บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 807: รอกระต่ายออกจากโพรง
ตอนที่ 807: รอกระต่ายออกจากโพรง
ตอนที่ 807: รอกระต่ายออกจากโพรง
ซูอี้พลันหันไปกล่าวกับสิงเยว่ “มีเรื่องน่าประหลาดใจใดเกิดขึ้นในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์ช่วงนี้บ้างหรือไม่?”
สิงเยว่ส่ายหน้า
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวไม่ได้ว่า “พี่ซู หากถามพวกเขา เจ้าย่อมได้เพียงข่าวลือไม่สมจริง แต่เมื่อได้พบบรรพชนของข้าในเมืองตาข่ายม่วง เขาย่อมบอกข่าวเกี่ยวกับทะเลทุกข์ได้มากกว่านี้แน่นอน”
สิงเยว่และคนอื่น ๆ สูดหายใจเฮือก ตกใจสะท้านโดยแท้จริง
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอยากพาชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ไปพบท่านยมราชพิพากษา!!
อีกฝ่ายเป็นผู้ใดแน่?
ไฉนชุยจิ๋งเหยี่ยนจึงให้ค่าเขาเพียงนี้?
ควรค่ากล่าวถึงว่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของพวกเขาอาจไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าพบยมราชพิพากษาชุยหลงเซี่ยง!
ซูอี้มองหญิงสาว ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ชุยหลงเซี่ยงเดินทางไปยังทะเลทุกข์แล้ว
ยามเมื่องานเลี้ยงใกล้จบ ประตูห้องที่ปิดอยู่พลันถูกผลักออกจากด้านนอก
“ผู้ใด?”
สิงเยว่หน้าเสีย และค่อนข้างรำคาญใจ
ที่แห่งนี้คือชั้นสูงสุดในหอเซียนเมา ตัวเขาจองมันไว้แล้ว ใครเล่าจะกล้าเข้ามารบกวน ณ ยามนี้?
เหล่าชายหญิงในหอต่างแสดงสีหน้าไม่ชอบใจ
ทว่าเมื่อรู้ว่าผู้มาเป็นใคร สิงเยว่และเหล่าหนุ่มสาวต่างอึ้งทึ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ
ผู้มาใหม่มีทั้งหมดห้าคน และผู้นำเป็นชายในชุดสีแดงเพลิงและมงกุฎขนนก
เบื้องหลังเขามีสองบุรุษหนึ่งสตรีติดตาม รวมถึงชายชราชุดเทาผู้หนึ่งซึ่งดูดาษดื่น มองข้ามได้โดยง่าย
ชายในชุดสีแดงเพลิงซึ่งนำขบวนอยู่กวาดตามอง จากนั้นก็เห็นชุยจิ๋งเหยี่ยนและหัวเราะร่า “ฮ่า ๆ แม่นางจิ๋งเหยี่ยนอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย!”
แววตา วาจาและท่าทางต่างเต็มไปด้วยการดูถูกแดกดัน
“ชวีหมิง เจ้าบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าหยาบคายมากหรือ?”
สิงเยว่ลุกขึ้นด้วยสีหน้ามึนตึงเล็กน้อย
ทว่าซูอี้ก็สังเกตว่ายามเผชิญหน้าชายชุดสีเพลิงนาม ‘ชวีหมิง’ ทั้งสิงเยว่และเหล่าหนุ่มสาวกลับดูระแวดระวังเล็กน้อย
“พี่ซู คนผู้นี้เป็นทายาทสายตรงจากตระกูลชวีโบราณ บรรพชนของเขาเป็นผู้ปกครองกรมนรกภูมิ ในโลกหล้าทุกวันนี้ ตระกูลชวีโบราณก็นับเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลยิ่งใหญ่ในภูมิมืดมิดด้วยเช่นกัน”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรีบส่งกระแสเสียง “บรรพชนของพวกเขา ‘ยมราชป่วนโลหิต’ ก็เป็นนักบุญหกวิถีเช่นเดียวกับบรรพชนของข้า”
หญิงสาวกล่าวพลางปรากฏสีหน้าเย็นชา
ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อย
“หยาบคาย?”
