บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 81 กลิ่นอายแห่งดาบเก้าคุมขัง
ตอนที่ 81: กลิ่นอายแห่งดาบเก้าคุมขัง
ในชาติที่แล้ว ซูอี้ไม่เคยเปิดผนึกเก้าชั้นของดาบเก้าคุมขังสำเร็จมาก่อน
ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวก่อนกลับชาติมาเกิด คือเขาสัมผัสได้ถึงพลังจากดาบเก้าคุมขัง ส่งผลให้เขาสร้าง ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ ซึ่งเป็นเคล็ดขัดเกลาวิญญาณขึ้นมาได้
และสิ่งที่เขามั่นใจได้ก็คือ ความล้ำลึกของ ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ ไม่ได้ด้อยไปกว่า ‘พระสูตรบงกชเบิกมรรคาสวรรค์’ และไม่อยู่ใต้ ‘เคล็ดวิชาแดนเทพนิรันดร์วิญญาณครามเลิศภพ’
มันคือวิชาที่เลิศล้ำกว่าสองวิชาดังกล่าว!
นี่คือความมั่นใจจากผู้ที่เคยได้รับสมญานามปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
แต่สิ่งที่ทำให้ซูอี้ลังเลก็คือ ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ ยังไม่สมบูรณ์ เนื้อหาของมันขณะนี้ฝึกฝนได้แค่ถึงช่วงต้นของวิถีที่สี่ ‘วิถีลึกล้ำ’
วิถีลึกล้ำถูกแบ่งออกเป็นสามขอบเขต ได้แก่ หยั่งเห็นลึกล้ำ รู้แจ้งลึกล้ำ และสานพันธะลึกล้ำ
ในชาติที่แล้ว ซูอี้ได้คิดค้นและพัฒนา ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ จนฝึกไปถึงได้แค่ขอบเขตแรกของวิถีลึกล้ำ ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ซึ่งขอบเขตนี้เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า ‘ขอบเขตจักรพรรดิ’
**เสริมเนื้อหา : ชาติที่แล้ว ซูอี้สำเร็จระดับการบ่มเพาะไปจนถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิ หรือก็คือขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ**
ไม่ใช่ว่าเขาฉลาดไม่พอ แต่การรู้แจ้งที่ได้รับจากผนึกของดาบเก้าคุมขังในตอนนั้นค่อนข้างจำกัดส่งผลให้เขาพัฒนาเคล็ดวิชาไปได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
“ในชาตินี้ ข้าวางแผนจะเปิดเผยความลับของดาบเก้าคุมขังทั้งหมด ในเมื่อชาตินี้ข้าสามารถปลดผนึกชั้นแรกของมันได้แล้ว ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าในอนาคต ข้าจะต้องปลดผนึกของมันได้ทั้งหมด”
ผ่านไปพักใหญ่ ความลังเลในดวงตาของซูอี้ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความแน่วแน่
“เป็นอันตกลง ข้าจะฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’!”
เขารู้สึกปลอดโปร่งขึ้นหลังจากตัดสินใจอย่างแน่วแน่
แก่นแท้การฝึกวิชานี้คือการทำให้วิญญาณก้าวหน้าขึ้นด้วยพลังทุกแขนงที่มีในโลก
และเมื่อวิญญาณแข็งแกร่งจนถึงจุดหนึ่ง ดวงวิญญาณของเขาจะสามารถบงการทุกสิ่งภายใต้ฟ้าดิน สามารถเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ทั้งหมด สามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่งตามใจนึก!
‘เขา’ ในที่นี้หมายถึงตัวตนที่สามารถบงการสวรรค์และปฐพี
ผู้ฝึกฝนวิชานี้ วิญญาณจะกลายเป็นเหมือนกับ ‘เขา’ ที่สามารถดูดกลืนพลังแห่งสวรรค์และปฐพีเพื่อพัฒนาตัวเอง
เมื่อฝึกฝนจนถึงขอบเขตจักรพรรดิ ย่อมสามารถบ่มเพาะวิญญาณของตนเองให้อัศจรรย์เปรียบได้ดั่งสวรรค์และเต๋าทุกรูปแบบ ดวงวิญญาณจะสามารถสรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ได้จนสุดจินตนาการ
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหมื่นแปรสภาพ เขากลายสู่สวรรค์
“เมื่อเขากลายสู่อิสระแล้ว เป็นธรรมดาที่จะสามารถดูดกลืนพลังทั้งหมดในโลกเพื่อบ่มเพาะวิญญาณได้!”
