บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 810: ผู้บงการ
ตอนที่ 810: ผู้บงการ
ตอนที่ 810: ผู้บงการ
กฎสวรรค์เทียบหล้าเป็นเคล็ดวิชามรดกขั้นสุดยอดในหมู่ผู้ฝึกฝนกายเนื้ออย่างจริงแท้
ทว่าหากไม่ฝึกฝนให้ดี การถูกศัตรูจับได้ก็แสนง่าย!
กระทั่งจักรพรรดิก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในสายตาของซูอี้ หร่านเทียนเฟิงแข็งแกร่งกว่าหยวนหลินหนิงมาก เขาเริ่มควบรวมกฎเกณฑ์ในวิถีลึกล้ำได้แล้ว ทว่าก็ยังไม่ได้หล่อหลอมกฎเกณฑ์จนเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบได้
นี่ทำให้ ‘กฎสวรรค์เทียบหล้า’ ของหร่านเทียนเฟิงดูไร้เทียมทาน ทว่าที่แท้แล้วยามต่อสู้กลับสามารถเผยจุดอ่อนออกมาได้ง่าย ๆ
“ฆ่า!”
หร่านเทียนเฟิงซึ่งร่างสูงร้อยจั้งสยายคู่ปีกยักษ์สีดำเบื้องหลัง ฟาดฟันลงมาดุจมีดสีดำจากสวรรค์ เกิดเป็นแผลใหญ่ในอากาศ
อำนาจร้ายกาจทำให้ทั่วฟ้าดินในรัศมีพันจั้งปั่นป่วนรุนแรง
ควับ!
ร่างของซูอี้หายไปในอากาศธาตุ รอยร้าวยาวเหยียดปรากฏขึ้นบนอากาศในจุดที่เขายืนอยู่ และเมื่ออำนาจร้ายกาจนั้นฟาดถึงพื้น มันก็วาดเป็นรอยแยกดุจหุบเหว
ตะลึงจิตผู้พบเห็น
ไม่มีผู้ใดจินตนาการออกว่าจุดจบจะเป็นเช่นไรหากการโจมตีนี้ถูกตัวซูอี้
ทว่าจู่ ๆ เปลือกตาของหร่านเทียนเฟิงก็เต้นกระตุก ร่างสูงร้อยจั้งของเขาพลันเบี่ยงหลบไปด้านข้าง
ฉับ!
ลำแสงดาบฟาดฟันจากเบื้องหลัง ฉีกเกล็ดสีดำอันปกคลุมร่างของเขาออกจนเลือดพุ่งยาวหนึ่งจั้งอย่างมิอาจหยุดยั้งคมดาบ!
หร่านเทียนเฟิงเจ็บปวด และยามนี้เองที่เขาตระหนักว่าร่างของซูอี้มาอยู่เบื้องหลังเขาแต่ยามใดไม่ทราบ
“วิชาท่าร่างอันใดกัน?”
หร่านเทียนเฟิงตะลึงอึ้ง
ควรค่าจดจำว่าเขาเป็นจักรพรรดิ จิตสัมผัสปกหล้าคลุมฟ้า ทว่ายามนี้ เขากลับไม่อาจมีเวลาพอจะจับร่างซูอี้ได้!
ควับ!
ร่างของซูอี้หายไปในอากาศธาตุอีกครั้ง
หร่านเทียนเฟิงไม่คิดมาก เลือดและปราณทั่วร่างพลุ่งพล่าน แผ่ลำแสงปีศาจดำทมิฬ ซึ่งทำให้พลังป้องกันของเขาน่าตกใจหนักยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน จิตสัมผัสของหร่านเทียนเฟิงก็ขยายออกดุจระลอกคลื่น
เมื่อเขาจับได้ว่าซูอี้ปรากฏขึ้นด้านหลังเข่าซ้าย ม่านตาของหร่านเทียนเฟิงก็หดตัว ฝ่ามือฟาดลง
ทว่ามันช้าไป
ฉัวะ!
