บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 811: คุณหนูแผลงอำนาจ
ตอนที่ 811: คุณหนูแผลงอำนาจ
ตอนที่ 811: คุณหนูแผลงอำนาจ
ครืน!
นภากาศสั่นไหว
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศธาตุในบริเวณซากปรักหักพังซึ่งซูอี้และหร่านเทียนเฟิงเคยประมือกัน
ผู้มาเยือนผู้นี้มีรูปลักษณ์ธรรมดาสามัญ ร่างผอมบางอยู่ในชุดคลุมสีเทา เขาคือ ‘ลุงหวย’ ผู้อยู่กับชวีหมิง ทายาทตระกูลชวีจากเผ่าโบราณ
เขาเหลือบมองไปทั่วบริเวณ สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ
ร่องรอยของการต่อสู้ที่นี่ทำให้เขาเห็นเบาะแสอันมีค่ามากมาย
ทันใดนั้น ร่างของลุงหวยก็วูบไหว หยิบเศษเกล็ดแตก ๆ สีดำขึ้นจากซากสนามรบ
มันเสียหายอย่างรุนแรง ปราณวิญญาณสลายหายไป ทว่าเมื่อลุงหวยตระหนักว่ามันคือสิ่งใด เขาก็อดมีปฏิกิริยาไม่ได้
เกล็ดวิหคโลหิตยมโลก!
“ดูเหมือนว่าหร่านเทียนเฟิงจากสำนักนภายมโลกจะนำหน้ามาก่อน…”
ลุงหวยพึมพำ ร่องรอยความเสียดายปรากฏขึ้นในใจ
เขามาช้าไป
ทว่า แม้เขาจะไม่ได้เห็นสงครามที่เกิดขึ้น แต่มันก็ทำให้ลุงหวยตระหนักว่ายามที่หร่านเทียนเฟิงกำลังไล่กวาดล้างผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ เขาได้เผชิญกับศัตรูอันแข็งแกร่งที่นี่!
ยิ่งกว่านั้น จักรพรรดิผู้ฝึกฝนกายเนื้อหร่านเทียนเฟิงยังได้รับบาดเจ็บด้วย!
“ก่อนหน้านี้ ผู้ใดเล่าจะหยุดหร่านเทียนเฟิงได้? หรือคุณหนูใหญ่ตระกูลชุยจะมีจักรพรรดิคอยปกป้องอย่างลับ ๆ?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น ในเมื่อ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ ผู้ก่อตั้งเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพหายตัวไปหลายพันปีแล้ว ส่วนศิษย์ของเขา นายแห่งโลงศพโลหิตอู่จั้งก็ถูกผีหมัวฆ่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน ยามนี้เหลือเพียงเฒ่าตาบอดในโลกหล้า”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลุงหวยก็นึกถึงชายหนุ่มที่มีนามว่าซูอี้ขึ้นมา และกล่าวอีกครั้งว่า “แม้พ่อหนุ่มนี่จะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังอยู่เพียงในวิถีวิญญาณ ไร้คุณสมบัติจะเข้าร่วมศึก”
“นี่ยังหมายความว่านอกจากตระกูลชุย ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นปกป้องเฒ่าตาบอดแน่นอน”
“เรื่องยุ่งยากขึ้นเสียแล้วสิ”
ลุงหวยขมวดคิ้ว
หากตระกูลชุยต้องการปกป้องผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ในเขตราชาหกวิถีนี้คงไม่มีขุมกำลังใดกล้ากระตุกหนวดเสือในถ้ำของมันเป็นแน่
“ดูท่าเรื่องนี้คงต้องให้ท่านเจ้าตระกูลตัดสินใจ”
ครู่ถัดมา ลุงหวยก็ส่ายหน้า และหันหลังจากไป
…
สองวันถัดมา
ย่ำค่ำ
นอกเมืองตาข่ายม่วง
ประตูเมืองขนาดยักษ์สีดำสูงร้อยจั้ง กำแพงเมืองโบราณดูประหนึ่งร่างมังกรฟ้าขดรอบผืนดิน ทอดร่างสองฝั่งพิภพไกลแสนไกล มิอาจมองเห็นส่วนหัวหางได้จากหนึ่งกวาดมอง
สองฝั่งประตูเมืองมีรูปสลักหินของสัตว์ร้ายบรรพกาลสองตัวนั่งอยู่
หนึ่งคือเซี่ยจื้อผู้สามารถแยกแยะดีชั่ว เกลียดความชั่วร้ายจับใจ
อีกหนึ่งคือปี้อันผู้แยกแยะดำขาว รักคุณธรรมและเที่ยงตรง
