บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 804: คำตอบ!
ตอนที่ 804: คำตอบ!
ตอนที่ 804: คำตอบ!
ซูอี้นั่งรอคอยเงียบ ๆ อยู่บนเก้าอี้หวาย
ราวกับว่าขอเพียงฝ่ายตรงข้ามไม่ส่งเสียง เขาก็สามารถรอต่อไปเรื่อย ๆ ได้
จนกระทั่งหยกประสานวิญญาณบุตรชิ้นนั้นเหลือแต่เพียงเสียงลมที่เหน็บหนาวเท่านั้น
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อย
แสงเรืองรองของ ‘บัญญัติประสานวิญญาณ’ ที่สลักบนหยกประสานวิญญาณบุตรค่อย ๆ อับแสงลงไปทีละน้อย
เมื่อพลังของบัญญัติหายลับไป หยกประสานวิญญาณบุตรชิ้นนี้ก็เริ่มแตกร้าว
ทว่าซูอี้ไม่ได้รอคอยอีก
แคร็ก!
บัญญัติประสานวิญญาณในมือกลายเป็นผงธุลีตามแรงบีบของฝ่ามือ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะซูอี้หมดความอดทน แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าขืนเสียเวลาเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีความหมายอันใดอีกแล้ว และมีแต่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคนลึกลับคนนั้นเป็นใคร แต่ซูอี้ก็สามารถมั่นใจได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องเป็น ‘คนคุ้นเคย’ เมื่อในอดีตชาติของตนเองอย่างแน่นอน!
เป็นใครกันนะ?
เดายากมาก!!
ทว่าซูอี้ก็คร้านจะเดาเช่นกัน
เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้สึกได้ว่าตนเองยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ วันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วคงจะมาหาอีกครั้งเป็นแน่
อีกทั้ง เป็นไปได้มากว่าจะต้องย้อนกลับมาที่มหาภูผาแห่งนี้เพื่อสืบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตนเอง!
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เจอกับเจ้า…”
ซูอี้พึมพำ
คนที่สามารถทลายค่ายกลผนึกกักขังที่ตนเองทิ้งเอาไว้เมื่อชาติที่แล้ว แต่กลับไม่ได้หยิบเอาร่มแคล้วคลาดที่ตนเองทิ้งไว้ที่ค่ายกลแห่งนั้น
และเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียอีกที่เหมือนกับจะคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าตนเองจะหาเว่ยเต้าเยวี่ยนเพื่อสืบเรื่องราว ดังนั้นจึงได้ให้ลิงผีพันหน้าถือหยกประสานวิญญาณบุตรรอคอยตนเอง
ในการจัดวางแผนเหล่านี้ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงเจตนาร้ายอันใดออกมา ดูเหมือนว่าจุดมุ่งหมายทั้งหมดล้วนทำไปเพื่อจะพิสูจน์ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วกันแน่
หากว่าเป็นเช่นนี้ เว่ยเต้าเยวี่ยนก็ไม่น่าจะมีอันตราย
เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว
“ตาเฒ่าชุยหลงเซี่ยงเคยกล่าวเตือนไว้ว่าเมื่อข้าย้อนกลับสู่ภูมิมืดมิด อย่าได้เผยฐานะออกมา แต่ตอนนี้ในโลกนี้มีคนรู้ว่าข้าซูเสวียนจวินกลับมาแล้ว…”
“แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าเขาจะเป็นมิตรหรือศัตรู เมื่อได้พบหน้ากัน ความจริงก็จะปรากฏขึ้นเอง”
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด แสงอรุณเบิกฟ้า ท้องนภาขาวสว่าง
คืนนี้ ดูคล้ายกับว่าเกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะมากมาย ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว สิ่งที่ควรค่าแก่การสนใจจริง ๆ ก็คือฐานะของคนลึกลับคนนั้น
ส่วนร่มแคล้วคลาดที่ทิ้งไว้ในค่ายกลกักขังนั้น ก็ทิ้งไว้ตรงนั้น
เขาเคยรับปากหงส์เพลิงว่าภายในสามปีจะกลับมาอีกครั้ง
สิ่งเดียวที่เขาคาดหวังก็คือภายในช่วงสามปีคนลึกลับผู้นั้นจะปรากฏตัว
——-
ในโลกที่มีแต่การนองเลือด
ณ ขอบฟ้าที่ห่างไกลเหลือเกิน การต่อสู้ที่น่ากลัวกำลังดำเนินขึ้น
