บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 813: เทศกาลหมื่นโคม
ตอนที่ 813: เทศกาลหมื่นโคม
ตอนที่ 813: เทศกาลหมื่นโคม
ชุยจิ๋งเหยี่ยนสังเกตเห็นชัดเจนว่าเซวียฮว่าหนิง แม่ของนางดูไม่ชอบใจเล็กน้อย
นางอดถามไม่ได้ว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อกำลังประสบปัญหาใดอยู่หรือไม่?”
เซวียฮว่าหนิงส่ายหน้ากล่าว “ในเมืองตาข่ายม่วงนี้ ผู้ใดจะกล้าก่อปัญหาในถิ่นเราเล่า? ทว่า…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาคู่งามอ่อนหวานของจักรพรรดิวิญญาณพันจินดาก็ปรากฏความเย็นชา “แขกที่พ่อเจ้ารับในวันนี้ไม่ใช่เรื่องดี!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพลันจำได้ว่าเมื่อกลับบ้านก่อนหน้านี้ ลุงเถาเคยบกนางว่าพ่อของนางกำลังรับแขกจากสามตระกูลโบราณ คือตระกูลชวี ตระกูลหง และตระกูลตั้นไถอยู่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าแขกจากสามตระกูลโบราณเหล่านี้ไม่ใช่คนดี!!
เซวียฮว่าหนิงพลันมองซูอี้และกล่าวว่า “คุณชายซู หากเป็นไปได้ ข้าหวังว่าเจ้ากับจิ๋งเหยี่ยนจะไปยังหอพินิจอุดรกับข้าด้วย”
ซูอี้พยักหน้า
เขาก็คิดจะไปหาชุยฉางอัน เจ้าตระกูลชุยคนปัจจุบันอยู่พอดี!
“ท่านแม่ เราทำเช่นไรได้บ้างยามไปถึงหอพินิจอุดร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนงุนงงเล็กน้อย
“พวกเจ้าก็แค่ไปดูเรื่องสนุกเอง”
เซวียฮว่าหนิงกล่าวพลางหันไปพูดกับชายชราตาบอดอย่างขอโทษขอโพย “ตัวตนของเจ้าพิเศษเกินไป หากถูกจำได้ เกรงว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาสำหรับเจ้าได้ ข้าจึงทำได้เพียงให้เจ้ารอที่นี่นะ”
ชายชราตาบอกพยักหน้า กล่าวว่า “ผู้น้อยเข้าใจความคิดผู้อาวุโส”
และจากนั้น เซวียฮว่าหนิงก็พาซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนออกจากศาลาต้นสนลมโชยทันที
…
หอพินิจอุดร
สถานที่ซึ่งเจ้าตระกูลชุยรับแขกผู้มีเกียรติ
ขณะนี้มีผู้คนมากมายนั่งอยู่บนศาลาใหญ่อันประดับประดาด้วยบรรยากาศโบราณและเรียบง่าย
ชุยฉางอัน เจ้าตระกูลชุยนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ
เขาสวมมงกุฎสูงและอาภรณ์โบราณ หนวดพลิ้วไหวดุจกิ่งหลิว ท่าทีสงบสุขุม ไม่เกรี้ยวกราดถือตน
ในฐานะเจ้าตระกูลชุย ชุยฉางอันไม่ใช่เพียง ‘คนใหญ่คนโต’ ที่ผู้คนหลายต่อหลายล้านในเมืองตาข่ายม่วงทำได้เพียงแหงนคอมอง แต่ยังเป็นหนึ่งในผู้ปกครองสูงสุดไม่กี่ผู้ทั่วเขตราชาหกวิถีด้วย
ทว่ายามนี้ เขาขมวดคิ้วและสงบวาจา
มีผู้คนมากมายนั่งเรียงรายสองข้างโถงศาลา
พวกเขาคือแขกจากสามตระกูลโบราณ อันได้แก่ ตระกูลชวี ตระกูลหง และตระกูลตั้นไถ
สามตระกูลโบราณเหล่านี้ตั้งอยู่ในชายแดนต่าง ๆ ของเขตราชาหกวิถี ทั้งเก่าแก่และทรงพลังอย่างยิ่ง
เหมือนเช่นตระกูลชวีผู้ปกครอง ‘กรมนรกภูมิ’ หนึ่งในกรมหกวิถี และบรรพชนของพวกเขา ‘ยมราชป่วนโลหิต’ ก็เป็นหนึ่งในนักบวชหกวิถีเฉกเช่นเดียวกับชุยหลงเซี่ยง
บรรพชนของตระกูลหงคือผู้ปกครอง ‘กรมสัมภเวสี’ เมื่อนานมาแล้ว
