี้พูดมานั้นที่แท้แล้วเป็นความจริงหรือไม่!
เวลาผ่านพ้นไปทีละนิด
ซูอี้ยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น ขณะรอคอยอย่างสงบ เขาแทบไม่ได้แสดงอาการร้อนรนออกมา
เทือกเขาแสงตะวันทองแห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามของตระกูลเว่ย หลายร้อยปีมานี้มีแต่เว่ยเต้าเยวี่ยนปิดตนอยู่ที่นี่เพียงลำพังคนเดียว
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ถึงแม้พวกของซูอี้จะยืนอยู่ใต้เชิงเขาแห่งนี้ แต่ก็ไม่เคยสร้างจุดสนใจอันใด
“อีกประเดี๋ยวฟ้าก็จะสว่างแล้ว…”
เว่ยจงซีแอบพึมพำกับตัวเอง
และในเวลานี้เอง…
สวบ!
คนร่างผอมก็เดินออกมาจากเชิงเขา และก้าวเดินไปลงจากเขา
ท่านบรรพชน!!
สีหน้าของพวกเว่ยจงซีเปลี่ยนไปในทันใดเมื่อมองเห็นร่าง ๆ นั้นอย่างชัดเจนแล้ว
ทำให้พวกเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจ
บรรพชนเดินออกมาจากสถานที่ปิดตนในเวลานี้ เพื่อไปทำอะไร?
และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินกระแสเสียงของซูอี้ดังขึ้นที่ข้างหู
“จำไว้ อย่าขัดขวาง หากปล่อยให้เขาหนีไปได้ จะเสียการ”
คำกล่าวนี้ทำให้สีหน้าของพวกเว่ยจงซีสับสนขึ้นมาอีกครั้ง
“หืม? เหตุใดพวกเจ้าจึงยังไม่กลับกันอีก?”
ไกลออกไปมาก เว่ยเต้าเยวี่ยนก็เห็นพวกของซูอี้แล้วเช่นกัน เขาถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยและหยุดเดินในทันใด
“เดิมทีข้าก็คิดจะกลับไปแล้ว แต่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงตั้งใจจะมาขอคำชี้แนะจากเจ้าอยู่พอดี”
ซูอี้พูดจบ ก็ก้าวเดินไปหาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
เว่ยเต้าเยวี่ยนยิ้มอ่อนโยนออกมา ก่อนกล่าว “สหายน้อยยังมีเรื่องไม่เข้าใจอันใด จงถามมาเถิด”
ซูอี้ก็ยิ้มเช่นกัน พลางกล่าว “ข้ากำลังคิดว่า ตัวตนเผ่าลิงผีพันหน้าตายกันไปหมดแล้วตั้งแต่ก่อนอดีตกาลแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมีผุดขึ้นมาในโลกนี้อีกหนึ่งตน เจ้าสามารถไขข้อสงสัยให้ข้าได้หรือไม่?”
“ลิงผีพันหน้า!?”
เว่ยจงซีส่งเสียงร้องอุทานขึ้นมาเบา ๆ
สุดท้ายผู้นำตระกูลเว่ยคนนี้ก็ยังอดกลั้นความตื่นตระหนกภายในใจไว้ไม่ได้ จนเผลอร้องออกมา
เว่ยอวิ้นกับเว่ยเฉิงก็ตะลึงอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน
ซูอี้กล่าวเช่นนี้เท่ากับกำลังบอกว่าบรรพชนของพวกเขาถูกลิงผีพันหน้าปลอมตัวมา!
เช่นนั้นจะให้พวกเขาไม่ตกใจได้เช่นใดกัน?
ต่างก็ทราบกันดีว่าในภูมิมืดมิด สายเลือดลิงผีพันหน้าได้สูญสิ้นไปตั้งแต่ก่อนอดีตกาลแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน น้อยคนมากที่จะรู้ว่าเคยมีเผ่าพันธุ์เช่นนี้ดำรงอยู่ในภูมิมืดมิด
แต่ในฐานะที่เป็นคนตระกูลเว่ย พวกของเว่ยจงซีย่อมรู้ประวัติความเป็นมาของเผ่าลิงผีพันหน้าเป็นธรรมดา
ผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์นี้ มีพรสวรรค์อันเหลือเชื่ออย่างหนึ่งติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งก็คือสามารถกลายร่างเป็นใครคนไหนก็ได้
อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาย ใบหน้า และอากัปกิริยา ล้วนไม่มีสิ่งใดส่อพิรุธ และสามารถปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนเหมือนตัวจริง
แม้กระทั่งตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิใช้จิตสัมผัสตรวจสอบรับรู้ก็ยังโดนหลอกได้!