ประกายแสงเทวาอันเจิดจำรัสแหวกทะลุท้องฟ้า แสงสมบัติอันแพรวพราวฉายประกายไปรอบด้าน เสียงแผดร้องคำรามของอสูรเทพสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วผืนปฐพี
ร่างคนที่คล้ายกับเทพเซียนกำลังต่อสู้ฟาดฟันอยู่ตรงนั้น อานุภาพแผ่ทั่วโลกา น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
มีทั้งจักรพรรดิฝีมือฉมังวาดลวดลายการประหัตประหาร
มีทั้งสัตว์ขนาดใหญ่เคลื่อนย้ายกลางอากาศ ลำพังเพียงแค่กลิ่นอายแห่งพลังที่แผ่กระจายออกมาจากตัวก็สามารถบดขยี้ภูเขาลำธารให้ล่มสลายได้
นั่นเป็นการต่อสู้ที่ชุลมุน ฆ่าแกงกันจนตะวันจันทราอับแสง ทั่วทั้งโลกภูมิตกอยู่ในสภาพสับสนอลหม่านราวกับวันสุดท้ายของโลก
ทว่า ณ จุดที่ไกลแสนไกลจากสนามรบ รอยร้าวมิติสีฉูดฉาดบาดตาปรากฏขึ้นกลางอากาศ ลักษณะคล้ายกับหุบเหวลึกที่สามารถแยกโลกภูมิเป็นสองส่วน
ด้านหนึ่งของรอยร้าวมิติคือสถานที่ประหัตประหารอย่างดุเดือดและชุลมุนวุ่นวาย
ส่วนอีกด้านหนึ่งคือพื้นที่ร้างอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
บนพื้นที่ร้างไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าสักต้น ทุรกันดารแห้งแล้ง ถูกความมืดมิดอึมครึมปกคลุมอยู่ตลอด
ทั่วทั้งปฐพีมีแต่ลมหนาวที่บาดลึกเข้าไปในกระดูกโหมพัด แฝงไว้ซึ่งความวังเวงเวิ้งว้าง
ร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ บนพื้นที่ร้าง แสงขมุกขมัวอึมครึมสาดส่องไปที่ร่างของนาง ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย
ดวงตาและขนคิ้วของนางงอนงาม รัดผมด้วยเกล้าทรงดอกบัว สวมชุดกระโปรงสีดำที่ตัดเย็นพอดีกับตัวราวกับกลีบดอกกุหลาบอันงดงามน่าเอ็นดู รับกับหุ่นสะคราญสูงเพรียวของนางมาก ผิวพรรณที่เผยออกมาให้เห็นขาวสะอาดประดุจเครื่องเคลือบ ละเอียดอ่อนประดุจหยกน้ำงาม
เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา บนตัวมีคราบเลือดติดอยู่หลายแห่ง
ทว่านางกลับไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย สองมือยังคงกอดหัวเข่า นั่งสงบอยู่ตรงนั้น ภายในดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นมีน้ำตาไหลพรากลงมาอย่างเงียบ ๆ
บนพื้นตรงหน้านาง มีหยกสีดำชิ้นหนึ่งวางอยู่
น้ำตาไหลรดหยกสีดำชิ้นนั้นหยดแล้วหยกเล่า ราวกับไข่มุกเม็ดใสเม็ดแล้วเม็ดเล่าแตกกระจายกลายเป็นกลีบ ๆ
ถึงแม้จะร้องไห้ แต่นางก็ดูคล้ายกับกำลังฝืนทนอะไรบางอย่างอยู่ พยายามกลั้นไม่ให้มีเสียง น้ำตาไหลพรากประดุจน้ำฝน
ทว่าบนใบหน้างดงามอย่างที่สุดของนางไม่มีความทุกข์เศร้า ในทางตรงข้ามกลับปรากฏความรู้สึกยินดี ปลื้มปีติ และผ่อนคลาย
“เจ้ากลับมาแล้วสักที ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องกลับมา…”
หญิงงามพึมพำ เสียงสั่นสะท้านปนสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่
สวบ!
ร่าง ๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไป?”
คนที่มาสวมชุดนักรบ ร่างกายใหญ่โต พลังแก่กล้า อานุภาพล้นฟ้า ทว่าเมื่อเห็นหญิงงามกำลังร้องไห้ จึงส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วง
“เขา… เขากลับมาแล้ว…”
หญิงงามสูดหายใจลึก ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้น น้ำตาในเบ้าก็เหือดแห้งไปจนหมดแล้ว สายตาแห่งความปีติยินดีจากบึ้งหัวใจเข้ามาแทนที่
ผู้ชายในชุดนักรบนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อเห็นหยกสีดำชิ้นนั้นวางอยู่ด้านหน้าหญิงงามแล้ว ราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ ร้องขึ้นมาเสียงหลง “หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโสซู!?”
ดวงตาของหญิงงามส่องสว่าง พยักหน้าตอบน้ำเสียงจริงจัง “อืม!”
