บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 803: หยกประสานวิญญาณบุตรมารดา
ตอนที่ 803: หยกประสานวิญญาณบุตรมารดา
ตอนที่ 803: หยกประสานวิญญาณบุตรมารดา
เว่ยจงซีตั้งสติได้ก่อนใคร
ผู้นำตระกูลเว่ยแสดงความสงบนิ่งและใจเย็นของผู้กุมอำนาจสูงสุดออกมาในเวลาเช่นนี้ จากนั้นพูดขึ้นมาโดยเร็ว “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้จะต้องสร้างคำถามให้แก่คนในตระกูลเป็นแน่ ผู้อาวุโสใหญ่ เจ้าจงเฝ้าอยู่ที่นี่อย่าให้ใครคนใดเข้าใกล้เขาแสงตะวันทองได้”
“และอย่าได้เปิดเผยเรื่องราวเมื่อก่อนหน้านี้เป็นอันขาด!”
เว่ยจงซีรู้ดีกว่าบรรพชนจะเป็นหรือตายก็ยังไม่อาจรู้ได้ หากให้คนในตระกูลรู้เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ในเวลานี้ ตระกูลเว่ยของพวกเขาจะต้องเกิดความโกลาหลอลหม่านขึ้นเป็นแน่
และเมื่อมีข่าวเช่นนี้แพร่สะพัดออกไปก็จะนำมาซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดคิด!
“ขอรับ!”
เว่ยเฉิงสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นรับคำอย่างหนักแน่น
“เว่ยอวิ้น เจ้าไปพบสหายเต๋าซูพร้อมกับข้า”
พูดพลาง เว่ยจงซีก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังเชิงเขาแสงตะวันทอง
เว่ยอวิ้นรีบติดตามไป
“หวังแต่เพียงว่า… ท่านบรรพชนอย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย…”
เว่ยเฉิงพึมพำขึ้นมา
ณ เชิงเขา
ในสถานที่ปิดตนของเว่ยเต้าเยวี่ยน มีอาณาเขตกว้างประมาณร้อยจั้ง สร้างคล้ายกับพระราชวัง ทว่าของประดับตกแต่งกลับเรียบง่ายธรรมดาเหลือเกิน
เมื่อเว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นเข้ามาแล้ว ก็เห็นซูอี้นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายด้วยอาการเกียจคร้าน ส่วนผู้แข็งแกร่งเผ่าลิงผีพันหน้าที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้วกลับนั่งตัวพับตัวอ่อนอยู่หน้าเก้าอี้หวาย
“ข้าตรวจดูแล้ว ในที่แห่งนี้ไม่มีบรรพชนของพวกเจ้า”
ซูอี้หยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอึกหนึ่ง “หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ตอนนี้เขาเป็นหรือตายต้องถามเดรัจฉานตนนี้ดูจึงจะรู้”
พอเอ่ยมาเช่นนี้ เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นต่างก็เบนสายตามองไปที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าลิงผีพันหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
คนผู้นี้มีปากแหลมและแก้มโหนกสูง สวมชุดยาวสีเทา ดูท่าทางมีอายุมากแล้ว เวลานี้นั่งกองอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าขาวซีด ที่มีแต่ความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ผู้เฒ่าชุดสีเทาของเผ่าลิงผีพันหน้าคนนี้กล่าวอึก ๆ อัก ๆ “ข้า… ไม่รู้จริง ๆ ว่าใต้เท้าเว่ยเต้าเยวี่ยนเป็นตายร้ายดีประการใด”
เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นขมวดคิ้วขึ้นมา
สายตาของเว่ยจงซีผุดประกายเย็นยะเยือก และเสนอขึ้นมา “สหายเต๋าซู ไล่ซักถามเช่นนี้ยุ่งยากนัก สู้ค้นวิญญาณเลยเป็นอย่างไร?”
เป็นแค่ลิงตัวหนึ่งกลับบังอาจปลอมตัวเป็นบรรพชนของพวกเขามานานหลายร้อยปี ทำให้เว่ยจงซีรู้สึกเคียดแค้นและอัปยศอย่างที่สุด
ผู้เฒ่าชุดสีเทาตกใจจนขวัญหนี พลางกล่าวเสียงสั่น “ไม่เหมาะ ภายในจิตวิญญาณของผู้น้อยมีตราผนึกติดอยู่ หากแตะต้องโดนผู้น้อยจะต้องตายในทันที!”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นต่างก็ตะลึง
ผู้เฒ่าชุดสีเทาคนนี้มีระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณ อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าลิงผีพันหน้า ถนัดที่สุดคือวิถีแห่งการเปลี่ยนรูปลักษณ์ ตัวตนเช่นใดกันจึงผนึกตราประทับขั้นคร่าชีวิตในจิตวิญญาณเขาได้?
