บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 814: คุกเข่าลงรับโทษ
ตอนที่ 814: คุกเข่าลงรับโทษ
ตอนที่ 814: คุกเข่าลงรับโทษ
เมื่อเผชิญคำข่มขู่ของชายชราชุดเหลือง เซวียฮว่าหนิงก็ยิ้มเยาะ “เมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาถึง ตระกูลชุยของข้าจะเปลี่ยนแปลง? มันเกี่ยวอันใดกับตระกูลชวีของเจ้า และเหตุใดต้องไปหนักหัวตระกูลชวีพวกเจ้าด้วย?”
วาจานี้ตำหนิสั้นห้วน ไร้การให้เกียรติใด ๆ
ชายชราชุดเหลืองพลันดูไม่น่ามองเล็กน้อย
เซวียฮว่าหนิงเมินเขา จากนั้นหันไปมองชายวัยกลางคนในชุดดำ ณ ที่นั่งอีกฝั่ง และกล่าวว่า “แล้วตระกูลหงของพวกเจ้ามาด้วยเหตุอันใด?”
ชายวัยกลางคนในชุดดำผู้มาจากตระกูลหงโบราณตอบอย่างจริงจัง “เมื่อสามพันหกร้อยปีก่อน ท่านยมราชพิพากษาเคยเข้าไปใน ‘เมืองมืด’ และขโมย ‘ดาบพิบัติแดง’ สมบัติบรรพชนตระกูลหงของเราไป หงผู้นี้จึงมาที่นี่เพื่อขอให้ตระกูลชุยคืนมันให้แก่เจ้าของเดิมด้วย”
ดาบพิบัติแดง!
สมบัติวิญญาณต้นกำเนิดชิ้นหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าก่อเกิดขึ้นใน ‘ห้วงนรกหมื่นบาป’ ซึ่งเดิมอยู่ใต้การปกครองของ ‘กรมสัมภเวสี’
ทว่าเมื่อสามพันหกร้อยปีก่อน สัตว์ประหลาดเฒ่าจากตระกูลหงถูกชุยหลงเซี่ยงเอาชนะและฉวยโอกาสยึดมันไป
ดาบพิบัติแดงนี้ก็ยังได้กลายเป็นสินสงครามของชุยหลงเซี่ยงด้วยเช่นกัน
“คืนให้เจ้าของเดิม? เมื่อท่านบรรพชนกลับมา พวกเจ้าก็ขอจากเขาเองสิ”
เซวียฮว่าหนิงตอบกลับด้วยวาจาเชือดเฉือน “ข้ากังวลเพียงว่าตระกูลหงของเจ้าจะยังกล้าพอเอ่ยขอมันหรือไม่”
ชายวัยกลางคนในชุดดำเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา “เกรงว่าสหายเต๋าเซวียจะไม่รู้ แต่เมื่อสิบวันก่อน ‘จักรพรรดิผีบงกชเพลิง’ จากภูมิเมฆาแดงกลับมาจากห้วงลึกทะเลทุกข์ ว่ากันว่าท่านยมราชพิพากษาได้พบเรือผีลึกลับและหายตัวไปแล้ว”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “กล่าวสั้น ๆ ก็คือ เกรงว่าท่านยมราชพิพากษา… คงไม่ได้กลับมาอีก!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว บรรยากาศในหอพลันมืดหม่นตึงเครียด
สีหน้าของชุยฉางอันยากตัดสิน ว่าเขายังคงนับว่าสงบเย็น
เซวียฮว่าหนิงหรี่ตา บรรยากาศเฉียบคมกดดัน
ใบหน้างามของชุยจิ๋งเหยี่ยนซีดขาว จนปัญญาโดยสมบูรณ์ และกล่าวเสียงสั่น “เป็นไปไม่ได้! ท่านปู่จะไม่กลับมาได้เช่นไร?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เรือยมโลกสีดำอันมีที่มาประหลาดหรือ?
นับแต่ยามที่เขามายังภูมิมืดมิด เขาก็เคยได้ยินคนจากโถงหลงลืมกล่าวถึงเรือยมโลกสีดำลึกลับที่ปรากฏในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์นับแต่สองสามปีก่อนแล้ว
ผู้ที่ได้เห็นเรือลำนี้ ไม่ว่าจะมีระดับฝึกฝนเช่นไร พวกเขาจะหายไปจากโลกาอย่างแปลกประหลาด
แม้แต่จักรพรรดิยังไม่อาจพ้นหายนะนี้!