ผู้ชายในชุดนักรบระงับความดีใจไว้ไม่ได้เช่นกัน จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ตามความคาดหมาย ข้ารู้อยู่แล้วว่าตัวตนอย่างผู้อาวุโสซูไม่มีทางจะลาจากไปโดยไร้เหตุผล! ใช่แล้ว ผู้อาวุโสซูได้พูดอะไรหรือไม่?”
หญิงงามนิ่งเงียบไปในทันใด
นานมาก นางจึงมองไปไกล ๆ ราวกับว่าสามารถมองผ่านรอยแยกมิติบนท้องฟ้าได้ มองดูสนามรบอันชุลมุนวุ่นวายอันห่างไกลโพ้น กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ข้า… ไม่ได้พูดอะไรกับเขาทั้งสิ้น เขาก็ไม่ได้พูดเช่นกัน…”
ผู้ชายในชุดนักรบนิ่งตะลึง จากนั้นถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่ได้พูดอะไรเลยเช่นนั้นหรือ?”
หญิงงามเม้มริมฝีปาก พยักหน้าพลางกล่าว “ไม่ผิด แต่ข้ารู้ว่า เขาได้หยกประสานวิญญาณบุตรที่ข้าทิ้งไว้ให้ผู้ฝึกตนเผ่าพันธุ์ลิงผีพันหน้าชิ้นนั้นแล้ว”
น้ำเสียงมีความหนักแน่นเชื่อมั่นไม่คลางแคลง
ผู้ชายในชุดนักรบถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดผู้อาวุโสจึงไม่พูดคุยกับผู้อาวุโสซูเล่า?”
หญิงงามส่ายหน้าพลางกล่าว “พอข้าพูดออกไป เขาก็จะเดาออกว่าข้าคือใคร ข้าไม่อยากจะให้เขารู้ว่าพวกเราในตอนนี้อยู่ในที่แห่งใด”
“เหตุใดจึงบอกไม่ได้?”
ผู้ชายในชุดนักรบรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก
หญิงงามหัวเราะ ใบหน้างดงามแสดงความอ่อนโยน และกล่าวเบา ๆ “เจ้าไม่เข้าใจ หากว่าเขารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ จะต้องเป็นห่วงข้าอย่างแน่นอน และข้าก็ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงอีก…”
น้ำเสียงอ่อนละมุนราวกับอยู่ในความรักอันดื่มด่ำ
ผู้ชายในชุดนักรบนิ่งเงียบไป
“เว่ยน้อย ขอบใจมาก เมื่อสามร้อยสามสิบปีก่อน หากไม่ได้เจ้าช่วยวางแผนบนมหาภูผา ต่อให้เขา… กลับมาสู่ภูมิมืดมิด ก็คงจะไม่รู้สึกประหลาดใจจนผลักดันหยกประสานวิญญาณบุตรชิ้นนั้นเป็นแน่”
หญิงงามลุกขึ้น ชุดกระโปรงสีดำโบกสะบัด รับกับเรือนร่างอันอรชรของนาง
เกล้าดอกบัวส่องประกายสีทองบาง ๆ ภายใต้แสงราตรีที่สาดส่องลงมา เพิ่มพูนความเป็นนางพญาผู้สูงศักดิ์
ผู้ชายในชุดนักรบกล่าวในทันใด “ผู้อาวุโสอย่าได้เกรงใจ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า… ข้าสงสัยยิ่งนัก ด้วยสติปัญญาของผู้อาวุโสซู เกรงว่าน่าจะเดาเหตุการณ์บางอย่างออกแล้ว…”
พูดถึงท้ายสุดน้ำเสียงดูตื่นเต้นขึ้นมา
หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “วางใจเถิด ต่อให้วันข้างหน้าเขาได้รู้ความจริง ก็ไม่มีทางกล่าวโทษเจ้าหรอก”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ริมฝีปากอิ่มเอิบสีชมพูของนางก็เผยอขึ้นเผยให้เห็นความซุกซน ขณะกล่าว “อย่างน้อยตอนนี้ เขาคงยังเดาไม่ออกว่า แผนการในมหาภูผานั้นเป็นฝีมือของข้า”
“ข้ารู้จักนิสัยใจคอของเขาดี ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นจึงได้ปิดบังกลิ่นอายพลังในตัวไว้ แม้กระทั่งหงส์เพลิงก็ยังดูฐานะของข้าไม่ออก เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงผลักดันหยกประสานวิญญาณบุตรชิ้นนั้นเพราะความอยากรู้”
ผู้ชายในชุดนักรบนึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา ได้แต่จนปัญญา แล้วจึงกล่าว “ผู้อาวุโส เหตุใด… ท่านจึงปิดบังผู้อาวุโสซูมาโดยตลอด?”