สองรูปสลักหินผ่านกาลเวลาแสนนาน และถูกทะนุบำรุงโดยปราณทั่วฟ้าดินทุกวันคืนเหมือนเช่นรูปเคารพในวิหารซึ่งถูกจุดธูปเคารพบูชาตลอดวันคืน พวกมันจึงมีกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ในระดับหนึ่ง
อย่าว่าแต่คนทั่วไป กระทั่งผู้ฝึกตนมาเห็นรูปสลักทั้งสองยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไม่อาจอธิบายปรากฏขึ้นในใจจนไม่แม้แต่จะกล้ามองพวกมัน
จากเรื่องเล่าขาน รูปสลักหินทั้งสองมีประวัติยาวนานนับแต่บรรพกาล พวกมันถูกสลักขึ้นจากนายช่างชั้นครูของบรรพชนตระกูลชุยโดยเลียนแบบรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายบรรพกาลเซี่ยจื้อและปี้อันตัวจริง
หินที่ใช้สลักเองก็เป็นวัตถุดิบหายาก ดังนั้นมันจึงสามารถทนต่อการกัดกร่อนแห่งกาลเวลาและรอดมาได้จนบัดนี้
ณ ขณะนี้ บริเวณใกล้ประตูเมืองมีคนสัญจรไปมามากมาย คลื่นเสียงเซ็งแซ่ในเมืองแสดงให้เห็นถึงความเฟื่องฟูรุ่งเรือง
ซูอี้เหลือบมองรูปสลักหินเซี่ยจื้อ จากนั้นก็รูปสลักหินปี้อันและอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ “ของดีนะเนี่ย มันกักเก็บโชคลาภไว้ในเมืองนับแต่โบราณกาล และยังมอบพรมงคลแก่ตระกูลชุยของเจ้ามากมาย”
“เจ้าเองก็รู้ถึงคุณสมบัติวิเศษของรูปสลักหินนี่หรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนประหลาดใจ
ซูอี้ไม่ได้อธิบาย
เขาไม่อาจบอกชุยจิ๋งเหยี่ยนได้ว่าในอดีตชาติ เขาเคยนึกชอบรูปสลักหินทั้งสองนี้ หากชุยหลงเซี่ยงไม่ได้พยายามขัดขวางเขาทุกวิถีทางที่ทำได้อย่างน่าสงสารล่ะก็ เขาคงได้ยกพวกมันกลับบ้านไปแล้ว!
ทันใดนั้น ร่างสูงกำยำร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูเมืองด้วยสีหน้าแปลกใจ “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว! ท่านเจ้าตระกูลและฮูหยินรอท่านอยู่นานแล้วขอรับ!”
เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีกรามนกนางแอ่นและเคราพยัคฆ์ แต่งกายด้วยชุดรบดูน่ากลัว
เขากล่าวพลางประคองกำปั้นทักทายชุยจิ๋งเหยี่ยน
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เจ้ากลับไปบอกพ่อแม่ข้าก่อนเถอะ และบอกพวกเขาด้วยว่าข้าจะพาสหายสองคนไปเยี่ยมพวกเขาทีหลัง”
หญิงสาวดูจะเปลี่ยนเป็นคนละคนขึ้นมาในยามนี้ นางสงบนิ่งดุจผิวน้ำ กิริยาของนางสง่างาม ให้บรรยากาศสูงส่งอย่างยิ่ง
“ขอรับ!”
ชายวัยกลางคนในชุดศึกรับคำสั่งอย่างเกรงขาม จากนั้นเขาก็โบกมือไปทางประตูเมือง “ยังไม่รีบเปิดทางอีก!”
วาจาของเขาสะท้านลั่นดุจสายฟ้า
เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้คนใกล้ประตูเมือง และทางเดินก็ถูกเปิดออก
จากนั้นก็มีกลุ่มคนขี่ ‘สัตว์ยักษ์เกล็ดดำ’ ตะบึงมา
สัตว์ยักษ์เกล็ดดำเป็นสัตว์ร้ายบรรพกาลชนิดหนึ่งในภูมิมืดมิด สามารถเหาะเหินผ่านหมู่เมฆ ทะยานฟ้าดำดินได้ซึ่งมีขนาดเท่าม้าตัวหนึ่ง
ขณะนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนสามสิบคนห้อตะบึงสัตว์ยักษ์เกล็ดดำมาด้วยกัน เป็นภาพที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ณ สุดขบวนมีเกี้ยวซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงหนึ่งหลัง
“คารวะคุณหนู!”