ราวกับกลัวว่าพวกซูอี้จะไม่เชื่อ ผู้เฒ่าชุดสีเทาจึงกล่าวอธิบายด้วยความรีบร้อน “เรียนทุกท่านตามตรง ผู้น้อยก็ถูกคนอื่นบีบบังคับให้ทำเช่นนี้”
ซูอี้พูดตัดบท “ใครกันที่บังคับเจ้า?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา ก่อนกล่าว “พูดขึ้นมาแล้วทุกท่านอาจจะไม่เชื่อ เมื่อสามร้อยปีก่อน ตอนที่ผู้น้อยถูกคนผู้นั้นบีบบังคับ แม้กระทั่งฝ่ายตรงข้ามเป็นหญิงหรือชายก็ไม่อาจรู้ได้ ลักษณะท่าทางและประวัติความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่…”
ซูอี้หรี่ตาลง ก่อนกล่าว “เป็นคนคนนั้นจริง ๆ”
เว่ยจงซีทนไม่ไหวถามขึ้นมา “สหายเต๋ารู้ฐานะของคนคนนั้นเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้ารู้แต่เพียงว่า คนผู้นี้เป็นคนทลายค่ายกลต้องห้าม และเคยเข้าไปในแดนปิดผนึกแห่งนั้นด้วย”
เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นต่างก็พากันตื่นตะลึง
ซูอี้กล่าว “ตามที่เจ้ากล่าวมา คนลึกลับผู้นั้นเป็นคนให้เจ้าปลอมตัวเป็นเว่ยเต้าเยวี่ยนอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่าชุดสีเทารีบพยักหน้าติดต่อกัน
ซูอี้ถามอีก “ในเมื่อเจ้าสามารถปลอมตัวเป็นเว่ยเต้าเยวี่ยนได้ ก็ต้องเคยเห็นเขากับตาตัวเองมาก่อน ตอนนั้น เขาอยู่ในสถานการณ์เช่นใด?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาตอบแบบไม่ต้องคิด “ตอนนั้น อยู่ในหอสุราแห่งหนึ่งในเมืองปีศาจราตรี ข้าโดนคนลึกลับคนนั้นพาตัวไปพบกับใต้เท้าเว่ยเต้าเยวี่ยน”
“ตอนนั้น เขาดูแล้วไม่ได้มีบาดแผลอันใด เพียงแต่ว่าอากัปกิริยาดูแปลก ๆ”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็กล่าวขึ้น “เล่ามาให้ละเอียด”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาแสดงสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “ตอนนั้น ใต้เท้าเว่ยนั่งตรงนั้นเพียงคนเดียว ไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าแข็งกระด้าง คล้ายกับ… มีเพียงร่างแต่ไร้วิญญาณ”
ฟังถึงตรงนี้ เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ขณะที่ใจเต้นแรง
จากนั้นผู้เฒ่าชุดสีเทาก็พูดต่อ “ใช่แล้ว ตอนนั้นคนลึกลับผู้นั้นบอกว่า ให้ข้าจดจำลักษณะและกลิ่นอายของใต้เท้าเว่ยให้ดี และก็เป็นตอนนั้นเช่นกันที่ใต้เท้าเว่ยเงยหน้ามองดูข้า แล้วพูดจาแปลก ๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่ง”
“พูดว่าอะไร?” เว่ยจงซีเร่งเร้า
ผู้เฒ่าชุดสีเทากระแอมขึ้นมา จากนั้นเลียนเสียงของเว่ยเต้าเยวี่ยน และกล่าวออกมา “ลิงผีพันหน้าสามารถหลอกทุกคนในตระกูลชุยได้ แต่หลอกเขาไม่ได้”
น้ำเสียงแข็งกระด้างไร้ความรู้สึก
เว่ยจงซีขมวดคิ้ว “แค่นี้หรือ?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทากล่าวด้วยความหวาดกลัว “แค่นี้จริง ๆ”
เว่ยอวิ้นถาม “ เช่นนั้น ‘เขา’ ที่ว่าคนนี้คือใคร?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาเงยหน้ามองดูซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายด้วยความหวาดกลัว จากนั้นพูดเสียงสั่น “อาจจะ… หมายถึงใต้เท้าที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้?”
ผู้แข็งกล้าของตระกูลลิงผีพันหน้าตนนี้ดูหวาดกลัวฝีมือของซูอี้ที่แสดงออกมาเมื่อก่อนหน้านี้
จนถึงตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าคนหนุ่มขอบเขตสยายวิญญาณมองฐานะของตัวเองออกได้อย่างไร และสามารถสยบสมบัติล้ำค่าที่มีอานุภาพน่ากลัวอย่าง ‘มุกแม่น้ำโลหิต’ เช่นนี้ในระยะเวลาอันสั้นได้เช่นไร
ซูอี้?
เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นตะลึง
คิดสักครู่ คืนนี้ซูอี้เป็นคนเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งเผ่าลิงผีพันหน้าจริง ๆ!
เพียงแต่ว่า ซูอี้เพิ่งอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น แต่ตอนที่บรรพชนกล่าวคำพูดเช่นนี้เป็นเวลาเมื่อสามร้อยปีก่อน!
เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อมโยงกันเลย
“หรือว่า ‘เขา’ ที่บรรพชนเอ่ยถึงจะเป็นผู้อาวุโสของซูอี้?”
เว่ยจงซีรู้สึกสงสัย
หากว่าเป็นเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้
ซูอี้ไม่อยากจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เขาถามอีก “ตอนนั้นคนลึกลับพูดอย่างไร?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทารีบตอบ “คนลึกลับผู้นั้นฟังความแล้วได้แต่หัวเราะ บอกว่าหลอกไม่ได้จึงจะดีที่สุด จากนั้นข้าก็ถูกเขาซัดจนสลบ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ในสถานที่ปิดตนแห่งนี้แล้ว ส่วนใต้เท้าเว่ยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่อาจทราบได้”
ซูอี้นิ่งเงียบไปในทันใด
อย่างไม่ต้องสงสัย คนลึกลับมาเพื่อตามหาเขาซูเสวียนจวิน!
อีกทั้ง อีกฝ่ายยังรู้ดีด้วยว่าวิถีปลอมแปลงของลิงผีพันหน้าไม่อาจอำพรางสายตาของเขาไปได้!
ซูอี้ถาม “ในตอนนั้นคนลึกลับได้สั่งกำชับอะไรต่อเจ้าหรือไม่?”
“มีขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดเฒ่าพยักหน้า “เขาบอกว่า หากว่าวันข้างหน้ามีคนสามารถสนทนากับหงส์เพลิงที่อยู่ในสถานกักขังแห่งนั้น ให้ข้าไปพบอีกฝ่ายสักครั้ง และจดจำโฉมหน้าของคนคนนั้น”
พอเอ่ยมาเช่นนี้ เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นต่างก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
เพราะว่าคืนนี้ ซูอี้ได้พูดคุยกับหงส์เพลิงที่ถูกจับให้อยู่ในสถานกักขังแห่งนั้น!
ตามคำที่ผู้เฒ่าชุดเทากล่าวมา เมื่อสามร้อยปีก่อน ดูเหมือนว่าคนลึกลับคนนั้นจะคาดเดาได้ว่าวันนี้จะมาถึง!
จะไม่ให้ตกใจได้เช่นใด?
แต่ซูอี้กลับไม่รู้สึกประหลาดใจ หากว่าเป็นเขา ก็สามารถพยากรณ์ ‘สถานการณ์’ ในลักษณะนี้ได้ก่อนล่วงหน้าเช่นกัน
เขาดื่มสุราไปอึกหนึ่ง พลางกล่าว “หลังจากนั้นเล่า?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาพูดเสียงอ่อย “ตอนนั้น คนลึกลับผู้นั้นมอบหยกสีดำให้ข้าชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ได้บอกถึงที่มาและวิธีใช้งานให้ข้ารู้ เพียงแต่บอกว่าหลังจากที่ข้าได้พบกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ให้หาโอกาส… หนีไป”
เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ ที่ผู้เฒ่าชุดสีเทาออกมาจากสถานที่ปิดตนก็เพราะต้องการจะหนีนั่นเอง!
แต่ซูอี้กลับคาดไว้ก่อนแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงมาดักรอที่ใต้เชิงเขาแสงตะวันทอง
นึกถึงตรงนี้แล้ว ทั้งสองก็อดมองดูซูอี้ไม่ได้
ซูอี้ในตอนนั้น เดาว่าต้องเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงแต่พวกเขาสองคนเท่านั้น แม้กระทั่งผู้เฒ่าชุดสีเทาก็ยังงงมากไม่หายเช่นกัน
ซูอี้ไหนเลยจะมองไม่ออกว่าพวกเขาคิดอย่างไรในใจ ทว่าชายหนุ่มไม่ได้อธิบายอะไร และกล่าวเพียง “เอาหยกสีดำชิ้นนั้นมาให้ดูหน่อย”
ผู้เฒ่าชุดสีเทารีบล้วงเอากล่องไม้สีดำออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยกทูนขึ้นเหนือหัวมอบให้ซูอี้
กล่องไม้สีดำไม่ใช่สมบัติล้ำค่าอะไร และไม่ได้ซุกซ่อนกลไกอันใดเอาไว้ ซูอี้รับมาแล้วก็เปิดออกดูในทันที
ในกล่องไม้สีดำมีหยกสีดำขลับรูปร่างราวกับไข่ห่านวางอยู่ ภายนอกของหยกมีประกายลึกลับครอบคลุม
เมื่อเห็นของสิ่งนี้แล้ว ซูอี้พลันนั่งตัวตรงบนเก้าอี้หวาย ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้างดงามหล่อเหลาดูสับสนขึ้นมา
ทำให้พวกของเว่ยจงซีต่างก็รู้ได้ว่าซูอี้คงจะรู้ที่มาของหยกชิ้นนี้!
