บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 809: กฎสวรรค์เทียบหล้า
ตอนที่ 809: กฎสวรรค์เทียบหล้า
ตอนที่ 809: กฎสวรรค์เทียบหล้า
หร่านเทียนเฟิงอดมองซูอี้อีกครั้งไม่ได้
ชายหนุ่มในชุดสีเขียวผู้นี้แปลกเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่เพียงในวิถีวิญญาณ แต่กลับดูคาดการณ์ทุกสิ่งไว้หมดแล้ว
ยิ่งกว่านั้น นับแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจที่มา ฐานะ หรือกระทั่งการฝึกฝนของพวกเขาเลย!
สำหรับหร่านเทียนเฟิงผู้เหยียบย่างสู่ระดับจักรพรรดิมาช้านาน และมีวิถีเต๋าอยู่ในขั้นต้นของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ เขาไม่ได้ประสบเรื่องเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว
ตัวตนผู้อยู่ใต้ขอบเขตจักรพรรดิเป็นดั่งมด
และยามใดกันที่มดหาญกล้าถึงเพียงนี้?
เว้นแต่ผู้สนับสนุนเบื้องหลังชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จะแข็งแกร่งสุดยอดจนทำให้เขามีความมั่นใจมากพอ จนไม่กลัวเกรงตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิเช่นเขา!
หลังจากครุ่นคิดแล้ว หร่านเทียนเฟิงก็กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวพันอันใดกับสหายเต๋า ขอเพียงเจ้าไม่สอดมือเข้าแทรกแซง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าแม้แต่นิดเดียว”
วาจานั้นสุภาพมากดุจดั่งที่เขากล่าวกับชุยจิ๋งเหยี่ยน
ทว่าการวางตัวกลับแข็งกร้าวไม่ต่างกัน ครานี้เขาจะต้องนำตัวชายชราตาบอด ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพไปให้จงได้!
ซูอี้เก็บเก้าอี้หวายและกล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าก็ลองดูสิ ว่าจะพาเขาไปใต้สายตาข้าได้หรือไม่?”
นักพรตหญิงเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างตื่นตะลึง คงไม่มีตัวตนใดในวิถีวิญญาณเย่อหยิ่งพอจะกล้าทำเช่นนี้ยามเผชิญหน้าจักรพรรดิเยี่ยงคนผู้นี้อีกแล้วกระมัง?
ขอทานซอมซ่อระเบิดหัวเราะด้วยโทสะในพลัน และกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม เราสุภาพมากแล้วนะ และหากเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้ต่อ เราคงต้องไม่สุภาพบ้างแล้ว!”
ซูอี้เมินพวกเขาไปอย่างสมบูรณ์
เขาทำเพียงหันไปกล่าวกับหร่านเทียนเฟิงว่า “กล้าหรือไม่?”
สามถ้อยพยางค์นี้ ในสายตาของพวกนักพรตหญิงเฟิงช่างฟังดูยั่วยุเหลือทน
ดูราวกับมดน้อยกำลังโต้เถียงกับเทพเซียนบนสวรรค์ เกินกำลังตนเอง
กระทั่งหร่านเทียนเฟิงยังขมวดคิ้วแล้วหัวเราะลั่น “ลืมเสียเถิด ข้าจะยอมลงให้สหายเต๋าสักหน่อยแล้วกัน”
เขารู้สึกมากขึ้นทุกขณะว่าซูอี้มีประวัติไม่ธรรมดา
ทว่า ในฐานะจักรพรรดิผู้หนึ่ง เขาไม่อาจกลัวจนต้องถอยเพราะเหตุนี้ และเขาก็แค่โจมตีสั่งสอนอีกฝ่ายสักหน่อย หลังจากลิ้มรสความเจ็บปวด อีกฝ่ายก็จะก้มหัวอย่างเชื่อฟังไปเอง!
“เชิญ!”
หร่านเทียนเฟิงถือขลุ่ยหยกด้วยหนึ่งมือ และใช้อีกมือผายเชื้อเชิญ
เมื่อเห็นเช่นนี้ นักพรตหญิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ถอยหลังหลบ ทว่าสายตาที่มองซูอี้นั้นเต็มไปด้วยความสงสาร
ชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยนเองก็ก้าวถอย
สายตาของทั้งสองคนมองหร่านเทียนเฟิงอย่างแปลกพิกล
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หากไม่ลงมือเต็มกำลัง เจ้าจะรังแต่แพ้เร็วขึ้นนะ”
วาจายังไม่ทันสิ้น ซูอี้ก็ก้าวมาเบื้องหน้าโดยไม่ลังเล
ภายใต้แสงจากสรวง ร่างสูงของชายหนุ่มก้าวย่างมั่นคงหนึ่งก้าว ชายเสื้อสะบัดไหว
ตู้ม!
