บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 808: สำนักนภายมโลก
ตอนที่ 808: สำนักนภายมโลก
ตอนที่ 808: สำนักนภายมโลก
ในวันแรกนับแต่กลับคืนสู่ภูมิมืดมิด ชายชราตาบอดก็กังวลว่าฐานะของเขาจะรั่วไหล และอาจนำมาซึ่งหายนะอันไม่อาจคาดเดา
เพราะถึงอย่างไร อาจารย์ของเขาอู่จั้ง ‘นายแห่งโลงศพโลหิต’ ก็ถูกผีหมัวฆ่า
ขอเพียงเรื่องแดงออกไปว่าเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพปรากฏขึ้นอีกครั้งในภูมิมืดมิด มันจะนำมาซึ่งโชคเคราะห์อันไม่อาจคาดเดา
ทว่าซูอี้กลับกล่าวว่าไม่ต้องใส่ใจว่าจะถูกพบตัวหรือไม่
ในทางกลับกัน เขาจะสามารถฉวยโอกาสนี้มองว่าผู้ใดตามล่าเขา มีพื้นเพและจุดประสงค์อย่างไร
บางทีอาจจะสามารถขุดหาเบาะแสอันมีค่าได้
และยามนี้ เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะถูกจัดขึ้น!
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างหมดความอดทนเล็กน้อย “หากคนเหล่านั้นไม่เผยตัว เราไม่รอเก้อหรือ?”
ณ ขณะนี้ ซูอี้ลืมตาขึ้นและพลันมองไปบนท้องนภาอันห่างไกล
ฝูงนกโผบินผ่านน่านฟ้าสู่ขุนเขาไกลออกไป กำลังส่งเสียงร้องดังกังวานใส
แต่เดิม ภาพเหล่านี้เห็นได้ทั่วไปตามป่าเขา
ทว่าเมื่อซูอี้เห็นเช่นนี้ เขาก็กล่าวว่า “พวกเขาอยู่แถว ๆ นี้แหละ แต่ดูเหมือนจะมาแค่สะกดรอย ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม”
ดวงตางามงดของชุยจิ๋งเหยี่ยนทอประกาย พลางกล่าวว่า “งั้นถ้าเราชิงลงมือก่อนเล่า?”
ชายชราตาบอดอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “รอเดี๋ยว ในเมื่อพวกเขาเป็นสายสืบ พวกเขาจะรายงานต่อขุมกำลังเบื้องหลังแน่นอนว่าพบสิ่งใด บางที… อาจไม่นานก่อนที่ปลาใหญ่ตัวจริงจะมาติดกับ”
เขาหลับตาลงอีกครั้ง รับสายลมหุบเขาโชยและแสงแดดจากฟากฟ้า ร่างของเขาดูราวจมดิ่งสู่ภวังค์ แสนสบายและเกียจคร้าน
แสงแดดอุ่นกำลังดี เหมาะแก่การงีบหลับพักผ่อน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดก็อดอิจฉาสภาพจิตใจไม่ยึดติดของซูอี้ไม่ได้
ในขณะเดียวกัน…
ไกลออกไป นกตัวหนึ่งกระพือปีกร่อนลงเกาะบนโขดหินท่ามกลางหมอก จากนั้นมือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาคว้ามันไว้
เมื่อหมอกสลายไป จึงเผยให้เห็นร่างของนักพรตหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ปลายนิ้วของนางกรีดเปิดหัวของเจ้านกน้อยเหมือนดั่งมีด เม็ดโลหิตดุจเมล็ดถั่วเหลืองหยดลงมาสู่มือของนาง
หลังจากมองไปรอบ ๆ สักครู่ นักพรตหญิงวัยกลางคนก็เห็นภาพจากเม็ดเลือด และเห็นพวกซูอี้พักผ่อนที่ริมผา
นักพรตหญิงวัยกลางคนดูจะถอนหายใจโล่งอก และกล่าวว่า “โชคดีที่พวกเขายังคงอยู่ในมหาคีรีเร้นเมฆานี้ เราไม่ได้คลาดสายตา เฉียนจิ่ว เจ้าไปบอกเหล่าผู้อาวุโสถึงสถานการณ์ยามนี้ที”
“ได้”
ท่ามกลางม่านหมอก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งขึ้น
เขาหยิบยันต์ลับขึ้นมาและพึมพำข้อความออกมา จากนั้นสักพัก เพลิงทิพย์ก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของเขาขึ้นสายหนึ่ง ก่อนที่มันจะแผดเผายันต์ลับชิ้นนั้นเป็นผุยผง
“นักพรตหญิงเฟิง เจ้าคิดว่าใต้เท้าจะมาถึงหนใดแล้ว?”