ด้วยหนึ่งปราณดาบวาดพลิ้ว เกล็ดสีดำที่ด้านหลังเข่าซ้ายของหร่านเทียนเฟิงก็ระเบิดออก แผลเลือดอาบปรากฏขึ้นอีกครั้ง แม้จะไม่เคยฟาดฟันถึงกระดูก แต่ความรู้สึกเจ็บแปลบทำให้หร่านเทียนเฟิงหน้าเขียว
ยามนี้ ความเร็วการเคลื่อนไหวของซูอี้รวดเร็วเกินไป ดูเหมือนเมื่อแสงไฟดับลง ร่างของเขาก็หายวับไปเสียเฉย ๆ
ความเร็วของหร่านเทียนเฟิงไม่ได้ช้า กระทั่งเมื่อร่างของเขาสูงร้อยจั้ง แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ยังน่าตกใจ
ทว่าเมื่อเทียบกับซูอี้ มันยังด้อยชั้นกว่าเล็กน้อย
ยิ่งกว่านั้น ร่างของซูอี้ในขณะนี้ยังดูราวแมลงบินเมื่อเทียบกับหร่านเทียนเฟิง ซึ่งทำให้ซูอี้มีพื้นที่ขยับตัวหลบเลี่ยงได้มากมาย
และร่างมโหฬารของหร่านเทียนเฟิงก็ทำให้เขาถูกโจมตีได้ง่ายขึ้น
เวลาต่อมา ร่างของซูอี้ก็ผลุบโผล่วูบไหวดุจภูตผีตามจุดต่าง ๆ ทั่วร่างร้อยจั้งของหร่านเทียนเฟิง ดาบฟาดฟันดุจดั่งสายฟ้า
ยิ่งฟาดฟันยิ่งรวดเร็ว ยิ่งคมกริบ
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉูด!
ลำแสงดาบพลิ้วไหวฉวัดเฉวียน รอยแผลจากดาบอาบเลือดปรากฏบนร่างของหร่านเทียนเฟิงแผลแล้วแผลเล่า ไม่มีดาบใดหมายเอาชีวิต
ทว่าหากเขาบาดเจ็บมากเกินไป หร่านเทียนเฟิงผู้ร่างโชกเลือดก็ดูเละเทะน่าเวทนานัก
หร่านเทียนเฟิงทั้งตะลึงและโกรธ พยายามสุดตัวเพื่อใช้เคล็ดวิชาสารพัด
ทว่าซูอี้ไม่ได้สู้กับเขาตรง ๆ แม้แต่น้อย เมื่อลงมือโจมตีเสร็จ ชายหนุ่มก็จะถอยไปทันที
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของหร่านเทียนเฟิงก็เต็มไปด้วยแผลดาบนับไม่ถ้วน เกล็ดทั่วร่างแตกร้าว โลหิตทะลักไหลดุจสายน้ำ
ไกลแสนไกลห่างออกไป นักพรตหญิงเฟิงและคณะจับจ้องภาพตรงหน้าตาค้าง แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตสยายวิญญาณกลับสามารถทำให้จักรพรรดิเช่นหร่านเทียนเฟิงบาดเจ็บเลือดไหลได้ต่อเนื่อง!
หากเรื่องนี้แพร่งพราย ผู้ใดเล่าจะกล้าเชื่อ?
เห็นเช่นนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็พึมพำกับตนเอง “ดูเหมือนหร่านเทียนเฟิงผู้นี้จะแข็งแกร่งมากจริง ๆ พี่ซูจึงทำได้เพียงใช้มาตรการสู้แล้วหนี ไม่ปะทะกับเขาตรง ๆ…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนไม่แปลกใจที่ซูอี้ทำเช่นนี้
เพราะถึงอย่างไร นางก็เคยได้เห็นศึกที่ซูอี้เอาชนะหยวนหลินหนิง นักบวชแห่งโถงหลงลืมมาก่อน
สิ่งที่ทำให้นางแปลกใจจริง ๆ คือในศึกนี้ ซูอี้ไม่ได้พยายามวางตนยิ่งใหญ่อหังการ ซึ่งพิสูจน์ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าสำหรับจักรพรรดิผู้ฝึกฝนกายเนื้อผู้นี้ ซูอี้ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะในศึกเผชิญหน้าได้!
“นี่คือการต่อสู้ที่แท้จริง ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและจุดอ่อนของสถานการณ์ โจมตีไม่ให้ตั้งตัว!”
ชายชราตาบอดรำพึง
ศึกนี้ กลวิธีของซูอี้ดูเรียบง่าย
ทว่าชายชราตาบอดรู้ว่าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะถูกฆ่าตายไปกี่หนแล้ว
เพราะถึงอย่างไร นั่นก็เป็นถึงตัวตนในขอบเขตจักรพรรดินะ!