ห้านิ้วหดเข้าหาฝ่ามือ ชกรอยประทับหมัดออกไป
มันดูราวกับประกายแสงสีฟ้าเปล่งออกมากะทันหัน บดขยี้สุญญะและพุ่งแสงสว่างไสวขึ้นไปยังกลางสวรรค์ชั้นเก้า
ทันใดนั้น สีหน้าแปลกใจก็ปรากฏบนใบหน้าของหร่านเทียนเฟิง
จากวิถีเต๋าและประสบการณ์ต่อสู้ของเขา เขาสังเกตเห็นความน่ากลัวของหมัดนี้อันไม่น่าเชื่อได้ทันที
เกินกว่าจะจินตนาการได้ว่านี่คือพลังที่ชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณจะสามารถสำแดงออกมา
ทว่า แม้ว่าในใจของหร่านเทียนเฟิงจะตกตะลึง แต่การตอบสนองของเขาก็ไม่ได้ช้า เขาสะบัดแขนเสื้อเข้าเผชิญกับหมัดนี้
ตู้ม!!!
คลื่นอำนาจทำลายล้างแผ่ออกจากจุดที่ทั้งคู่ปะทะกัน
ศิลาพฤกษาบนเขาล้วนระเบิดเป็นชิ้น ๆ แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นผง ทั่วขุนเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นถึงถล่มลงมาแตกสลาย
ท่ามกลางม่านฝุ่นควัน ร่างผอมบางของหร่านเทียนเฟิงโซเซรุนแรง แทบยืนไม่อยู่!
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคลือบแคลง
ช่างเป็นหมัดที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!
พลังระดับนี้เหนือชั้นกว่าขอบเขตวงล้อวิญญาณโดยสมบูรณ์ ทั้งยังแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์!
เมื่อนักพรตหญิงเฟิงและคนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ คางของพวกเขาก็แทบกระแทกพื้น คนผู้นี้ทำให้ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิสะท้านได้เช่นไร?
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หุบเขาพังทลาย สี่ทิศสั่นสะเทือน ทุกผู้ต่างยืนบนอากาศ
ในขณะเดียวกัน ร่างของซูอี้ก็ปรากฏยังทะเลเมฆาใต้ผืนฟ้า และกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “มาสู้กัน!”
“ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นผู้มองผิดพลาดจริงแท้ ไม่คาดเลยว่าสหายเต๋าในวิถีวิญญาณจะเป็นยอดคนผู้ท้าทายสวรรค์เช่นนี้”
ยามเมื่อหร่านเทียนเฟิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ก้าวออกมายืนตรงหน้าซูอี้ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง
อาภรณ์สะบัดไหว ดวงตาทอแสง ปราณระดับจักรพรรดิเคลื่อนคล้อย อำนาจมหาศาลกดดันทะเลเมฆารอบข้าง
“เชิญ!”
หร่านเทียนเฟิงกล่าวอีกครั้ง
ทว่าเมื่อเทียบกับครั้งก่อน จักรพรรดิแห่งสำนักนภายมโลกได้ใช้อำนาจที่แท้จริงปกคลุมนภาตะวันแล้วแน่แท้!
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็พยักหน้าน้อย ๆ
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ถูกเรียกออก และปราณของซูอี้เองก็แปรเปลี่ยน
เสียงครวญกระบี่ดังกังวานขณะชักดาบออก
ตู้ม!
พื้นที่รอบข้างสั่นไหว ภาวะดาบยิ่งใหญ่กว้างขวางดุจนภาครามกวาดลงสยบหล้าด้วยอำนาจไร้เทียมทาน
ภาวะดาบเรืองรองถล่มแดนดิน
เมื่อเห็นภาพนี้จากไกล ๆ พวกนักพรตหญิงเฟิงต่างตะลึงกลัว ยามนี้เองที่พวกนางตระหนักว่าตนประเมินชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณผู้นี้ต่ำไปโดยสมบูรณ์เมื่อกาลก่อน!
หากให้ถามตนเอง เป็นพวกนางมาแทนเขา พวกนางคงไม่อาจหยุดดาบเช่นนี้ได้!
“พี่ซูก้าวสู่ขั้นปลายของขอบเขตสยายวิญญาณแล้ว ดาบของเขาน่ากลัวยิ่งกว่ายามกดดันนักบวชลำดับสามอีก…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพึมพำกับตนเอง
หญิงสาวเองก็ตกใจเช่นกัน
“ดี!”