“ในสถานที่แห้งแล้งที่พลังวิญญาณมีน้อยนิดอย่างมหาทวีปคังชิง การฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ จึงเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ซูอี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีฝึกฝนวิชาลับนี้
ถึงแม้พลังวิญญาณของมหาทวีปคังชิงจะแห้งแล้งและเบาบาง แต่ก็ยังมีพลังอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถใช้ได้
ยกตัวอย่างเช่นกลิ่นอายสังหาร หรือปราณหยิน เป็นต้น
การฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ ทำให้สามารถดึงพลังทุกรูปแบบ ทุกแขนงมาใช้ได้อย่างเต็มที่
ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลยหากจะบอกว่าพลังของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวในท้องฟ้า รวมถึงปราณของทุกชีวิตในโลกล้วนสามารถถูกดึงมาใช้ได้ด้วยเคล็ดวิชานี้!
นี่คือแก่นของคำว่า ‘อิสระ’
ไม่ถูกจำกัดโดยกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี ไม่ถูกพันธนาการด้วยวิถีใดทั้งสิ้น
“ถ้าข้านำพลังจากดาบเก้าคุมขังมาบ่มเพาะวิญญาณของข้า ผลที่ได้ออกมาจะเป็นเช่นไร?”
ทันใดนั้น จิตของซูอี้ก็ขยับ
ดาบเก้าคุมขังอยู่ในดวงวิญญาณของเขามาตลอด หากสามารถใช้ได้ เขาก็ไม่ต้องกังวลกับการรวบรวมพลังอื่นในโลกใบนี้เพื่อบ่มเพาะดวงวิญญาณของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีแล้ว ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ กำเนิดมาจากการรู้แจ้งของพลังจากผนึกเก้าชั้นของดาบเก้าคุมขัง ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่ามันมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ตัดสินใจที่จะลองดู
ต่อให้ตกอยู่ในอันตราย เขาก็สามารถหยุดได้ทันเวลา
ฟู่~
หลังจากถอนหายใจยาวออกมา จิตของซูอี้จึงโล่งทันตา
เมื่อไม่มีความคิดไขว้เขวหลงเหลืออีก เขาจึงเริ่มโคจร ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’
หากมองสวรรค์และปฐพีด้วยวิญญาณ เช่นนั้นสวรรค์และปฐพีก็จะปรากฏขึ้น
หากมองขุนเขาและท้องทะเล ขุนเขาและท้องทะเลก็จะปรากฏขึ้น
หากมองดาบเก้าคุมขังด้วยวิญญาณ…
ท่ามกลางความเงียบสงัด ในหัวของซูอี้เริ่มมีรูปทรงของดาบเก้าคุมขังปรากฏขึ้นทีละน้อย
ยิ่งเวลาผ่านไป ราวกับมีพู่กันที่มองไม่เห็น ค่อย ๆ วาดเค้าโครงที่ลึกล้ำและไร้สิ่งใดเทียบเทียมของดาบเก้าคุมขังขึ้นมา…
ในไม่ช้าหลังจากรูปร่างดาบปรากฏ เค้าโครงโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นที่พันรอบดาบเก้าคุมขังก็ปรากฏขึ้นตาม
รูปทรง ตำแหน่งและสีของโซ่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเส้นถูกแสดงขึ้นมาอย่างละเอียด
แต่จนถึงตอนนี้ มันก็แค่ ‘คล้าย’ เท่านั้น
ต่อมา ซูอี้เริ่มพยายามนึกทวนถึงกลิ่นอายบนดาบเก้าคุมขัง
เขาจำเป็นต้องทำให้ดาบเก้าคุมขังที่เขานึกภาพขึ้นมาในหัวมีกลิ่นอายของมันรวมอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถดึงพลังของมันมาเพื่อบ่มเพาะวิญญาณได้อย่างแท้จริง
ทว่า ถึงแม้ซูอี้จะระแวดระวังยิ่ง แต่มันยังมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในช่วงที่การนึกถึงกลิ่นอายเริ่มขึ้น
ตูม!
บนดาบเก้าคุมขัง โซ่เก้าชั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง พวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกมาเก้าอย่าง มันปะทุขึ้นมาราวกับดินถล่มและฟ้าทลายก็ไม่ปาน
กลิ่นอายเหล่านั้นน่าสะพรึงกลัวล้ำลึก แต่ละกลิ่นอายดูมีพลังราวกับจะเผาผลาญทุกสรรพสิ่ง มันร้อนแรงกว่าเปลวไฟใด ๆ เย็นเยือกกว่าน้ำแข็งที่เย็นที่สุด ปั่นป่วนเหนือพายุที่เคยมีมา หนักแน่นขนาดขุนเขาที่ยืนหยัดมานานที่สุดยังเป็นรอง…
ตอนนี้กลิ่นอายผนึกเก้าชั้นปะทุขึ้นพร้อมกัน ราวกับเทพทั้งเก้าฟื้นขึ้นในวิญญาณของเขา ทันทีที่กลิ่นอายถูกปล่อยออกมา มันก็มากพอที่จะฉีกวิญญาณของซูอี้ได้อย่างง่ายดาย!