ส่วนบรรพชนตระกูลตั้นไถคือผู้ปกครอง ‘กรมเดรัจฉาน’
กล่าวได้ว่ายอดฝีมือจากตระกูลโบราณทั้งสามคือตัวตนผู้แข็งแกร่งสุดยอดในเขตราชาหกวิถี
และเพราะเหตุนี้เอง พวกเขาจึงควรค่าให้เจ้าตระกูลชุย ชุยฉางอันออกมารับแขกด้วยตนเอง
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าชุยฉางอันเลย
ณ ขณะนี้ บรรยากาศในห้องโถงศาลาพิลึกยิ่งนัก
ในฐานะเจ้าบ้าน ชุยฉางอันกลับขมวดคิ้ว
เหล่าแขกจากสามตระกูลโบราณดูจะผ่อนคลายสบายใจยิ่งนัก และพูดคุยสัพเพเหระต่อกัน
เมื่อเซวียฮว่าหนิงพาซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนมาถึง นางก็ได้เห็นภาพเช่นนี้
“ฮูหยิน เจ้าพาจิ๋งเหยี่ยนมาด้วยทำไม?” ชุยฉางอันซึ่งอยู่ที่นั่งประธานตกใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดสีเขียวข้างกายชุยจิ๋งเหยี่ยน สีหน้าของเขาก็แฝงด้วยความเคลือบแคลง
“ลูกสาวเราโตแล้ว ถึงเวลาให้นางรับรู้แล้วล่ะ”
เซวียฮว่าหนิงกล่าวพลางเดินตรงไปอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งประธานและหันมากล่าวกับซูอี้และชุยจิ๋งเหยี่ยนว่า “พวกเจ้าทั้งสองหาที่นั่งตามใจได้เลย”
จากนั้น สตรีผู้งามสง่าก็หันกลับไปมองเหล่าแขกเหรื่อด้วยแววตาเย็นชาคมปลาบดุจอสนีบาต
“จากนี้ไป ขอทุกท่านหยุดพิธีรีตองที่ไม่จำเป็นเสีย แค่กล่าวเจตนามาตรง ๆ ทีละอย่างก็พอ”
“ข้าสามารถตัดสินใจและให้คำตอบได้ สามีข้า เราร่วมคิดด้วยกันเถอะ”
น้ำเสียงของเซวียฮว่าหนิงสั้นห้วนเย็นชา วาจากังวานก้องไม่ยอมคน
ยามนี้นางดูจะเปลี่ยนบุคลิกเป็นคนละคน เปี่ยมด้วยความขึงขังน่าเกรงขาม
หัวใจของเหล่าแขกชะงักผิดจังหวะ
ในเขตราชาหกวิถี ทุกผู้รู้ดีว่าในตระกูลชุยนี้ ผู้ที่ร้ายกาจที่สุดหาใช่เจ้าตระกูลชุยฉางอันไม่ แต่เป็นฮูหยินของเขาเซวียฮว่าหนิง!
จักรพรรดิวิญญาณพันจินดาผู้เคยเป็นทูตข้ามนทีแห่งโถงหลงลืมเมื่อนานมาแล้วผู้นี้มีตำแหน่งสูงส่งและชื่อเสียงเกรียงไกร รูปลักษณ์ของนางดูอ่อนหวานนุ่มนวล ทว่ากิริยาของนางสามารถแปรเป็นแข็งกร้าวดุร้ายได้
ในช่วงกาลผ่านมา ศัตรูนับไม่ถ้วนสิ้นใจด้วยมือนาง
จนกระทั่งเมื่อยามที่นางแต่งงานกับชุยฉางอัน จักรพรรดิวิญญาณพันจินดาจึงค่อย ๆ หยุดปรากฏตัว แต่การคงอยู่ของนางทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉยต่อนาง
กระทั่งซูอี้ในยามนี้ยังอดชื่นชมการวางตัวของเซวียฮว่าหนิงในใจไม่ได้
ชุยฉางอันและชุยจิ๋งเหยี่ยนต่างเยือกเย็นมาก และไม่แปลกหากพวกเขาจะทำเช่นนั้น
คู่พ่อลูกย่อมรู้จักลักษณะนิสัยของเซวียฮว่าหนิงดีกว่าผู้ใด
“สหายเต๋าเซวีย ระหว่างรอเจ้าอยู่ ข้าก็บอกสหายเต๋าชุยไปแล้ว หากเจ้า…”
ชายชราผู้มีใบหน้าเหมือนเด็กในชุดสีเหลืองกล่าวเบา ๆ จากที่นั่งทางซ้ายมือ
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เซวียฮว่าหนิงก็กล่าวขัด “ข้าต้องการให้เจ้าพูดให้ข้าฟังอีกครั้ง”
แขกจากสามตระกูลโบราณต่างขมวดคิ้ว
โดยเฉพาะชายชราในชุดสีเหลือง หลังจากถูกขัดจังหวะ สีหน้าของเขาก็หม่นหมองน้อย ๆ พลางหันไปกล่าวกับชุยฉางอันว่า “เจ้าก็คิดเช่นเดียวกันหรือ?”