“พวกเจ้าพาคนผู้นี้ออกไปจากสถานที่ปิดตนก่อน”
นานมาก ซูอี้จึงทำลายความสงบโดยกล่าวกำชับกับเว่ยจงซี
นี่ไม่ใช่คำปรึกษา แต่เป็นคำสั่ง!
เว่ยจงซีกับเว่ยอวิ้นสบตากัน จากนั้นพยักหน้ารับคำ แล้วพาผู้เฒ่าชุดสีเทาคนนั้นออกจากสถานที่ปิดตนในทันใด
รอบด้านไม่มีใครอยู่แล้ว ซูอี้จึงหยิบหยกสีดำชิ้นนั้นออกมาจากกล่องไม้ ปลายนิ้วสลักลงบนผิวหยกสีดำราวกับดาบที่มีความคมกริบ
ฉับพลัน สะเก็ดแสงสีดำสาดกระเซ็นออกมาราวกับหยกแตก
ผิวนอกของหยกสีดำชิ้นนั้นถูกซูอี้สลักเป็นภาพลวดลายยึกยือลึกลับ เมื่อภาพลวดลายภาพนั้นสำเร็จเป็นรูปร่าง คลื่นลึกลับซึ่งมีประกายแสงปกคลุมก็ปรากฏขึ้นเป็นระลอก
มองไปไกล ๆ ราวกับมีระลอกคลื่นสีดำปรากฏขึ้นบนมือของซูอี้ ช่างประหลาดยิ่งนัก
ซูอี้มองดูภาพทั้งหมดนี้อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด
หยกชิ้นนี้ชื่อว่า ‘หยกประสานวิญญาณบุตรมารดา’ หลอมสร้างขึ้นจากเขาเดี่ยวของแรดวิญญาณ ประโยชน์ของมันคล้ายกับสมบัติสำหรับรับรู้อย่าง ‘รู้ใจเขา’ ‘ตาพันลี้’ ‘หูตามลม’
ผู้ที่ถือหยกประสานวิญญาณบุตรเพียงแค่สลัก ‘บัญญัติประสานวิญญาณ’ ลงบนนั้น ต่อให้อยู่ไกลกันหลายภูมิภพก็สามารถรับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ที่ถือหยกประสานวิญญาณมารดาและสามารถพูดคุยกันได้
ของชิ้นนี้หาพบได้ยากมาก เพราะว่าแรดวิญญาณหาได้ยากเสียเหลือเกิน
สวบ!
อย่างรวดเร็ว หยกประสานวิญญาณบุตรในมือซูอี้ฉายแสงสว่างสีเทาออกมาเป็นพัก ๆ ทำให้สถานที่ปิดตนแห่งนี้ตกอยู่ในเงาแสงอันสลัวรางเลือน
และในขณะเดียวกัน เสียงต่อสู้ฆ่าฟันอย่างดุเดือดพลันดังขึ้นจากหยกประสานวิญญาณบุตร!
ในนั้นยังผสมปนเปไปด้วยเสียงตวาดของอสูรเทพ เสียงถล่มราวกับแผ่นดินแผ่นน้ำถล่มทลาย และเสียงปะทะกันของสมบัติล้ำค่าที่ดังราวกับเสียงฟ้าผ่า
ฟังแต่เสียงก็รู้สึกราวกับอยู่ในสงครามการนองเลือดระหว่างเทพกับอสูรแล้ว ทุกหนแห่งมีแต่ภาพของความตาย กลิ่นคาวเลือด และความเสียหาย
ซูอี้ขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้สนใจ
ไม่นานนักเสียงรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดเหล่านั้นก็เบาลงไปไม่น้อย
ราวกับว่าผู้แข็งแกร่งที่ถือหยกประสานวิญญาณมารดาท่านนั้นออกจากสนามรบที่น่ากลัวแห่งนั้นแล้ว
จนกระทั่งผ่านไปนานมาก แม้แต่เสียงการต่อสู้ที่ดุเดือดก็ไม่ได้ยินอีก มีแต่เพียงเสียงลมพัด ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเงียบเหงา
เพียงแต่ว่า คนที่ถือหยกประสานวิญญาณมารดาคนนั้นไม่เคยพูดอะไรเลย
…ราวกับกำลังรอให้ซูอี้เป็นฝ่ายพูดก่อน!