ทว่า…
ก่อนที่กลิ่นอายทั้งเก้าจะทันได้ฉีกกระชากดวงวิญญาณของซูอี้ ด้วยการท่องคาถาที่ชัดเจน ดาบเก้าคุมขังก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แผ่รัศมีพลังอันโบราณและกว้างใหญ่ สยบกลิ่นอายทั้งเก้าในทันที
หลังจากนั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นล้วนเงียบสงัดเหมือนก่อนหน้านี้
ดาบเก้าคุมขังหยุดเช่นกัน
ดูท่าฉากอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่จะเป็นเพียงภาพมายา
แต่ซูอี้กลับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
ในชาติที่แล้ว เขาเคยศึกษาดาบเก้าคุมขังมาหลายปี สิ่งที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขาไม่เคยคิดเลยว่าครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงการนึกภาพ แต่มันกลับเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นมาได้!
“พลังผนึกของโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้นเหมือนจะต่อต้านการทำความเข้าใจของข้าอย่างสุดกำลัง ตรงกันข้าม เป็นดาบเก้าคุมขังที่ช่วยข้าได้มาก…”
หลังจากซูอี้สงบลง เขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติได้ทันที
ตามหลักเหตุและผลแล้ว โซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นควรเป็นสิ่งที่ผนึกดาบเก้าคุมขัง แต่ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับสวนทางต่อสิ่งที่เขาเข้าใจอย่างสิ้นเชิง
ตรงกันข้าม มันกลับเป็นตัวตนของดาบเก้าคุมขังที่ยับยั้งโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นนี้เอาไว้!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็แปลว่าความลับที่ซ่อนอยู่ในโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นย่อมไม่ธรรมดา”
ซูอี้สงสัย
ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก
ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ ยังอีกไกลนักที่จะสามารถสงสัยถึงความลึกล้ำของโซ่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าเส้นได้
หลังจากกลั้นหายใจ เขาเริ่มนึกภาพขึ้นอีกครั้ง
ในจิตของเขา รูปทรงของดาบเก้าคุมขังที่ถูกผนึกโดยโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้นค่อย ๆ เกิดขึ้นมาอีกครา
จากนั้น โดยไม่ลังเล เขาเริ่มนึกภาพกลิ่นอายของดาบเก้าคุมขังอีกหน
ฉากอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง โซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นสั่นไหว กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวถูกปล่อยออกมา แต่ก่อนจะสามารถปะทุออกมาได้ มันก็ถูกยับยั้งโดยดาบเก้าคุมขัง
แต่ครั้งนี้ ซูอี้ไม่หยุดยั้งการฝึกฝนของตนเหมือนดั่งครั้งแรก เขายังคงนึกภาพต่อไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร…
กลิ่นอายอันลึกล้ำและกล้าแกร่งก็ถูกวิญญาณของซูอี้จับไว้ได้ เขานึกภาพรูปทรงของดาบเก้าคุมขังขึ้นมา
หลังจากนั้น ซูอี้ก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณสั่นไหว กระแสพลังเหลือเชื่อจำนวนมากปรากฏขึ้นในการรับรู้ มันสั่นสะเทือนไปมาราวกับน้ำที่เดือดพล่าน
พลังสั่นสะเทือนดังกล่าวมีทั้งสิ้นสิบอย่าง
พลังหนึ่งมาจากดาบเก้าคุมขัง มันกว้างใหญ่และโบราณ ลึกล้ำและคาดเดาไม่ได้
ถึงแม้เขาจะสามารถรับรู้ถึงตัวตนของมันได้ แต่กลับไม่สามารถหยั่งคาดพลังอันมหาศาลของมันว่ามีเท่าใดได้เลย
อีกเก้าอย่างมาจากพลังผนึกของโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้น
พลังของโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของชั้นแรกปั่นป่วนราวกับสายลม มีทั้งความหยิ่งทะนง และทรงอำนาจ
ชั้นที่สองเดือดพล่านราวกับเปลวไฟ มันสามารถแผดเผาสวรรค์และปฐพีได้
ชั้นที่สามเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง…
กลิ่นอายของพลังเหล่านี้มีความน่าสะพรึงและอำนาจที่ต่างกันออกไป ราวกับเทพที่ยืนอยู่ตามมหาวิถีต่าง ๆ
“กล่าวได้ว่า ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ ที่ข้าใช้ในตอนนี้คือผลพวงจากการที่ข้ารู้แจ้งจากพลังของโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นนี้”
“อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ เมื่อวิญญาณของข้าส่งสัมผัสออกไป โซ่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าเส้นจึงตอบสนองอย่างรุนแรงทันที…”
หัวใจของซูอี้เต็มไปด้วยการรู้แจ้ง
ด้วยประสบการณ์การบ่มเพาะมาเป็นแสนปี ทำให้ได้ข้อสรุปในทันทีว่า ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ เหมือนกับกุญแจที่สามารถทะลวงผนึกของโซ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าเส้นได้!