ชายผู้มีรูปร่างผอมสูงนามว่าเฉียนจิ่วถามเบา ๆ
“ด้วยมหาวิถีและการก้าวย่างของใต้เท้า หากออกแรงสุดฝีมือ เขาน่าจะมาถึงเมืองครองนภาแล้ว”
คำตอบนั้นแหบแห้งเย็นชา
ขอทานเฒ่าผู้สวมชุดซอมซ่อและหนวดเครายุ่งเหยิงนั่งลงในม่านหมอก พลางดื่มจากน้ำเต้ามันเลี่ยน
“งั้นก็รับมือง่าย”
เฉียนจิ่วผ่อนคลาย “เฒ่าตาบอดผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพและคุณหนูใหญ่ตระกูลชุยรับมือยากจริงแท้ ทว่าขอเพียงใต้เท้ามาถึง จะต้องมีทางรับมือเป็นแน่”
“แปลกแท้ หลังจากหายไปร้อยกว่าปี ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพก็ปรากฏขึ้นบนโลกอีก ไม่กลัวถูกทำร้ายหรือไร?”
นักพรตหญิงเฟิงขมวดคิ้วกล่าว
เฉียนจิ่วครุ่นคิด “บางทีเขาอาจคิดว่าภูมิมืดมิดทุกวันนี้คงไม่มีผู้ใดใส่ใจการตายของนายแห่งโลงศพโลหิตอีกต่อไปแล้วกระมัง”
ขอทานเฒ่ากล่าว “อาจเป็นไปได้ด้วยว่าเฒ่าตาบอดผู้นี้อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในภูมิมืดมิดทุกวันนี้ยังมีขุมกำลังมากมายที่ให้ความสนใจกับเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพของพวกเขาอยู่”
ขณะกล่าวกับตนเอง เฉียนจิ่วพลันนำหยกสีเขียวอมฟ้าออกมาชิ้นหนึ่ง มันกำลังเรืองแสง และข้อความหนึ่งสะท้อนออกมา
หลังจากอ่านข้อความจบ เฉียนจิ่วก็กล่าวอย่างปีติ “ใต้เท้าส่งข้อความมาว่า เขาจะมาถึงมหาคีรีเร้นเมฆาในอีกครึ่งชั่วยาม!”
นักพรตหญิงเฟิงและขอทานเฒ่าต่างใจชื้น
กาลเวลาเคลื่อนผ่านทีละน้อย
ณ ข้างหุบผา ซูอี้ซึ่งอยู่บนเก้าอี้หวายพลันลืมตา ยืดเส้นสายและกล่าวเบา ๆ “ในที่สุดก็มาแล้ว”
วาจายังไม่ทันสลายหาย ทะเลเมฆาไกลออกไปบนนภาพลันสั่นไหวเล็กน้อย และทั่วหล้าพลันเงียบสงัด
ทั้งเสียงสกุณาขับขาน เรไรระงมและเสียงเสียดสีของใบสน… ทั้งหมดนี้ดูจะหายไปอย่างพร้อมเพรียง ตามด้วยบรรยากาศกดดันหดหู่แผ่ทั่วนภาพิภพทั่วอาณาบริเวณ
ท้องนภาซึ่งแต่เดิมสว่างไสวหม่นรัศมีลงมากมาย
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดตกใจอย่างไม่อาจอธิบาย ร่างหนาวเยือก
วิถีลึกล้ำเหมือนเช่นนภาสรวง จักรพรรดิเหมือนเช่นเทพเจ้า
เมื่อตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิปรากฏ ทั่วโลกหล้าจะได้รับผลจากบรรยากาศรอบตัวเขา!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายามนี้ จักรพรรดิผู้หนึ่งกำลังมา!
“เมฆากำลังเลือนหาย ขุนเขางามตระการ สหายเต๋าทั้งสามตรงนั้นกำลังชมทัศนียภาพอยู่หรือ?”