ส่วนตัวตนที่ต่ำกว่าจักรพรรดิ หากต้องการจะแยกแยะลิงผีพันหน้าให้ออก เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
เพราะเหตุนี้ ผู้แข็งแกร่งของเผ่าลิงผีพันหน้าจึงไม่เกรงกลัวใคร
เพราะไม่มีทางรู้เลยผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์นี้จะแปลงร่างปลอมตัวเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดหรือไม่ จากนั้นก็ฆ่าทิ้ง!
ว่ากันว่าก่อนอดีตกาล เป็นเพราะมีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในเผ่าพันธุ์ลิงผีพันหน้าทำผิดต่อผู้กล้าแกร่งที่มีความสามารถทะลุฟ้า จึงทำให้ผู้กล้าคนนั้นฆ่าทิ้งทั้งเผ่าด้วยความโกรธ
จนเป็นเหตุให้เผ่าลิงผีพันหน้าหายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
ทว่าตอนนี้ ซูอี้กลับบอกว่า บรรพชนของพวกเขาคือลิงผีพันหน้าปลอมตัวมา เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกยิ่งนัก
“ลิงผีพันหน้า?”
ไกลออกไป เว่ยเต้าเยวี่ยนขมวดคิ้วขึ้น และถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดสหายน้อยจึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา?”
เขาไม่ได้มีสีหน้าหวาดผวา แต่ยังคงสงบนิ่งราบเรียบ แม้กระทั่งกลิ่นอายบนตัวก็ยังปรากฏจังหวะวิถีอันน่ายำเกรง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้เป็นจักรพรรดิออกมา
ทว่าแววตาเย้ยหยันเปล่งประกายในสายตาของซูอี้ ก่อนจะกล่าวคำ “ง่ายมาก เป็นเพราะข้าพบว่า คืนนี้มีลิงตนหนึ่งใช้วิชาล่อหลอกอธิบายให้ข้าเข้าใจได้ว่าลิงปลอมตัวหมายความว่าอย่างไร ช่างน่าขันยิ่งนัก”
เว่ยเต้าเยวี่ยนขมวดคิ้วกล่าว “สหายน้อย ฟังความหมายของเจ้าแล้ว หรือว่ากำลังเย้ยหยันข้าอยู่เช่นนั้นหรือ? เช่นนี้จะโอหังเกินไปแล้ว!”
พูดถึงท้ายสุด น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความเย็นยะเยือก กลิ่นอายในตัวพลันเกิดความเปลี่ยนแปลง
ลำพังเพียงแค่พลังอานุภาพเช่นนั้น เปรียบประดุจคลื่นลูกใหญ่กลบกลืนพสุธา ครอบคลุมไปรอบแปดด้าน พวกเว่ยจงซีต่างก็ตื่นตระหนกจนขนลุกซู่ และหายใจไม่ออก
“สหายเต๋า เจ้ามองผิดไปแล้วกระมัง?” เว่ยจงซีอดพูดขึ้นมาอีกไม่ได้
“เจ้าคอยดูต่อไปเถิด”
ซูอี้ยิ้ม จากนั้นก้าวเดินไปข้างหน้าราวกับไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากความน่ากลัวในตัวของเว่ยเต้าเยวี่ยน
เว่ยเต้าเยวี่ยนแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมา ก่อนกล่าว “ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตาย ข้าให้ความเคารพต่อเจ้าในฐานะที่เจ้าช่วยคนในตระกูลเว่ยของข้า ไม่อยากจะคิดเอาความกับเจ้า แต่เจ้ากลับเหยียบจมูก…”
ยังพูดไม่จบ ซูอี้ก็ยกดาบฟันไปที่เว่ยเต้าเยวี่ยนแล้ว
สวบ!
แสงดาบอันเจิดจ้าบาดตาสว่างวาบกลางนภา ส่องสว่างเทือกเขาแสงตะวันทองราวกับแสงอรุณอันเจิดจรัสสาดส่องสู่โลกมนุษย์
เว่ยเต้าเยวี่ยนผู้ที่เดิมทีอยู่ในอาการโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นพลังดาบเช่นนี้แล้ว ความสับสนผุดประกายขึ้นในสายตา ก่อนจะหายตัวหนีไปจากที่ตรงนั้น
สวบ!