กระทั่งเมื่อตัวตนในวิถีวิญญาณแห่งโลกหล้าทุ่มสุดฝีมือ ยังยากนักจะฝ่าพลังป้องกันรอบกายหร่านเทียนเฟิงได้ อย่าว่าแต่ทำร้ายหร่านเทียนเฟิงเลย
มีเพียงซูอี้ผู้สามารถหลบจิตสัมผัสของหร่านเทียนเฟิงและใช้วิชาดาบอันร้ายกาจขีดข่วนทั่วร่างหร่านเทียนเฟิงได้
ไม่นานนัก หร่านเทียนเฟิงก็ดูไม่อาจทนไหว ร่างสูงร้อยจั้งของเขาวูบไหวกลับสู่รูปลักษณ์ดังเดิม ทว่าใบหน้าของเขาซีดขาว ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยดาบบาดเต็มไปหมด
และสายตาที่จักรพรรดิแห่งสำนักนภายมโลกมองมาที่ซูอี้ก็เจือด้วยความตระหนกตกใจ
“บอกข้ามาว่าใครส่งพวกเจ้ามาที่นี่ และข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป หาไม่ พวกเจ้าทั้งหมดต้องตาย”
เมื่อวาจาอันเฉยเมยดังขึ้น ซูอี้ก็มายังระยะสิบจั้งใกล้เคียงหร่านเทียนเฟิงพร้อมดาบของเขา ดวงตาลึกล้ำ เสียงเข้มไม่อาจโต้แย้ง ให้ความรู้สึกถึงสถานการณ์อันตาลปัตรสลับขั้ว
หากได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก่อนการประลอง หร่านเทียนเฟิงต้องไม่คิดจริงจังเป็นแน่
ทว่ายามนี้ เขาไม่กล้าเมินเฉยมันอย่างไม่ยี่หระอีก!
ไกลออกไป นักพรตหญิงเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างดูหมดอาลัยดุจนางสนมไว้ทุกข์
พวกนางจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าแม้ศึกจะดำเนินต่อ โอกาสชนะของหร่านเทียนเฟิงก็มีน้อยกว่าโอกาสแพ้?
“ข้ากล่าวไว้แล้วว่า พอเพียงเจ้าและเรากลับสำนักนภายมโลกด้วยกัน เจ้าจะได้รู้คำตอบเอง”
หร่านเทียนเฟิงสูดหายใจลึก ๆ กล่าวด้วยแววตาสุขุม “แต่ก่อนหน้านั้น แม้พวกเราทั้งหมดจะตายที่นี่ พวกเจ้าก็จะไม่ได้คำตอบที่ต้องการหรอก!”
วาจาของเขากังวานก้อง
บรรยากาศพลันกดดันสุดขีด
“ภักดีต่องานที่ผู้อื่นฝากฝัง บทบาทของเจ้าในสำนักนภายมโลกยังพอมีกระดูกสันหลังอยู่บ้าง”
ซูอี้มองหร่านเทียนเฟิงอย่างลึกล้ำ และกล่าวว่า “ช่างเถอะ ไปกัน”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ทุกคนก็ตะลึงอึ้งไป
ไม่มีผู้ใดคาดฝันว่าเมื่อซูอี้ถือไพ่เหนือกว่า เขาจะเลือกหยุดเสียดื้อ ๆ!
“สหายเต๋า… เจ้าคิดปล่อยให้ข้ารอดจริง ๆ หรือ?”
หร่านเทียนเฟิงดูไม่อยากเชื่อเล็กน้อย
“ข้าก็พอเดาคำตอบได้บ้าง สิ่งเดียวที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนสำนักนภายมโลกของเจ้าจึงต้องมาฟังคำสั่งผู้อื่นด้วย”
ซูอี้กล่าว “ยามมีโอกาสในภายหน้า ข้าจะไปถามคำถามนี้ที่สำนักนภายมโลกของเจ้าด้วยตนเอง”
สีหน้าของหร่านเทียนเฟิงแปรเปลี่ยนไปครู่
ครู่ต่อมา เขาก็ถอนหายใจ ก้มหัวลงประคองกำปั้นตอบ “ขอบคุณสหายเต๋าที่เมตตา”
เมื่อเห็นจักรพรรดิก้มหัวให้ชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณเช่นนี้ นักพรตหญิงเฟิงและคณะก็รู้สึกใจสั่นอย่างไม่อาจอธิบาย
วิถีแห่งจักรพรรดินั้นดุจดั่งหุบผาที่ไม่อาจข้ามโดยตัวตนในวิถีวิญญาณนับแต่บรรพกาลไม่ใช่หรือ?
ทว่าวันนี้ ใครบางคนไม่เพียงแค่ข้ามหุบผานี้ได้ เขากระทั่งเอาชนะมัน!
ผู้ใดจะไม่แปลกใจบ้าง? ผู้ใดจะไม่กลัวบ้าง?
เคร้ง!