ชุยฉางอันกล่าวตอบ “ก่อนหน้านี้ที่คุยกัน ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก หากเจ้ากล่าวอีกครั้งได้ย่อมดียิ่ง”
ชายชราชุดเหลืองเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ได้ ให้ข้าพูดก่อนแล้วกัน”
เขามองเซวียฮว่าหนิงและกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “จุดประสงค์การมาที่นี่ของตระกูลชวีง่ายมาก ข้าหวังเพียงตระกูลชุยจะเห็นชอบให้ยอดฝีมือจากตระกูลชุยของเราไปยังซากโบราณกองตัดสิน”
ซากโบราณกองตัดสิน!
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย หรือไอ้แก่นี่จะค้นพบสมบัติแล้ว?
นานมาแล้ว ตระกูลชุยเคยปกครองกองตัดสิน สถานะสูงส่งยิ่งกว่ากรมหกวิถี ทว่าเมื่อดินแดนปรภพถูกทำลาย กองตัดสินเดิมจึงกลายเป็นเพียงเรื่องราวในอดีตนับแต่นั้น
ซากโบราณกองตัดสินแต่เดิมเป็นเรือนจำอันลือนามทั่วโลกหล้า สมัยโบราณ ทุกตัวตนซึ่งถูกจองจำในนั้นต่างเป็นตัวตนร้ายกาจอันน่าสะพรึงกลัว ณ ยามนั้น
มีทั้งปีศาจผู้ปกครองโลกหล้า อสูรผู้ออกอาละวาดในโลกา และมารร้ายจากวิถีมารมากมาย…
ที่แห่งนี้ไม่ขาดตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!
ทว่าการล่มสลายของดินแดนปรภพเกิดขึ้นแสนนาน ที่แห่งนี้จึงไม่ใช่เรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษอีกต่อไป
ทว่าซูอี้รู้ว่าแม้จะผ่านกาลเวลานานแสนนาน แต่ก็ยังมีปริศนาอีกอย่างในซากโบราณกองตัดสินซึ่งยังอยู่ใต้การควบคุมของตระกูลชุย!
เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ ในอดีตชาติของเขา ซูอี้เคยผนึกสมบัติไว้ในนั้นชิ้นหนึ่ง!
และยามนี้ ตระกูลชวีโบราณก็อยากจะเข้าไปสำรวจซากโบราณกองตัดสิน จะไม่ทำให้ซูอี้ใส่ใจได้เช่นไร?
เห็นเช่นนี้ เซวียฮว่าหนิงก็กล่าวอย่างเย็นชา “หากต้องการเช่นนั้น ก็ให้ตระกูลชุยของเราเข้าไปใน ‘โลกเร้นลับนครโลหิต’ ของตระกูลชวีเจ้าสักพักสิ แล้วข้าก็จะรับปากเรื่องนี้ให้เจ้าได้เลย”
ชายชราชุดเหลืองพลันหน้าง้ำ “สหายเต๋าเซวีย การกล่าวเช่นนั้นดูจะมากไปหน่อย โลกเร้นลับนครโลหิตคือฐานของตระกูลชวีของข้า จะให้คนนอกเข้าไปได้เช่นไร?”
“เจ้ารู้นี่ว่ามากเกินไป?”
แววตาของเซวียฮว่าหนิงฉายประกายดูแคลน “สิ่งที่ตระกูลชวีของเจ้าไม่เห็นด้วย ตระกูลชุยของเราก็ไม่เห็นด้วย!”
วาจาของนางกังวานไม่อาจขัดขืน
ชายชราชุดเหลืองมีสีหน้าขุ่นเคืองทันที เขาหันไปกล่าวกับชุยฉางอันว่า “เจ้าตระกูลชุยหมายความเช่นนั้นด้วยหรือไม่?”
ชุยฉางอันกล่าวทั้งที่ยังยิ้มว่า “ข้าเป็นคนโลเล คำถามประเด็นใหญ่ทั้งหลายจึงให้ฮูหยินตัดสินใจ”
สีหน้าของชายชราชุดเหลืองย่ำแย่ลงกว่าเก่า “เทศกาลหมื่นโคมจะมาแล้ว เมื่อไม่มียมราชพิพากษาคอยดูแล ตระกูลชุยของเจ้า… ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงอันเกินคาดเดาหรือไร?”
วาจานั้นแฝงคำข่มขู่อันคลุมเครือ
เทศกาลหมื่นโคม?
ซูอี้นับนิ้วคำนวณ จากนั้นก็ตระหนักว่าเหลืออีกเพียงหนึ่งเดือนก่อนจะถึงเทศกาลหมื่นโคม ซึ่งจะจัดขึ้นทุกพันปีในเขตราชาหกวิถี
เทศกาลหมื่นโคมที่ว่านี้คือพิธีการใหญ่อันจัดขึ้นในภูมิมืดมิดทุกพันปี
และช่วงเทศกาลครั้งนี้คือวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด
ในโลกหล้าอื่น ๆ วันนี้เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลไหว้ผีหรือวันสารทจีน
ในสายตาพุทธศาสนิกชน มันคือเทศกาลทำบุญผู้ตาย
และเทศกาลหมื่นโคมซึ่งจัดขึ้นทุกพันปีก็จะถูกจัดในวันนี้!
ยามนั้น ฟ้าดินจะตกสู่ความมืดมิดแห่งราตรีนิรันดร์ และดวงจันทร์แห่งภูมิมืดมิดจะถูกปกคลุมโดยอำนาจประหลาด และอาเพศจะปรากฏขึ้นในพื้นที่ต้องห้ามต่าง ๆ ทั่วภูมิมืดมิด
ยกตัวอย่างเช่น ในประตูผีเบญจทิศ จะปรากฏวิญญาณผู้วายชนม์โบราณขึ้นนับไม่ถ้วน…
ดินแดนต้องห้าม ‘แดนมรณะ’ อันโหดร้ายจะเสียระบบและตกสู่ความโกลาหล
เหนือแม่น้ำบาปสีเลือดอันทรงพลังจะปรากฏประตูยมโลก…
ขุมกำลังดุร้ายน่าหวาดหวั่นมากมายจะผุดขึ้นท่ามกลางรัตติกาลนิรันดร์อันมืดสนิทนี้
เนื่องจากเหตุนี้ เมื่อวันนี้เวียนมาบรรจบทุกวันปี ทุกขุมกำลังบนโลกจึงใช้พลังของตนเพื่อจุด ‘โคมสวรรค์มหาวิถี’ แขวนเหนือรัตติกาลเพื่อปัดเป่าความมืดและหยุดยั้งสารพัดขุมกำลังอันแปลกประหลาดไม่เป็นที่รู้จักเหล่านี้
ถึงยามนั้น ทั่วโลกาในภูมิมืดมิดจะมีโคมล่องลอยทั่วนภาราตรีดุจดวงดาว ดังนั้นจึงเรียกว่าเป็น ‘เทศกาลหมื่นโคม’
ควรค่ากล่าวถึงว่าเดิมที เมืองตาข่ายม่วงเป็นที่ตั้งกองตัดสิน และยังถือเป็นลานประหารของภูมิมืดมิดด้วย
ผลก็คือ ทุกครั้งที่เทศกาลหมื่นโคมมาเยือน ขุมกำลังชั่วร้ายเหี้ยมโหดรอบ ๆ เมืองตาข่ายม่วงจึงร้ายแรงมหาศาลกว่าที่อื่นมากนัก ทำให้เมืองตาข่ายม่วงอันตรายยิ่งกว่า
ทว่าตลอดกาลผ่านมา เนื่องจากมีตระกูลชุยดูแล เมืองตาข่ายม่วงจึงมักแคล้วคลาดจากอันตรายและรอดมาได้จวบปัจจุบัน
แต่ยามนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว
ชุยหลงเซี่ยงผู้นับว่าเป็นกำลังหลักของตระกูลชุยได้ไปยังทะเลทุกข์ ไม่ได้อยู่ในเมืองตาข่ายม่วง!
“มิน่าเล่า ตระกูลชวีจึงกล้ากล่าวขอเกินไปเช่นนี้ ที่แท้พวกเขาก็ฉวยโอกาสก่อนถึงเทศกาลหมื่นโคมมาปล้นตระกูลชุยยามไฟไหม้…”
ซูอี้พอจะเข้าใจแล้ว
“หมายความเช่นไรที่ว่าไม่มีท่านยมราชพิพากษาดูแล? หรือปู่ข้าไม่ได้อยู่ในตระกูลยามนี้หรือ? ไม่กลับมาแม้จะเกิดเทศกาลหมื่นโคมขึ้นหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตกใจ ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย
ยามนี้ หญิงสาวยังตระหนักด้วยว่าตระกูลของนางอาจเกิดอุบัติเหตุบางสิ่งจากภายใน คนตระกูลชวีจึงกล้ามาก่อเรื่องในเขตของตระกูลชุย!