เมื่อพลังดาบฟันลงบนอากาศตรงจุดที่เขายืนอยู่ในตอนแรก ฉับพลันก็หยุดลง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้วี่แวว
แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
การขับเคลื่อนพลังเช่นนั้น แยบยลจนถึงขั้นสุดยอด
“หากว่าเจ้าคือเว่ยเต้าเยวี่ยน เหตุใดจึงต้องหลบด้วย?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
พวกของเว่ยจงซีก็มีสีหน้าตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน นั่นน่ะสิ ด้วยระดับการฝึกตนขอบเขตหยั่งเห็นล้ำลึกขั้นสมบูรณ์ของบรรพชน เหตุใดต้องหลบด้วย?
“ข้า…”
เว่ยเต้าเยวี่ยนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ฉับพลันร่างของซูอี้ก็หายไปจากที่เดิม
สีหน้าของเว่ยเต้าเยวี่ยนแปรเปลี่ยนไปในทันใด จากนั้นก็กลายร่างเป็นลำแสงสีเลือดพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
แทบจะในขณะเดียวกัน ยันต์ลับสีเทาก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
ยันต์แผ่นนี้นามว่า ‘สุดขอบฟ้าใกล้เพียงเอื้อม’ เพียงแค่บีบให้แตก ต่อให้อยู่ห่างไกลกันจนสุดขอบฟ้าก็สามารถไปถึงได้ราวกับใกล้เพียงเอื้อม
กล่าวง่าย ๆ ก็คือยันต์ลับหลบหนีที่มีอานุภาพประหลาดเหลือคณาแผ่นหนึ่งนั่นเอง มันมีความล้ำค่านัก เมื่อสำแดงเดชออกมา ต่อให้ผู้เป็นจักรพรรดิก็ยังห้ามไม่อยู่!
ทว่า บางทีอาจเป็นเพราะมีความล้ำค่าจนเกินไป ตอนที่เว่ยเต้าเยวี่ยนหนียังไม่ทันได้บีบแตก เพียงแค่ถือไว้ในมือเท่านั้น
สวบ!
ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศขวางหนทางหนีของเว่ยเต้าเยวี่ยน
ซูอี้นั่นเอง!!
ทว่าสิ่งที่ปรากฏตัวเร็วกว่าร่างของซูอี้ก็คือแสงดาบ
แสงดาบนั้นราวกับแสงสว่างทลายอากาศยิ่งใหญ่ รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ
เว่ยเต้าเยวี่ยนตกใจจนร้องส่งเสียงประหลาดออกมา พยายามออกแรงบีบยันต์สุดขอบฟ้าใกล้เพียงเอื้อม
เอื๊อก!
เขารู้สึกเจ็บที่ข้อมือ จากนั้นก็เห็นว่า มือขวาที่ถือยันต์สุดของฟ้าใกล้เพียงเอื้อมหลุดกระเด็นขึ้นฟ้าพร้อมกับเลือด
ซูอี้คว้ามาได้อย่างรวดเร็ว
“ให้ตายสิ!”
เว่ยเต้าเยวี่ยนถึงกับวิญญาณหลุดลอย เขาไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่มือขวาอีก จากนั้นก็อ้าปากมันพ่นออกไป
แสงเลือดเข้มข้นพุ่ง ประกายแสงเจิดจ้า คลื่นพลังทำลายล้างปกคลุมไปทั่ว
หากดูให้ดี นั่นคือมุกมณีสีเลือดเม็ดกลมงาม มีขนาดเท่ากับกำปั้นของทารก ปกคลุมไปด้วยลวดลายวิถีประหลาดที่คดงอราวกับไส้เดือนจำนวนนับไม่ถ้วน
ตูม!
อากาศแตกซ่าน ฟ้าดินสั่นสะเทือน
อานุภาพของมุกมณีสีเลือดนี้น่ากลัวยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีของจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นล้ำลึกแม้แต่น้อย
ชั่วขณะนี้ พวกของเว่ยจงซีที่อยู่ห่างไกลออกไปต่างก็พากันตื่นตระหนก การโจมตีเช่นนี้หากระเบิดขึ้น สถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ของตระกูลเว่ยคงจะได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน!