ผู้ฝึกตนทั้งสามสิบคนลงจากหลังสัตว์ยักษ์เกล็ดดำและโค้งหัวให้ชุยจิ๋งเหยี่ยน
เสียงที่ประตูเมืองซึ่งแต่เดิมเซ็งแซ่เงียบลง บรรยากาศเงียบสงัดจริงจัง และทุกสายตาต่างจับจ้องที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนเพียงผู้เดียว
ภาพนั้นทำให้ชายชราตาบอดอึ้งไปครู่หนึ่ง ช่างกระทำการใหญ่โตยิ่ง!
“พี่ซู เชิญ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนผายมือเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้จะยังเกรงใจได้เช่นไรอีก แล้วเขาก็เดินไปก่อน
สิ่งนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือจากตระกูลชุยซึ่งมารับนางตะลึงอึ้ง ชายผู้นี้เป็นผู้ใด ไม่รู้จักเกรงใจบ้างเลยหรือ?
ทว่าเมื่อเห็นว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนเดินตามหลังซูอี้โดยไม่กล่าวอันใด เหล่ายอดฝีมือจากตระกูลชุยจึงไม่ออกเสียงพูดจา
“ไปได้!”
เกิดเสียงตะโกนกังวาน และกลุ่มคนผู้ทรงอำนาจซึ่งอารักขารอบเกี้ยวก็เดินทางเข้าสู่เมือง
จนกระทั่งเมื่อกลุ่มอารักขาหายลับไป ความเงียบที่ประตูเมืองจึงถูกทำลาย และผู้คนก็เริ่มเสวนา
“คนผู้นั้นคือไข่ในหินของตระกูลชุยหรือ?”
“นอกจากคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลชุย ผู้ใดเล่าจะสามารถทำให้ ‘องครักษ์เกล็ดดำ’ มาคารวะด้วยตนเองได้?”
“จุ๊ ๆ นั่นแหละนงคราญอันดับหนึ่งแห่งเมืองตาข่ายม่วงของเขา นางสวรรค์ไร้ผู้เปรียบซึ่งเป็นที่สนใจที่สุดในเขตราชาหกวิถี!”
“ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นคือใคร? มีความสัมพันธ์อันใดกับคุณหนูแห่งตระกูลชุย?”
“ต้องเป็นผู้มีฝีมือเป็นแน่ หาไม่ ไฉนเขาจึงมีคุณสมบัติเดินเคียงบ่ากับคุณหนูใหญ่ตระกูลชุยได้?”
…ผู้คนหารือ
นับแต่อดีตกาล เมืองตาข่ายม่วงนับเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่อันเฟื่องฟูที่สุดในเขตราชาหกวิถี และตระกูลชุยก็คือนายเหนืออันไร้ผู้ท้าทายในเมืองตาข่ายม่วง!
เขตราชาหกวิถีกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มันใหญ่โตกว่าเขตแม่น้ำลืมเลือนและเขตแม่น้ำยมโลกมาก ไม่ต่างอันใดกับโลกกว้างใบหนึ่ง!
ทว่าในเขตราชาหกวิถีนี้ มีขุมกำลังเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถเทียบชั้นกับตระกูลชุยอันเก่าแก่โบราณได้!
ในฐานะบุตรสาวคนโปรดของเจ้าตระกูลชุย ชุยจิ๋งเหยี่ยนย่อมเป็นหนึ่งในตัวตนผู้ถูกจับตามองที่สุดในเมืองตาข่ายม่วงนี้
ยามนี้ เมื่อกลุ่มองครักษ์เกล็ดดำขับพาหนะผ่านในเมือง มันก็ดึงความสนใจมากมายไปตลอดทาง
เสียงหารือดังขึ้นเสียงแล้วเสียงเล่า
กระทั่งซูอี้ผู้นั่งอยู่ในเกี้ยวยังอดเลิกคิ้วไม่ได้ เขากล่าวหยอกล้อ “ไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะโด่งดังเอาเรื่องเลย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนยืดเอวบางของนางอย่างเกียจคร้านและถอนหายใจ “ทว่าสำหรับข้า ความโด่งดังต่างอันใดกับภาระ? ไม่ว่าข้าจะทำอันใดก็ต้องมากังวลว่าทำได้ดีพอหรือไม่ จะเสียหน้าตระกูลชุยหรือไม่ ไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย”
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ “มันก็เหมือนกับการได้รับพรโดยไม่รู้ว่าเป็นพร โลกนี้มีผู้คนไม่รู้มากมายเพียงไรที่หวังอยากแบกรับภาระที่เจ้าว่า”
เขามองภาพบนถนนตลอดทางผ่านม่านของเกี้ยว และขณะกล่าวเช่นนี้ จู่ ๆ เขาก็เลิกคิ้วพึมพำ “แปลกนัก ไฉนจึงเป็นพวกเขาได้”
“ผู้ใด?”