ชายในชุดสีแดงเพลิงชวีหมิงมองสิงเยว่ยิ้ม ๆ และกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “แม้ว่าเมืองครองนภาจะยังเป็นถิ่นตระกูลสิงของเจ้า แต่หากกล้าดูหมิ่นข้าเช่นนี้อีก ก็อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าแล้วกัน”
“อย่าลืมว่า ในการประชันระหว่างชนรุ่นเยาว์ ผู้อาวุโสเบื้องหลังเจ้าและข้าจะไม่เข้าพัวพัน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวหยอกล้อ “เมื่อไร้การปกป้องของตระกูล มันก็กลายเป็นแค่การวัดความสามารถบุคคล หากข้าอยากตีเจ้า ก็ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก”
สีหน้าของสิงเยว่พลันไม่น่าดู เห็นได้ชัดว่าถูกยั่วยุ
หนุ่มสาวในหอต่างเงียบงัน
ชวีหมิงกล่าวถูก ในหมู่ขุมกำลังสูงสุดในเขตราชาหกวิถี มีกฎอันไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งแต่โบราณ…
ว่าในการเผชิญหน้าของชนรุ่นเยาว์ ขอเพียงไร้ผู้ใดตาย ไม่อนุญาตให้ผู้ใหญ่ในตระกูลเข้าแทรกแซง!
“ชวีหมิง เจ้ามาที่นี่เพื่ออวดอำนาจต่อหน้าข้าหรือไร?”
ยามนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวอย่างเย็นชาไม่ได้
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยนอย่าเข้าใจผิด”
ชวีหมิงยิ้มและโบกมือ “ข้าเพียงมาที่นี่เพื่อกล่าวทักทายแม่นางจิ๋งเหยี่ยนเท่านั้น”
เขากล่าวพลางแสร้งทำเป็นบังเอิญเหลือบไปเห็นซูอี้และชายชราตาบอด ก่อนกล่าวว่า “สหายทั้งสองนี้ดูพิลึกนัก ไม่ทราบว่ามีที่มาสูงส่งเพียงไร?”
ซูอี้วางตะเกียบ ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ไปกันเถิด”
กลุ่มแขกไม่ได้รับเชิญทำให้เขาเสียความสนใจในการลิ้มลองอาหารเลิศรส และย่อมคร้านเกินกว่าจะอยู่ต่อ
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดลุกขึ้นทันที
เห็นเช่นนี้ สีหน้าของชวีหมิงก็แย่ลง ดูไม่ชอบใจนัก นี่หมายความเช่นไร? ไม่เห็นเขาในสายตาเลยหรือ?
“สหาย คุณชายบ้านข้าถามเจ้าอยู่!”
เบื้องหลังชวีหมิง มีชายวัยกลางคนร่างสูงผู้มีผิวสีทองแดงผู้หนึ่งในอาภรณ์กรุยกรายและศีรษะแววตาดุจเสือดาว
ร่างสูงของเขายืนขวางประตู ขณะจ้องมองซูอี้ด้วยสายตามุ่งร้าย ลึก ๆ ในสายตามีแววกระหายเลือด
บรรยากาศอันเป็นของผู้แข็งแกร่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณกดดันอย่างเป็นพิเศษ
ซูอี้เมินเฉยและก้าวต่อไปเบื้องหน้า
ตู้ม!!!
ร่างสูงของชายวัยกลางคนในอาภรณ์กรุยกรายราวละลิ่วล่องดั่งลูกศรดุจถูกคีรีทิพย์พุ่งชน กระแทกกับผนังซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ณ ฝั่งตรงข้ามเป็นเสียงทึบ ๆ สั่นสะท้านทั่วชั้นอย่างรุนแรง
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนในอาภรณ์กรุยกรายก็กระอักเลือดคำโต ใบหน้าซีดขาว เอียงคอ ร่างสิ้นแรงนิ่งไม่ไหวติง ตะลึงสติหลุดลอย!
สิงเยว่และคณะต่างอึ้งตะลึงตาเบิกกว้าง ซูอี้ผู้นี้ดุร้ายนัก!!