หร่านเทียนเฟิงส่งเสียงผิวปากยาว เก็บขลุ่ยหยกในมือ และร่างผอมบางของเขาพลันขยายขึ้น ใหญ่โตสูงตระหง่านดุจภูผากลางสายลม โลหิตและปราณสูบฉีดไร้ขอบเขต
จู่ ๆ ร่างของเขาก็ดูจะแปรไปเป็นเทพปีศาจ เพียงหายใจเฉย ๆ ก็เพียงพอให้สุญญะสั่นคลอน บรรพตลำธารกระฉอกเคลื่อน
ตู้ม!
หร่านเทียนเฟิงเหวี่ยงหมัดส่งลำแสงวิถีสีดำออกไปเป็นคลื่นฉีกกระชากเวหา แรงหมัดเช่นนี้ดูจะสามารถบดขยี้ทั่วสารทิศ
เมื่อกำปั้นและปราณดาบมาประชัน ฟ้าดินก็คำรามลั่น ปราณดาบนับไม่ถ้วนกวาดผ่าน ลำแสงทิพย์เจิดจ้าจรัสแสง
การปะทะนี้สั่นสะเทือนไปทั่วรัศมีหลายพันจั้ง สร้างเป็นภาพโลกาสะเทือนคลอนอันน่าหวาดหวั่น!
นักพรตหญิงเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกไม่อยากเชื่อในการประชันอันสูสีนี้ หร่านเทียนเฟิงยังไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ก็ถูกพลังจากดาบของซูอี้กระแทกใส่!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดตะลึงงัน
ยามใดกันที่ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณสามารถต่อกรกับจักรพรรดิได้!?
หร่านเทียนเฟิงเองก็มีปฏิกิริยา สีหน้ายากอ่าน เมื่อตระหนักถึงความแข็งแกร่งของซูอี้ ความดูแคลนบางส่วนในใจมลายหาย กลายเป็นความจริงจัง
ควับ!
ซูอี้โจมตีด้วยดาบ ทว่ากลับไม่เคยปล่อยมันห่างมือ
เพราะถึงอย่างไร คู่ต่อสู้ก็เป็นจักรพรรดิผู้ใช้ร่างเนื้อพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ
นี่ทำให้ซูอี้ไม่กล้าบุ่มบ่าม และไม่ได้ยั้งมือยามประลอง!
สงครามบังเกิด
ปราณดาบละล่องท่องสุญญะ บางคราเหมือนพายุคลั่งซัดสาดตลิ่งธาราสวรรค์ บางคราก็หนาแน่นแข็งแกร่ง และบางคราก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งเจิดจรัสไร้ใดเทียบฉวัดเฉวียน
ปราณดาบทุกสายเต็มไปด้วยพลังมหาวิถีอันลึกล้ำเกินคาดเดา และยังสื่ออย่างเต็มที่ถึงที่มาอันน่าหวาดหวั่นของร่างขั้นปลายขอบเขตสยายวิญญาณของซูอี้
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็เหมือนเทพเซียนจากสวรรค์ร่ายรำดาบ อำนาจศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนโลกา!
หร่านเทียนเฟิงก็ไม่ได้ออมมือเช่นกัน
แม้เขาจะใช้มือเปล่า แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนกายเนื้อ ร่างของเขาเทียบได้กับคมอาวุธวิเศษ ทุกการเคลื่อนไหวของเขามีอำนาจพอจะแผดเผาขุนเขา ทำให้ทะเลเดือด พลิกโลกากลับด้านได้
เมื่อเขาลงมือโจมตี แสงวิถีสีดำก็พลุ่งพล่านเร่งเร้า ชั้นภาพจำแลงเทพปีศาจปรากฏ แข็งแกร่งอหังการ
ตู้ม! ตู้ม!
หุบเขาน้อยใหญ่ถล่มสลาย ก้อนหินพฤกษาสลายเป็นเถ้า ทั่วเขตโลกหล้าปั่นป่วนโดยสมบูรณ์ หินทรายกระเด็นกระดอน ท้องนภามืดหม่น
ภาพนั้นดูดุจดั่งวันสิ้นโลก
“นั่น… เป็นพลังที่ขอบเขตสยายวิญญาณมีได้จริง ๆ หรือ?”