น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยหนึ่งดังกังวานก้องนภาหล้าดุจเสียงระฆังยามเช้าและเสียงกลองยามเย็น เป็นอำนาจที่เข้าถึงหัวใจผู้คนได้โดยตรง
ณ ทะเลเมฆาที่อยู่ไกลออกไปพลันแหวกเปิดทางเดินเป็นเส้นตรง และสุดทางปรากฏชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีน้ำเงินผู้หนึ่งก้าวออกมา
เขามีเส้นผมยาวขมวดเป็นมวย ใบหน้าดุจมกุฎหยก หนึ่งมือไพล่หลัง อีกหนึ่งมือถือขลุ่ยหยก
เบื้องหลังเขามีคนอยู่สามคน คือนักพรตหญิงเฟิง เฉียนจิ่วและขอทานซอมซ่อ
เมื่อพวกเขาปรากฏกาย ขุนเขาลำธารดูจะถูกปกคลุมด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น ทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดรู้สึกไร้ทางหนีหรือขัดขืน
ราวกับชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินนี้จะเป็นผู้ปกครองโลกา ทั่วหล้าฟ้าดินยอมสยบแทบเท้า!
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย ปัดใบสนที่ร่วงลงบนเสื้อผ้า และยามนั้นเองเขาก็หันไปกล่าวกับชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินว่า “แม้ทัศนียภาพที่นี่จะดี แต่ก็ไม่สู้ได้พบผู้ที่รอคอยหรอก”
ขณะนั้น ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินก็มาถึงหุบผา
ยามเมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินก็กล่าวอย่างแปลกใจ “ทั้งสามกำลังรอเราอยู่หรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ถูกต้อง”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินกล่าวทั้งรอยยิ้ม “เช่นนั้นพวกเจ้าก็รู้จุดประสงค์ที่เรามาที่นี่แล้วหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “แม้ข้าจะรู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อใคร แต่ก็ยังมีเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจกล่าวออกมาหรือไม่”
เขาเยือกเย็นสุขุม ไร้ร่องรอยความกังวล ทำให้นักพรตหญิงเฟิงและพวกเฉียนจิ่วต่างตะลึงงัน
ในอดีต พวกเขาให้ความสนใจเพียงชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยน จึงเมินซูอี้ไปเสียสนิท ทว่ายามนี้พวกเขาพลันตระหนักว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ดูรับมือยากนัก
ควรค่ากล่าวถึงว่าใต้เท้าตรงหน้าพวกเขาเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!
ทว่าซูอี้กลับไร้ความหวั่นเกรงกังวลแม้เพียงน้อย ทั้งยังกล่าววาจาอย่างอิสระ พวกเขาจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินเผยสีหน้าแปลกใจเช่นกัน และยิ้ม “หากไม่เข้าใจสิ่งใด ก็ลองว่ามา”
ซูอี้กล่าวตรง ๆ “ไฉนพวกเจ้าจึงต้องการตามหาผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพด้วย?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินอดตะลึงไม่ได้
แต่เดิม พวกเขาคิดว่าซูอี้คงสงสัยเกี่ยวกับที่มาของพวกเขา และจะขอให้แสดงตน ทว่าผู้ใดเล่าจะคิดว่าอีกฝ่ายดูไม่สนใจที่มาที่ไปของพวกเขาแม้แต่น้อย!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินก็กล่าวทั้งที่ยังยิ้มว่า “นี่เป็นความลับที่แพร่งพรายไม่ได้ หากต้องการทราบ เจ้าและผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพคงต้องกลับไปด้วยกันกับข้า และข้าก็จะแถลงไขให้กระจ่างเอง”
ซูอี้แค่นเสียงหึ กล่าวว่า “จะไปหนใดเล่า?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินกล่าวว่า “เมื่อไปถึง เจ้าก็จะเข้าใจเอง”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนแทบกลอกตายามได้ยินเช่นนี้ อดพึมพำไม่ได้ว่า “น้ำลายท่วมทุ่ง ไร้สาระจริงแท้!”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินไม่ได้รำคาญใจ เขาทำเพียงยิ้มและก้มหัวลงกล่าว “อย่าได้แปลกใจเลยแม่นางชุย ข้ามาที่นี่เพื่อสหายเต๋าผู้นี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นจากนี้ ข้าจะไม่มีทางให้เรื่องวันนี้ทำให้แม่นางเข้ามาพัวพันแน่นอน”
จากนั้น เขาก็ชี้ไปที่ชายชราตาบอด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินรู้ฐานะของชุยจิ๋งเหยี่ยนแล้ว แม้ว่าการวางตนของเขาจะดูสุภาพ ทว่าเขาก็ดูแข็งกร้าวมากเช่นกัน ไม่ยอมทิ้งจุดประสงค์ของตนเพียงเพื่อชุยจิ๋งเหยี่ยน!