“เจ้าจิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงน่าจะรู้เกี่ยวกับความประหลาดของเรือยมโลกสีดำลำนี้แล้ว จุดประสงค์การเดินทางลึกสู่ทะเลทุกข์ก็อาจจะเกี่ยวพันกับเรือยมโลกนี้”
ซูอี้ลอบกล่าว “นอกจากนั้น เวลาเจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ทำสิ่งใด เขาจะเตรียมการเผื่อคับขันไว้ทุกแง่มุมเสมอ และด้วยการกระทำของเขา การจะเลี่ยงเรือผีนั่นก็ไม่ยากเย็น”
ซูอี้มีสังหรณ์ในใจ หากสิ่งที่ชายวัยกลางคนในชุดดำพูดเป็นความจริง เช่นนั้นก็แปลว่าชุยหลงเซี่ยงน่าจะเป็นฝ่ายเข้าไปหาเรือยมโลกสีดำนั่นเอง!
ทว่าก็ยากจะอนุมานได้ว่าชุยหลงเซี่ยงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เทียบกับชุยฉางอัน เซวียฮว่าหนิงและชุยจิ๋งเหยี่ยนแล้ว เหล่าแขกคนอื่น ๆ ดูเยือกเย็นมาก
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทราบข่าวกันแล้ว
กล่าวได้กระทั่งว่าเพราะพวกเขาได้ยินข่าวนี้นี่เอง จึงกล้ามา ‘ปล้นบ้านผู้อื่นยามไฟไหม้’ ที่ตระกูลชุยวันนี้!
“เมื่อท่านยมราชพิพากษาไม่อยู่ พอเทศกาลหมื่นโคมมาถึง ลำพังความแข็งแกร่งปัจจุบันของตระกูลชุย แม้จะรักษาเมืองตาข่ายม่วงไว้ได้ แต่เกรงว่าก็คงเสียหายมหาศาลอยู่ดี”
ชายวัยกลางคนในชุดดำกล่าวต่อ “ในทางกลับกัน ขอเพียงตระกูลชุยยอมคืนดาบพิบัติแดงมา บางทีข้าและตระกูลหงก็อาจจะมาช่วยตระกูลชุยของพวกเจ้าก็ได้”
สีหน้าของเซวียฮว่าหนิง ณ ยามนี้เย็นชาเป็นที่สุด
นางเมินชายวัยกลางคนในชุดดำและมองชายในชุดขนนกที่อีกฝั่งหนึ่ง “แล้วตระกูลตั้นไถของพวกเจ้ามาเพื่อการใด?”
ชายในชุดขนนกลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาที่นี่ในครานี้เพื่อเป็นตัวแทนตระกูลตั้นไถในการเสนอขอแต่งงานกับตระกูลชุย!”
เสนอขอแต่งงาน?
เซวียฮว่าหนิงผงะ
ชายในชุดขนนกชึ้ไปทางชายหนุ่มในอาภรณ์หยกข้างกายเขา กล่าวว่า “นี่คือบุตรแห่งทายาทคนโตตระกูลข้า นามตั้นไถหลิ่ว เป็นผู้นำชนรุ่นเยาว์ในตระกูลข้า และมีอายุเท่ากันกับบุตรสาวที่รักของสหายเต๋าเซวีย จิ๋งเหยี่ยน”
ชายหนุ่มในอาภรณ์หยกลุกขึ้นทักทายเซวียฮว่าหนิงทันที “ผู้น้อยตั้นไถหลิ่วคารวะผู้อาวุโส”
เขาดูติดดิน แต่ก็แฝงความหยิ่งผยอง
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน คิ้วของนางขมวด
หญิงสาวไม่คาดฝันเลยว่าตระกูลตั้นไถจะมาที่นี่เพื่อขอนางแต่งงาน!
นางเองก็รู้ว่าตั้นไถหลิ่วเป็นผู้เก่งกาจแห่งยุคปัจจุบันอันเจิดจรัสมากในหมู่ชนรุ่นเยาว์ในเขตราชาหกวิถี ทว่าคนผู้นี้เจ้าสำราญ มากตัณหาและมีชื่อเสียงย่ำแย่
เมื่อสองสามปีก่อน มีกระทั่งเรื่องอื้อฉาวที่ตั้นไถหลิ่วและอนุภรรยาของผู้อาวุโสตระกูลตนเองกระทำผิดผี
ดูเหมือนว่าตัวตนเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์การฝึกฝนสูงเพียงไรก็ยังเป็นที่รังเกียจอยู่ดี!