ชวีหมิงและคนอื่น ๆ ก็อึ้งเช่นกัน สีหน้ายากคาดเดา
พวกเขาย่อมรู้ว่าชายวัยกลางคนในอาภรณ์กรุยกรายเป็นคนเช่นไร แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพลังจากการก้าวเดินของซูอี้จะปราบชายวัยกลางคนผู้นั้นจนสลบไปได้
มันย่อมดูร้ายกาจเกินไปจริงแท้
ส่วนสำหรับชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอด มันไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย
“ชวีหมิง สมุนเจ้าช่างต่ำชั้นนัก หรือเพราะนายบ่าวนิสัยคล้ายกันนะ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเหยียดเยาะอย่างเย็นชา
ในขณะกล่าวเช่นนั้น หญิงสาวก็เห็นว่าซูอี้เดินออกประตูไปเป็นที่เรียบร้อย นางและชายชราตาบอดจึงรีบตามไป
“คุณชายรอง ต้องการหยุดมันหรือไม่?”
จู่ ๆ ชายชราผู้ดูสามัญธรรมดาก็ถามเบา ๆ
ชวีหมิงโบกมือด้วยสีหน้ามืดหมอง จากนั้นก็กล่าวกับชุยจิ๋งเหยี่ยนซึ่งกำลังคล้อยหลังไปว่า
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน ในเจ็ดวัน พ่อแม่และพี่ชายข้าจะไปเยือนตระกูลชุย และข้าเองก็จะติดตามไปด้วย อย่าได้หลบหน้าเสียเล่า!”
ร่างที่กำลังจากไปของชุยจิ๋งเหยี่ยนชะงักเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้หยุด
ไม่นานนัก กลุ่มของพวกเขาก็จากลับไป
“สิงเยว่ ชายหนุ่มและเฒ่าตาบอดเมื่อครู่เป็นใคร?”
ชวีหมิงหันมองสิงเยว่
“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย ? ไปกันเถอะ!”
สิงเยว่แค่นเสียงอย่างเย็นชา และออกจากหอไปพร้อมเหล่าหนุ่มสาวคนอื่น ๆ
ชวีหมิงขมวดคิ้ว ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้หยุดพวกเขา
ที่นี่คือเมืองครองนภา ที่มั่นของตระกูลสิงโบราณ แม้ว่าเขาจะดูถูกสิงเยว่นัก แต่ก็ไม่อาจต่อสู้กับสิงเยว่ที่นี่โดยไร้เหตุผลได้
ชวีหมิงหันไปกล่าวกับชายชราชุดเทาว่า “ลุงหวย เฒ่าตาบอดผู้นั้นใช่ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพหรือไม่?”
ชายชราชุดเทาพยักหน้าตอบ “น่าจะใช่”
เขากล่าวพลางกุมกำปั้นคำนับ “คุณชายรอง ข้าคิดจะไปหารายละเอียดเกี่ยวกับเฒ่าตาบอดขอรับ”
ชวีหมิงถาม “ลุงหวย ไฉนจึงอยากทำเช่นนี้?”
ชายชราชุดเทาเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “นี่คือคำสั่ง หากคุณชายรองต้องการทราบเหตุผล ขอเพียงไปถามท่านเจ้าตระกูล เขาจะได้ทราบเรื่องเอง”
ชวีหมิงอดแปลกใจไม่ได้ นี่… คือคำสั่งบิดาเขาหรือ?