ดวงตาพร่างดาวของชุยจิ๋งเหยี่ยนฉายประกาย ก่อนกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นไฉนจึงไม่กล้าบอกที่มาที่ไปเล่า?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ที่มาของข้า หลังจากแม่นางชุยกลับถึงตระกูลไปสอบถาม ก็จะพบเองว่าไม่มีสิ่งใดต้องหลบซ่อน”
หลังชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “นามของข้าคือหร่านเทียนเฟิง และคนทั้งสามเบื้องหลังข้าต่างก็มาจากสำนักนภายมโลกเช่นเดียวกับข้า”
สำนักนภายมโลก!
สีหน้าของทั้งชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เหตุผลคือ สำนักนภายมโลกเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งใน ‘ดินแดนนภายมโลก’ หนึ่งในหกเขตสามแดนดิน พื้นหลังโบราณของมันกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มขุมกำลังเต๋าอันดับสูงสุดในภูมิมืดมิด ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าโถงหลงลืมและวังธารเหลืองเลย
ในทางกลับกัน ซูอี้ดูสงบเงียบที่สุด
นับแต่การปรากฏของชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินผู้อ้างว่าตนชื่อหร่านเทียนเฟิง เขาก็ทราบแน่ถึงอาจารย์ของอีกฝ่ายได้จากบรรยากาศของอีกฝ่ายแล้ว
นี่ยังเป็นอีกสาเหตุที่ซูอี้คร้านเกินกว่าจะถามที่มาของอีกฝ่าย
ซูอี้ไม่ได้ห่างเหินกับขนบจารีตในสำนักนภายมโลกแต่อย่างใด พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนปีศาจซึ่งมีถิ่นฐานในภูมิมืดมิด และดำเนินตามวิถี ‘ฝึกฝนกายเนื้อ’
มรดกสูงสุดของกลุ่มเต๋านี้มีนามว่า ‘เคล็ดนภายมโลกเก้าแปร’ และนับได้ว่าเป็นกลุ่มเต๋าอันดับหนึ่งด้านการฝึกฝนกายเนื้อแห่งโลกหล้า
กลุ่มเต๋านี้จะรับเพียงผู้ฝึกตนปีศาจเท่านั้น และผู้ก่อตั้งสำนักนี้อย่าง ‘จักรพรรดิปีศาจนภายมโลก’ ก็ลือกันว่าเป็นสัตว์ร้ายบรรพกาลอันหาได้ยากยิ่ง นั่นก็คือ ‘วานรชาด’!
ในอดีตชาติ เมื่อครั้งที่ซูอี้เดินทางสู่ภูมิมืดมิด รอยเท้าของเขาปกคลุมทั่วหกเขตสิบสามแดนดิน และยังเคยเข้าไปในสำนักนภายมโลก ประมือกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักนภายมโลก ณ ขณะนั้น ‘เสวียนหุนจื่อ’ ด้วยตนเองมาก่อน
เสวียนหุนจื่อพ่ายโดยไม่ต้องลุ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจะไม่ทราบที่มาของหร่านเทียนเฟิงได้เช่นไร?
“เท่าที่ข้ารู้ ระหว่างสำนักนภายมโลกและเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพไร้ความแค้นใดต่อกัน หรือการกระทำในยามนี้ของพวกเจ้าจะเป็นภายใต้คำสั่งผู้อื่น?”
ซูอี้พลันถาม
“ช่างน่าขัน ใครเล่าบนโลกนี้จะสั่งการสำนักนภายมโลกของข้าได้?”
นักพรตหญิงเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา
ทว่านางไม่ได้สังเกตว่ายามได้ยินวาจาของซูอี้ จักรพรรดิหร่านเทียนเฟิงสะดุ้งตกใจไปชั่วขณะ และเผลอหรี่ตาลง