สิ่งที่ทำให้ซูอี้ตื่นเต้นยิ่งกว่าคือการค้นพบดังกล่าวเป็นการพิสูจน์ว่าเมื่อวิญญาณของเขาพัฒนาในอนาคต พลังของผนึกเก้าเส้นจะสามารถใช้ได้
ด้วยวิธีนี้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังอื่นเพื่อขัดเกลาวิญญาณแต่อย่างใด
“เมื่อวิญญาณของข้าได้บ่มเพาะไปถึงจุดสูงสุด ความลับที่ซ่อนอยู่ในผนึกเก้าชั้นย่อมถูกเผยออกมา!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของซูอี้พลันรู้แจ้งและตื่นเต้นขึ้นมา
ในชาติที่แล้ว เขาพยายามศึกษาอย่างหนักมาหลายปี แต่ก็ไม่สามารถหาทางเปิดเผยความลับของดาบเก้าคุมขังได้
แต่ตอนนี้ เขาเห็นแสงรำไร เห็นหนทางที่จะสามารถไขความลับที่ติดค้างในใจของเขาได้แล้ว!
แบบนี้แล้วจะไม่ทำให้เขามีความสุขได้อย่างไร?
ความพยายามในคืนนี้สามารถนับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ได้
ถ้าเขาไม่ตัดสินใจใช้ ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ เพื่อบ่มเพาะวิญญาณ เขาจะค้นพบความลึกล้ำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?
…
เช้าวันถัดมา
ท้องฟ้าสดใส สายลมอ่อนโยน
ซูอี้สวมเสื้อสีเขียว ผมยาวสีดำของเขาถูกมัดเป็นมวยด้วยปิ่นปักผมไม้ เขาเดินออกจากห้องพร้อมดาบสุดแดนดินซึ่งอยู่ในฝักไม้ไผ่ในมือขวา
โดยปราศจากการรำลึกถึง เขาจึงเดินออกจากลานบ้านไปตามทาง
แกร๊ก!
ทันทีที่ประตูลานบ้านปิดลง มันก็เหมือนกับประกาศว่าหลายปีที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลงแล้ว
การเดินทางใหม่ได้เริ่มขึ้นจากย่างก้าวนี้
“ท่านบุตรเขย รักษาตัวระหว่างเดินทางด้วย!”
เมื่อเห็นร่างของซูอี้เดินออกมา ผู้จัดการสำนักแพทย์ซิ่งหวง หูเฉวียน แพทย์อู๋กว่างปินและคนอื่นหยุดมือ พวกเขาทุกคนเดินออกมา ทุกคนกล่าวลาซูอี้ มีร่องรอยความเสียดายอยู่บนใบหน้า
หลังจากเข้ากับซูอี้ได้สักพัก ก่อนจะทันรู้ตัว พวกเขาล้วนประทับใจในกิริยาของซูอี้ไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ ซูอี้ก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใจกว้าง ไม่เคยต่อว่าพวกเขา ทำให้ทุกคนในสำนักแพทย์ซิ่งหวงเคารพเขา
ดังนั้น เมื่อบ่ายวานนี้ เมื่อรู้ว่าซูอี้กำลังจะเดินทางไกล ไม่ทราบได้ว่าจะกลับมาเมืองกว่างหลิงเมื่อใด จึงทำให้พวกเขาล้วนเศร้าโศก
“กลับไปทำงานของพวกเจ้าต่อเถอะ”
ซูอี้ยิ้มขณะโบกมือ ภายใต้สายตาจับจ้องของกลุ่มคน เขาเดินออกจากสำนักแพทย์ซิ่งหวงไป
ข้างถนน รถม้าได้จอดรออยู่ก่อนแล้ว
คนขับถึงกับเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง เนี่ยเป่ยหู่!
เขายิ้มก่อนประสานมือแล้วกล่าวว่า “เซียนเชิงซู ท่านเจ้าเมืองฟู่และคนอื่นกำลังรออยู่นอกประตูเมือง หากท่านไม่รังเกียจ ข้าผู้น้อยแซ่เนี่ยขออนุญาตไปส่งท่าน โปรดเชิญขึ้นรถได้เลย”