“ลุงหวย ระวังตัวด้วย”
ชวีหมิงกล่าวเบา ๆ
“คุณชายรองอย่าห่วงไป”
ชายชราชุดเทาพยักหน้าก่อนจะหันหลังจากไป
เห็นเช่นนี้ ชวีหมิงก็อดถอนหายใจไม่ได้
ลุงหวยไม่ใช่ลูกน้องของเขา แต่เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิผู้หนึ่งในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น แม้จะติดตามเขา แต่อีกฝ่ายก็เป็น ‘อารักษ์มหาวิถี’ และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อฟังเขา
ชวีหมิงแน่ใจว่าต่อให้เขาปฏิเสธ ก็คงไม่สามารถหยุดลุงหวยไม่ให้ไปหาชายชราตาบอดได้
…
นอกเมืองครองนภา
ซูอี้และคณะของเขาเดินทางไปไกล
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ชวีหมิงไม่ได้หยุดเรา”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างเสียดายระหว่างทาง
ซูอี้อดยิ้มขำ ๆ ไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวคิดอยากยืมกำลังของเขาจัดการกับพวกชวีหมิง
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน ตัวตนเหล่านั้นไม่อาจได้อยู่ในสายตาคุณชายซูแม้แต่น้อย หากให้เขากวาดล้าง ย่อมเป็นการดูหมิ่นฐานะของคุณชายซู”
ชายชราตาบอดกล่าวยิ้ม ๆ
“ไม่หรอก มีตัวตนอันแข็งแกร่งอยู่ในหมู่พวกเขาซึ่งน่าจะอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น”
ซูอี้พลันกล่าวขึ้น
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดต่างประหลาดใจ
“หรือจะเป็นตาเฒ่าธรรมดา ๆ ผู้นั้น?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนคาดเดา
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “จะว่าไป ก่อนหน้านี้ชวีหมิงบอกว่าเขาและตระกูลจะไปเยือนบ้านเจ้าในเจ็ดวัน นี่หมายความเช่นไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนขมวดคิ้วกล่าว “ข้าก็ไม่รู้ แต่ไม่น่าใช่เรื่องดี เพราะนานมาแล้ว ตระกูลชุยของเรามีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับตระกูลชวี และจวบยามนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลเราก็เหมือนน้ำกับไฟ”
ซูอี้พยักหน้าและไม่ถามอีก
ทว่าเขาตระหนักดีว่าชวีป๋อหลิง ‘ยมราชป่วนโลหิต’ แห่งตระกูลชวีโบราณพ่ายแพ้ยับเยินด้วยมือของชุยหลงเซี่ยงเมื่อนานมาแล้ว และต้องจ่ายสินสงครามหนักหนา
ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลโบราณ ชุยและชวีเริ่มนับแต่ยามนั้น
วูบ!
ทันใดนั้น ค้างคาวสีดำตัวหนึ่งก็พุ่งลงมายังมือของชายชราตาบอด และแปรเปลี่ยนเป็นยันต์ลับพิลึกสีดำชิ้นหนึ่ง
ยันต์ท่องราตรี!
ก่อนหน้านี้เมื่อยามที่เขาอยู่ในเมืองครองนภา ชายชราตาบอดเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่ามีผู้ใดเหมือนจะจับตามองเขาซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ทว่าไม่อาจสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
ดังนั้น ชายชราตาบอดจึงใช้ยันต์ลับท่องราตรีในยามนั้น
“ที่แท้ก็มีมากกว่าหนึ่งคน…”
ชายชราตาบอดมีสีหน้าหม่นหมอง ขณะมองไปยังภาพที่ยันต์ท่องราตรีบันทึกไว้ และพบตัวตนอันน่าสงสัยที่สุดสามคน
หนึ่งคือนักพรตเต๋าหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งดื่มชาในร้านน้ำชา ขอทานเฒ่าผู้ขอทานอยู่บนถนน และชายร่างผอมเพรียวผู้ปะปนในฝูงชน
เมื่อซูอี้และคณะออกจากเมืองครองนภา ทั้งนักพรตเต๋าหญิงวัยกลางคน ขอทานเฒ่าและชายร่างผอมสูง สามคนที่ดูไม่เกี่ยวข้องกลับออกจากเมืองตามมาด้วยกัน!
ชายชราตาบอดบอกสิ่งที่พบแก่ซูอี้ทันที
“เช่นนั้นเราจะรอที่นี่”
ซูอี้เหลือบมองไปรอบ ๆ และตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ที่แห่งนี้คือหุบเขาอันไร้ผู้คน ห่างจากเมืองครองนภาหลายพันลี้
ขณะนี้เป็นยามเที่ยงวัน นภาสว่าง ทั่วหล้าเปี่ยมเมฆ ทัศนียภาพดุจภาพวาด
ซูอี้ ชายชราตาบอด และชุยจิ๋งเหยี่ยนมายังหุบผาแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มหยิบเก้าอี้หวายออกมานั่งใต้ต้นสนข้างผา และหลับตาลงอย่างแสนคร้าน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ทั้งฉุนทั้งขัน หน้าสิ่วหน้าขวานยังจะมาขี้เกียจอีก!
ชายชราตาบอดกระวนกระวายเล็กน้อย
คนทั้งสามนั้นมีที่มาเช่นไร และไฉนจึงมาเพ่งเล็งเขา?