หญิงงามไม่ตอบ
ทว่าในใจของนางเข้าใจดีว่า หากว่าให้คน ๆ นั้นเดาฐานะของตนเองออก ด้วยนิสัยของเขาคงจะหลบตนเองไปตลอด…
“เว่ยน้อย เมื่อไรที่เส้นทางหยินหยางที่ทะลุสู่ภูมินอกได้จาก ‘เมืองมืด’ จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง?”
จู่ ๆ หญิงงามก็ถามขึ้นมา
ผู้ชายในชุดนักรบตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ทุก ๆ ร้อยปีเส้นทางหยินหยางจะปรากฏหนึ่งครั้ง คำนวณตามเวลาแล้ว อีกเก้าปีน่าจะปรากฏอีกครั้ง”
“แต่ว่า ตอนนี้พวกเราอยู่ในนรกชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นหนึ่งในเก้ามหานรกของเมืองมืด หากว่าย้อนกลับไปนอกภูมิ ต้องเริ่มเดินทางย้อนกลับไปนรกชั้นที่หนึ่งก่อนล่วงหน้าหนึ่งปีจึงสามารถไปทันเวลาที่เส้นทางหยินหยางจะปรากฏ”
หญิงงามส่ายหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว “ที่ข้าถามคือจำนวนวัน”
“อืม…”
ผู้ชายในชุดนักรบพยายามครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน พลางกล่าว “เรื่องนี้ตอบยาก รอให้ผีสุราแห่งวังยมโลกกลับมาแล้วถามดูให้รู้แน่”
หญิงงามสูดหายใจลึก ๆ กล่าวพึมพำ “ก็ดีเช่นกัน อย่างไรเสียก็เพียงแค่เก้าปีเท่านั้น ข้ารอมานานหลายหมื่นปีแล้ว รออีกไม่กี่ปีจะเป็นไรไป…”
ภายใต้ราตรีมืดมิด หญิงงามกำลังเหม่อลอย
นางมีนามว่าเย่อวี๋
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมากแล้ว นางได้รับการยกย่องให้เป็นจักรพรรดิหญิงองค์แรกในประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจงู!
——
ที่เผ่าตระกูลเว่ย มหาภูผา ณ เขตแม่น้ำลืมเลือน
“สหายเต๋าซู เว่ยผู้นี้มีเรื่องจะขอร้อง เรื่องของบรรพชนข้า ท่านโปรดอย่าได้นำไปพูด”
เว่ยจงซีโค้งตัวแสดงความนอบน้อม
ซูอี้พยักหน้า “ได้”
เดินออกจากสถานที่ปิดตนไปแล้ว เขาบอกเว่ยจงซีแล้วว่าเว่ยเต้าเยวี่ยนบรรพชนของพวกเขาน่าจะปลอดภัยดี เรื่องนี้ทำให้พวกของเว่ยจงซีรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย
แต่ว่า อย่างไรเสียเว่ยเต้าเยวี่ยนก็หายตัวไปอย่างประหลาดเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ช่วงที่ยังไม่มีวี่แววของเว่ยเต้าเยวี่ยน เว่ยจงซียังคงไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ รู้เรื่องของชายชราผู้นี้
เพราะหากให้คนอื่นรู้ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังเพียงแค่ภายในเมืองปีศาจราตรีแห่งนี้ต้องเกิดความอลหม่านขึ้นอย่างแน่นอน!
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ไม่มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่น่ากลัวอย่างเว่ยเต้าเยวี่ยนเป็นหลักยึด เหล่าปีศาจชั่วนอกวิถีเหล่านั้นต้องไม่อยู่นิ่งเหมือนแต่ก่อนอีกเป็นแน่
“สหายเต๋าซู ควรจะจัดการเช่นใดกับคน ๆ นี้?”
เว่ยจงซีหมายถึงผู้เฒ่าชุดสีเทาของเผ่าลิงผีพันหน้าตนนั้น
ซูอี้ตอบ “จับตัวไว้ก่อน วันหน้าไม่ช้าก็เร็วคนลึกลับผู้นั้นจะต้องย้อนกลับมา ถึงเวลานั้น ให้คนคนนั้นเป็นผู้ตัดสินความเป็นความตายของเขา”
เว่ยจงซีพยักหน้า
และในวันนั้นเอง ซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดก็ออกเดินทางไปจากมหาภูผาพร้อมกัน
หลังจากนั้นครึ่งเดือน
ทั้งคณะเดิน ๆ หยุด ๆ ในที่สุดก็ผ่านเขตแม่น้ำลืมเลือนและเข้าสู่เขตราชาหกวิถี
ตระกูลชุยเผ่าโบราณผู้เคยเป็นเจ้าแห่งกองตัดสินของกรมหกวิถีเข้ามาปักหลักวางรากฐานใน ‘เมืองตาข่ายม่วง’ ของเขตราชาหกวิถีตั้งแต่นานมากแล้ว!