ทันใดก็เห็นซูอี้เอื้อมมือไปคว้า
วูบ!
มุกมณีสีเลือดที่พุ่งเข้ามาเกิดความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็ตกอยู่ในกำมือของซูอี้อย่างดิ้นไม่หลุด ก่อนจะลดแรงกำลังไปอย่างง่ายดาย
“นี่…”
เว่ยเต้าเยวี่ยนตกใจจนตาถลน บนใบหน้ามีแต่ความไม่เชื่อ
ทว่าเว่ยอวิ้นกลับนึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ ซูอี้เคยใช้นิ้วมือสองนิ้วสยบ ‘มารโลหิตลิดรอน’ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่จักรพรรดิมารตนหนึ่งเคยถือครอง!
ตอนนี้มาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันอีก!
“หากว่าข้าดูไม่ผิด มุกมณีสีโลหิตนี้ควรจะชื่อว่า ‘มุกแม่น้ำโลหิต’ เป็นสมบัติล้ำค่าเฉพาะของสายเลือดลิงผีพันหน้าของพวกเจ้า มีแต่ผู้เป็นจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะสามารถหลอมสร้างออกมาได้ การบุกโจมตีเปรียบประดุจแม่น้ำโลหิตทะลัก ไม่ด้อยไปกว่าการบุกโจมตีของผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นเลย”
ซูอี้จับมุกมณีสีโลหิตขึ้นมาเล่น จากนั้นจึงพูดขึ้นมา
ทว่าขณะที่พูด สายตาของเขาก็เบนไปที่เว่ยเต้าเยวี่ยน
เมื่อถูกสายตาอันลุ่มลึกของเขาจับจ้อง จึงทำให้เว่ยเต้าเยวี่ยนหน้าขาวซีด สีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดราวกับแทบคลั่ง หมุนตัวได้ก็หนี
ทว่าเขาเพิ่งไปได้แค่ครึ่งทางก็ถูกมือใหญ่และยาวของซูอี้คว้าคอ จากนั้นหิ้วขึ้นมาราวกับหิ้วคอไก่
แม้กระทั่งพละกำลังในตัวของเขาก็ถูกตะครุบไปด้วย พลังเพียงแค่กระดิกนิ้วก็ยังไม่มี
ตั้งแต่แรกจนจบ ไม่มีแม้โอกาสดิ้นรนเลยแม้แต่น้อย!
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้ว พวกของเว่ยจงซีแต่ละคนราวกับถูกฟ้าผ่า ความเชื่อที่มุ่งมั่นมาโดยตลอดพังทลายลงไปจนสิ้น นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้นนิ่ง
บรรพชนของตัวเอง ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?
เช่นนี้เท่ากับว่าสิ่งที่ซูอี้กล่าวมาเมื่อก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็เป็นความจริง บรรพชนตรงหน้าถูกคนอื่นปลอมตัว!!
สำหรับพวกของเว่ยจงซีแล้ว เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
และก็จริงตามนั้น เมื่อซูอี้ออกแรงบีบ เว่ยเต้าเยวี่ยนที่ถูกบีบคอก็ปล่อยแสงสีดำออกมา
เมื่อแสงสีดำนั้นหายไป รูปลักษณ์ของเว่ยเต้าเยวี่ยนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และกลายเป็นผู้เฒ่าตัวเล็กปากแหลมหน้าชะนี
แม้กระทั่งพลังในตัวก็คล้ายกับลูกโป่งฟีบที่หมดลม และเผยให้เห็นคลื่นพลังของผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณ
พวกของเว่ยจงซีเห็นเช่นนี้แล้ว หน้าสลด วิญญาณกระเจิง ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ต่อให้ไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาก็ยังต้องเชื่ออยู่ดี!
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ผู้เฒ่าร่างเตี้ยร้องด้วยความหวาดกลัว
ซูอี้กวาดตามองไปที่พวกของเว่ยจงซี ก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าออกมาได้แล้ว”
ขณะที่พูด มือหนึ่งของเขาก็หิ้วคอผู้เฒ่าร่างเตี้ย ก้าวขึ้นสู่กลางอากาศ แลเดินไปที่เชิงเขาแสงตะวันทอง
ร่างของเขาสูงโปร่ง ชุดสีเขียวโบกสะบัด มองดูไกล ๆ ราวกับเทพเซียนเดินดินกลับมาจากการล่าสัตว์
ไร้เทียมทาน!!