ทันใดนั้นศีรษะของชุยจิ๋งเหยี่ยนก็เคลื่อนมาใกล้ ใบหน้างามขาวผ่องเกือบแนบชิดใบหน้าของซูอี้ และคู่เนตรชื้นน้ำพร่างดาราก็มองออกไปนอกเกี้ยว ทว่ากลับไม่พบสิ่งใด
ซูอี้ปล่อยม่านหน้าต่างลง เงยหน้าและเคาะหน้าผากของชุยจิ๋งเหยี่ยน “นั่นลง”
หญิงสาวถูหน้าผากและกล่าวอย่างขุ่นเคือง “แค่พูดก็ได้นี่ ทำอันใดของเจ้า? ว่าไป เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเมื่อครู่เจ้าเจอผู้ใด”
ซูอี้ทอดร่างอย่างแสนคร้าน “เจ้ายังจำคู่ศิษย์อาจารย์ที่กลับมายังภูมิมืดมิดกับเราจากมหาทวีปคังชิงได้หรือไม่?”
“จำได้อยู่แล้ว”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง และโพล่งขึ้นอย่างตกใจ “เจ้าจะบอกว่า พวกเขาในยามนี้อยู่ในเมืองตาข่ายม่วงนี่หรือ?”
ซูอี้พยักหน้า
ชายชราตาบอดก็อดแปลกใจไม่ได้
เขายังจำได้ดี ซูอี้เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่าที่มาของคู่ศิษย์อาจารย์นี้ลึกลับ ซ้ำพวกเขายังแบกรับผลกรรมบางอย่าง ดังนั้นการไม่ติดต่อกับพวกเขาให้มากจะดีที่สุด
ใครเล่าจะคิดว่าหลังจากออกจากโถงหลงลืม คู่ศิษย์อาจารย์จะมาปรากฏตัวในเมืองตาข่ายม่วงแห่งนี้!
“คุณชายซู คู่ศิษย์อาจารย์นี้จะทำสิ่งใดกันแน่ขอรับ?”
ชายชราตาบอดอดถามไม่ได้
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็กล่าวโดยไม่ปิดบังอีกต่อไป “ตาเฒ่าผู้นั้นต้องการใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามให้ศิษย์ของเขาเป็นจักรพรรดิในวิถีลึกล้ำ ทว่าหากเขาทำพลาด ไม่เพียงศิษย์เขาจะตาย แต่ผู้เป็นอาจารย์จะได้รับผลหายนะใหญ่หลวงด้วย”
ทั้งชายชราตาบอดและชุยจิ๋งเหยี่ยนต่างผงะอึ้ง
ต้องเป็นวิถีลึกล้ำแบบใดที่เกี่ยวข้องกับ ‘เคล็ดวิชาต้องห้าม’ และ ‘แปรชีวิตฝืนกฎสวรรค์’?
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวไม่ได้ว่า “แม้จะฟังดูน่ากลัว แต่ก็ยังเป็นเรื่องของการแสวงวิถีนี่นา ไฉนเราจึงไม่อาจแตะต้องพวกเขาเพราะผลกรรมติดตัวพวกเขาด้วย?”
ซูอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเราไม่อาจแตะต้อง แต่ไม่จำเป็นตัวเข้าไปพัวพัน แผนของคนผู้นี้จะดึงมหาศัตรูมาสู่ศิษย์ของเขา หากเราติดต่อกับเขามากเกินไป เราจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย ดังนั้นไม่เท่ากับเราหาเหาใส่หัวตัวเองหรือไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตะลึงไป และกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง เราก็ไม่ควรแปดเปื้อนมันจริง ๆ”
ใครเล่าจะอยากได้ปัญหาหากตนสบายดี?
พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกัน และมิตรภาพก็ไม่ได้มากมาย ดังนั้นไม่หาเหาใส่หัวจะเป็นการดีที่สุด
‘แปลกนัก ไฉนพวกเขาจึงปรากฏตัวในเมืองตาข่ายม่วงเล่า? หรือพวกเขาเจอเบาะแสบางอย่างและคิดว่า ‘ร้านจำนำ’ ของหญิงบ้าผู้นั้นจะมาปรากฏที่นี่หรือไร?’
ซูอี้ลูบคางครุ่นคิด
เขารู้ดีว่าสิ่งที่คู่ศิษย์อาจารย์ต้องการทำคือแลกเปลี่ยนบางสิ่งจาก ‘ร้านจำนำ’ เพื่อให้มีโอกาสทำสำเร็จ!