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬบริสุทธิ์และหันหลังจากไป
“สหายเต๋า”
หร่านเทียนเฟิงโพล่งขึ้น “ก่อนไป ข้าอยากเตือนเจ้าว่าในภูมิมืดมิดนี้ ไม่ได้มีเพียงสำนักนภายมโลกของข้าผู้หมายตาผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพอยู่นะ”
ซูอี้ไม่ได้หันกลับมา เขาทำเพียงโบกมือกล่าวว่า “ข้าหวังเพียงว่าคนจากสำนักนภายมโลกของเจ้าจะไม่ตกสู่เงื้อมมือข้าอีก หากมีครั้งหน้า… ข้าจะไม่สุภาพเยี่ยงยามนี้”
เสียงยังไม่ทันสลาย ร่างของเขาก็เคลื่อนผ่านไปแล้ว
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดรีบตามไป
เมื่อมองไล่หลังร่างของพวกเขาจนลับตา หร่านเทียนเฟิงก็หดหู่ไร้วาจา
นับแต่ก้าวสู่วิถีแห่งจักรพรรดิ เขาไม่เคยคาดเลยว่าสักวันจะถูกตัวตนในวิถีวิญญาณปราบลงได้ และอีกฝ่ายยังเป็นชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณอีกด้วย…
และไม่คาดเลยว่าจะพ่ายแพ้ยับเยินเพียงนี้!!
ความพ่ายแพ้นี้ส่งผลหนักหน่วงต่อสภาพจิตใจของเขา ไม่อาจคลายได้ไปชั่วขณะ
“ใต้เท้า เราควรทำเช่นไรต่อหรือเจ้าคะ?”
นักพรตหญิงเฟิงและคนอื่น ๆ เข้ามาหาเขาอย่างระมัดระวัง
“กลับสำนัก”
เนิ่นนานจากนั้น หร่านเทียนเฟิงก็พ่นคำทั้งสามพยางค์ออก และหันหลังจากไป
“พี่ซู เจ้ากลายเป็นคนพูดมากแต่ยามใดกัน? หรือกังวลว่าหากฆ่าเจ้าเฒ่านั่น เจ้าจะถูกสำนักนภายมโลกหมายหัวกันล่ะ?”
ในขณะเดียวกัน ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็อดถามไม่ได้
“พวกเขาก็แค่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่ผู้บงการ”
ซูอี้ให้เหตุผลอย่างรวบรัด
อันที่จริง เหตุที่เขายอมเมตตาในครานี้ก็เนื่องมาจากอดีตชาติของเขา ซึ่งได้รู้จัก ‘เสวียนหุนจื่อ’ แห่งสำนักนภายมโลกและฝึกเคล็ดวิชาสูงสุดในสำนักนภายมโลก ‘เคล็ดนภายมโลกเก้าแปร’ ร่วมกับเสวียนหุนจื่อ
เพราะเหตุนี้ ยามที่เขาประลองกับหร่านเทียนเฟิงก่อนหน้านี้ ซูอี้จึงสามารถปราบอีกฝ่ายลงได้ง่าย ๆ
เพราะถึงอย่างไร วิถีเต๋าของอีกฝ่ายก็ไม่อาจแยกออกจาก ‘เคล็ดนภายมโลกเก้าแปร’ ได้ ซึ่งทำให้ซูอี้เลี่ยงจิตสัมผัสของคู่ต่อสู้และทำร้ายเขาได้ซ้ำ ๆ
หากไม่ ซูอี้คงต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งหากต้องการชนะศึกนี้
“แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดคือผู้บงการ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถามอย่างสงสัย
“ผีหมัว” ซูอี้ให้คำตอบลอย ๆ
ผีหมัว!
ดวงตาพร่างดาวของชุยจิ๋งเหยี่ยนหดตัว นางย่อมรู้น้ำหนักของนามนี้ว่าสำคัญเพียงไร!
และเมื่อได้ยินยามนี้ ใบหน้าของชายชราตาบอดก็เต็มไปด้วยความรวดร้าวและเกลียดชังอย่างไม่อาจควบคุม… มันเกี่ยวข้องกับผีหมัวจริง ๆ!!!
“เหตุใด… เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้เล่า?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถาม
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง
เขารู้คำตอบ แต่ไม่อาจบอกใครได้
ชายชราตาบอดกัดฟันพูด “หลายร้อยปีก่อน เขาฆ่าอาจารย์ข้า และยามนี้ก็จะฆ่าข้า! ในความคิดข้า ผีหมัวคิดทำลายเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพของข้าให้สิ้นเป็นแน่!”
“โชคร้ายที่ผีหมัวไม่ได้อยู่ในภูมิมืดมิด ณ ยามนี้”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ พลางตบบ่าชายชราตาบอด “อย่าเสียใจไปเลย ข้าสัญญากับเจ้าแล้ว และจะไม่มีทางผิดสัญญา”
ชายชราตาบอดพยักหน้าและกล่าวอย่างตื้นตัน “ขอบคุณคุณชายซู หากไม่ใช่เพราะท่าน เกรงว่าข้าคงถูกคนจากสำนักนภายมโลกพาตัวไปแล้ว”
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ตะลึงอึ้ง หัวใจดั่งถูกพายุโหม หรือซูอี้สัญญาจะช่วยชายชราตาบอดจัดการกับผีหมัว!?