ใบหน้างามของนักพรตหญิงเฟิงซีดขาวอย่างตกใจกลัว
ขอทานซอมซ่อและเฉียนจิ่วมือเท้าสั่น รู้สึกราวความรู้ความเข้าใจถูกทำร้ายรุนแรง
“คนผู้นี้มาจากหนใดกัน ฝึกฝนวิถีเต๋าแบบใด ภูมิหลังและภาวะดาบเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
ในขณะเดียวกัน หร่านเทียนเฟิงผู้กำลังทำศึกก็รู้สึกราวมีพายุพัดโหมในใจ
ในฐานะจักรพรรดิ เขาก็ได้เห็นตัวตนมากมายอันท้าทายอำนาจสวรรค์ในชั่วชีวิต ทว่านี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณซึ่งสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเช่นเขาได้!
ไม่ว่าอารมณ์ของเขาจะมั่นคงเพียงไร ก็ยากจะสงบลงได้ ณ ยามนี้
สิ่งที่ทำให้หร่านเทียนเฟิงหนาวเยือกในใจยิ่งกว่าก็คือ เมื่อศึกดำเนิน ไม่ว่าเขาจะใช้พลังสุดแรงหรือแสดงเคล็ดวิชาการฝึกฝนร่างเนื้อออกมาอย่างไร ทุกอย่างล้วนไร้ผลต่อซูอี้
ในทางกลับกัน ตัวเขาเองกลับถูกวิชาดาบของซูอี้ปราบลงทีละขั้น กระทั่งรู้สึกไร้หนทาง!
“จะเป็นเช่นนี้ได้เช่นไร? สัตว์ประหลาดน้อยท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนี้มาปรากฏในภูมิมืดมิดตั้งแต่ยามใด? มีที่มาเช่นไร และเหตุใดเขาจึงมีวิถีเต๋าน่าหวาดหวั่นเพียงนี้?”
หร่านเทียนเฟิงเพิ่งคิดเช่นนี้
ฉัวะ!
ปราณดาบสายหนึ่งก็พุ่งเฉือนเนื้อที่บ่าของเขาออกหนึ่งชิ้น โลหิตทะลักไหล
หากเขาหลบไม่ทันกาล ดาบนี้คงตัดแขนเขาไปแล้วหนึ่งข้าง!
หร่านเทียนเฟิงเปลี่ยนสีหน้าโดยสมบูรณ์ ดวงตาเบิกกว้าง ความคิดซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนโผล่มาในใจ…
หรือข้าจะยังถูกชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณปราบลงได้อยู่?
หร่านเทียนเฟิงสูดหายใจลึก ๆ ทิ้งความคิดวอกแวก และใช้เคล็ดวิชาก้นหีบโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
ร่างของเขาพลันขยาย แปรเปลี่ยนเป็นเทพปีศาจสูงร้อยจั้ง แบกคู่ปีกยาวสิบจั้ง เกล็ดสีดำงอกทั่วร่างหนาแน่น
เหนือศีรษะปรากฏเงาสีดำดุจใบดาบคมกริบ
สายฟ้าสีเลือดอันน่าหวาดหวั่นฟาดลงบนร่างสูงร้อยจั้งของเขาดุจน้ำตก โลกาเต็มเปี่ยมด้วยปราณทำลายล้าง
อากาศรอบข้างถูกถล่มโดยสายฟ้าสีเลือด ก่อเกิดเป็นรอยแตกไหม้เกรียมน่าตกใจนับไม่ถ้วน!
“นี่…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดหน้าซีด สัมผัสได้ถึงปราณอันตรายถึงตายแผ่มายังพวกเขา
“เคล็ดนภายมโลกเก้าแปร… กฎสวรรค์เทียบหล้า!”
นักพรตหญิงเฟิงและคณะต่างแสดงสีหน้าทั้งตื่นเต้นและตะลึง
นี่คือเคล็ดวิชาสูงสุดในสำนักนภายมโลก เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนกายเนื้อเพื่อกระตุ้นพลังแฝงในสายเลือดของร่าง เมื่อใช้มัน ความแข็งแกร่งของร่างกายจะพุ่งทะยาน!
และยังสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหลือเชื่อมากมาย!
“ที่แท้ก็เป็น ‘วิหคโลหิตยมโลก’ นี่เอง… ทว่าเคล็ดกฎสวรรค์เทียบหล้าเช่นนี้กลับถูกฝึกฝนถึงเพียงร้อยจั้ง เทียบไม่ได้กับกระทั่งเมืองเล็ก ๆ อย่างน้อยก็เป็นแค่ผู้เริ่มต้น…”
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ลอบส่ายหน้า
เขายังคงจำได้ว่าในอดีตชาติ เมื่อสมัยปรึกษาวิถีกับบุคคลอันดับหนึ่งในสำนักนภายมโลก ‘เสวียนหุนจื่อ’ คนผู้นั้นสามารถแปรร่างสูงหมื่นจั้งได้ในทันที!