ในขณะที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง เซวียฮว่าหนิงก็กล่าวว่า “ไม่เพียงข้าจะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ แต่ตระกูลชุยของข้าจะไม่ตกลงแน่”
วาจานั้นเยือกเย็น ทว่าเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพลันผ่อนหายใจโล่งอก
สีหน้าของตั้นไถหลิ่วพลันมืดหมอง มองชายในชุดขนนกข้างกายเขา
ชายในชุดขนนกกล่าวอย่างใจเย็น “สหายเต๋าเซวีย หากตระกูลของเราสองดองกัน กล่าวได้ว่าดีกับทั้งองฝ่าย และหากในอนาคตตระกูลชุยประสบปัญหา ตระกูลตั้นไถของเราย่อมไม่อยู่เฉย…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ เซวียฮว่าหนิงก็กล่าวขัดอย่างเย็นชา “ตระกูลชุยของข้าอยู่ยงแต่โบราณ ยามใดกันที่เราต้องใช้การแต่งงานของลูกหลานเพื่อประโยชน์ของตระกูล? หากทำเช่นนี้ก็ช่างน่าขายหน้าสำหรับคนตระกูลชุยทั้งหลายนัก!”
ถ้อยคำกังวานชัดเจน
ซูอี้อดชื่นชมไม่ได้ จิตวิญญาณของเซวียฮว่าหนิงไม่ได้ด้อยไปกว่าชายผู้ทรงธรรม!
ความรุ่งเรืองและล่มจมของตระกูล จะเปลี่ยนแปลงด้วยการแต่งงานได้เช่นไร?
ชายในชุดขนนกแข็งทื่อไปเล็กน้อย และเตรียมจะพูดบางอย่าง
ทว่าเซวียฮว่าหนิงขัดขึ้นหน้าตาย “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลูกสาวข้ามีชายที่นางชอบแล้ว ดังนั้นจึงตกลงต่อคำขอแต่งงานจากตระกูลตั้นไถไม่ได้”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
ชุยฉางอันตะลึงมึนงง
ซูอี้กุมขมับ พลางอมยิ้มขำ ๆ
ตั้นไถหลิ่วอดกล่าวไม่ได้ว่า “ขอบังอาจถามผู้อาวุโส ผู้ใดหรือที่แม่นางจิ๋งเหยี่ยนชอบ?”
เซวียฮว่าหนิงชี้ซูอี้และกล่าวว่า “คุณชายซูอี้ผู้นี้ไง”
“ซูอี้? มีคนเช่นนี้ในเขตราชาหกวิถีด้วยหรือ?”
ตั้นไถหลิ่วเคลือบแคลง สีหน้าแย่ลงเล็กน้อย “ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าท่านต้องการใช้วิธีนี้เพื่อปฏิเสธข้าหรือ?”
เซวียฮว่าหนิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เขาอาจไม่เป็นที่รู้จักในภูมิมืดมิด ทว่าตราบใดที่ลูกสาวข้าชอบเขา ข้าก็ยินดีให้นางแต่งงานกับเขา หากลูกสาวข้าไม่ชอบ นางก็จะเป็นสาวงามไร้ผู้เปรียบอันดับหนึ่งในโลกหล้าต่อไป ไม่จำเป็นต้องออกเรือนตระกูลชุยของข้า!”
วาจาของนางแข็งกร้าว ปิดโอกาสโต้เถียง
ทว่า ชุยจิ๋งเหยี่ยนกลับกระอักกระอ่วนขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนทางซูอี้ กล่าวได้เพียงว่าเขาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ยังมีสิ่งใดที่ทำได้ด้วยหรือ?
ในโอกาสเช่นนี้ ไม่ง่ายหากต้องการอธิบายเรื่องเช่นนี้ หาไม่มันจะรังแต่เพิ่มความหยิ่งผยองของตระกูลตั้นไถ พวกนั้นจะคิดว่าเขากลัวตระกูลตั้นไถ และจะหาเรื่องแยกเขาจากชุยจิ๋งเหยี่ยน…
เรื่องลดศักดิ์ศรีตนมาเสริมความเหิมเกริมของอีกฝ่าย ซูอี้ไม่อาจทำได้อยู่แล้ว
ชุยฉางอันไม่อาจทราบได้ว่ากำลังคิดอันใด มุมปากของเขากระตุก และดวงตาพลันดูพิกล
ยามนี้ ชายในชุดขนนกดูรำคาญใจเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สหายเต๋าเซวีย หากจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร ทว่าการที่เจ้าใช้บุคคลไร้ที่มาที่ไปเช่นนี้มากล่าวอ้าง เห็นได้ชัดว่าจงใจหมิ่นตระกูลตั้นไถของข้า!”
ตั้นไถหลิ่วเองก็กล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดต้องนำผู้ไม่รู้ตัวนอนปลายเท้ามาเทียบกับข้าด้วย? ผู้อาวุโส ท่านทำเกินไปแล้วจริง ๆ!”
วาจาของทั้งสองกดซูอี้จนจมดิน กล่าวอ้างว่าเป็นการดูหมิ่นตระกูลตั้นไถของเขา และใช้การนี้เพื่อแสดงโทสะต่อเซวียฮว่าหนิง
นี่ทำให้คิ้วของซูอี้กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกไม่ชอบใจสุด ๆ
ครานี้ ไม่รอให้ผู้ใดเอ่ยปาก เขาก็กล่าวขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “พวกเจ้าทั้งสองอธิบายมา การที่ข้าเป็นผู้ที่เจ้าไม่รู้จักที่มาที่ไปเกี่ยวข้องอันใดกับการดูหมิ่นตระกูลตั้งไถของพวกเจ้า?”
ทุกผู้ในที่ประชุมต่างแปลกใจ
นับแต่ยามที่ซูอี้เข้ามาในหอพินิจอุดร เขาไม่เคยส่งเสียงสักแอะ เมินเฉยแขกจากตระกูลโบราณทั้งสามราวกับเป็นคนผ่านทาง
ทว่ายามนี้ ไม่มีผู้ใดคาดว่าเขาจะกล้าเข้าร่วมพิพาทเช่นนี้ ซ้ำท่าทีที่แสดงยังแข็งกร้าวนัก!
“โอ้ เจ้าเด็กนี่ดูจะไม่ได้ตื่นเต้นนะ”
ชายชราชุดเหลืองจากตระกูลชวีหัวเราะอย่างทึ่มทื่อ
“เป็นปัญหาทั่วไปที่คนรุ่นเยาว์ไม่อาจยั้งปากไหว ทว่าสหายน้อยผู้นี้ไม่เพียงยั้งปากไม่ได้ ยังไม่อาจรู้กาลเทศะ ไม่ประมาณตน แต่ยังกล้าก่อความวุ่นวายด้วยตนเองอีก ช่าง… ไร้สมองนัก”
ชายวัยกลางคนในชุดดำจากตระกูลหงกล่าวเบา ๆ อย่างเหยียดหยามโดยไม่ปิดบัง “สหายเต๋าเซวีย หากเจ้าให้บุตรสาวแต่งงานกับคนเช่นนี้… เกรงว่าชีวิตของนางอาจพังทลายได้นะ”
เหล่าแขกเหรื่อต่างหัวเราะเฮฮา
ช่างน่าขำนักที่ตัวตนไร้ที่มากล้าออกเสียง ณ ยามนี้!
แน่นอนว่าพวกเขาพยายามดูถูกเหยียดหยามซูอี้อย่างเห็นได้ชัด ทว่าที่จริงแล้ว พวกเขากำลังใช้เรื่องนี้ทำให้เซวียฮว่าหนิงอับอาย
เพราะท้ายที่สุด ในสายตาพวกเขา ซูอี้ไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาเลย
ใครเล่าจะสนใจคนผู้ที่ตนไม่เคยได้ยินชื่อ?
ชายในชุดขนนกและตั้นไถหลิ่วอดยิ้มถากถางไม่ได้ ราวกับเห็นมดตัวหนึ่งท้าทายสิ่งที่อยู่เหนือกำลังตนเอง ให้ความรู้สึกน่าขันอย่างยิ่ง
เซวียฮว่าหนิงขมวดคิ้ว
เปลือกตาของชุยฉางอันกระตุก
สีหน้าของชุยจิ๋งเหยี่ยนดูพิกล นางกล่าวว่า “พี่ซู แม้ข้าจะหวังให้เจ้าจัดการพวกเขาเสีย แต่สถานการณ์ยามนี้เกี่ยวกับข้อพิพาทกับตระกูล เจ้าคง…”
ทว่าก่อนที่นางจะทันพูดจบ ซูอี้ก็โบกมือกล่าวเนิบ ๆ “เจ้าดูเถิด”
ยามนี้เมื่อชุยหลงเซี่ยงไม่อยู่ ตระกูลชุยถูกรังแกเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้หากจะให้เขานิ่งเฉย
กล่าวจบ ซูอี้ก็ยืนขึ้น กวาดตามองไปรอบ ๆ และในที่สุดก็มองไปยังชายในชุดขนนกกับตั้นไถหลิ่ว ก่อนจะกล่าวอย่างไร้อารมณ์
“หากไม่ยอมอธิบาย ก็คุกเข่าลงรับโทษแล้วกัน”
ดุจดั่งสายฟ้าฟาดพสุธา ผู้ฟังตะลึงนิ่ง
สีหน้าของชายในชุดขนนกและตั้นไถหลิ่วพลันย่ำแย่สุดขีด