บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 816: มองทะลุ
ตอนที่ 816: มองทะลุ
ตอนที่ 816: มองทะลุ
วาจาของชุยฉางอันทำให้ทุกคนตกตะลึง
บังคับให้ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิจากตระกูลตั้นไถคุกเข่า!
ใครเล่าจะคิดว่าเจ้าตระกูลชุยผู้มีท่าทางสุภาพเยือกเย็นจะเปลี่ยนเป็นขึงขังเพียงนี้เพื่อซูอี้?
กระทั่งเซวียฮว่าหนิงและชุยจิ๋งเหยี่ยนยังผงะ
การกระทำเช่นนี้มิได้เรียบง่ายแค่ลงโทษตั้นไถซื่อ แต่ยังเป็นการประกาศการแตกหักและสร้างสัมพันธ์อันแย่กับตระกูลตั้นไถโดยสมบูรณ์!
สิ่งที่ต้องแลกเหล่านี้จริงจังโดยไม่ต้องสงสัย
แต่ดูเหมือนว่าชุยฉางอันจะคิดไว้แล้ว และไม่ได้ใส่ใจเลย!
ตั้นไถซื่อหน้าเขียวด้วยโทสะ ดูใกล้ตายด้วยความอับอายเคืองโกรธทุกขณะ และไม่อาจเชื่อได้ว่าชุยฉางอันจะหยามเขาเช่นนี้
ควรค่าจดจำว่าเขาเป็นจักรพรรดิ!
หากเรื่องที่เขาถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณแพร่งพรายออกมา เขาย่อมได้กลายเป็นตัวตลกประจำภูมิมืดมิด ถูกล้อเลียนไม่ว่าจะไปที่ใดในภายภาคหน้าเป็นแน่
ความอับอายนี้ไม่อาจถูกลบล้าง!
“สหายเต๋าชุย หากทำเช่นนี้ ผลที่ตามมาจะร้ายแรง คุ้มค่าแล้วหรือกับผู้น้อยในขอบเขตสยายวิญญาณเช่นนั้น?”
ชายชราชุดเหลืองจากตระกูลชวีโบราณกล่าวเสียงลุ่มลึก
ชุยฉางอันกล่าวอย่างเฉยเมย “ตระกูลชุยของข้ามีกฎเสมอ ว่าหากผู้ใดรังแกคนในถิ่นเรา ก็อย่าได้โทษว่าตระกูลชุยของข้ารังแกกันเลย! จริงอยู่ที่พ่อข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ยามนี้ ทว่าตระกูลชุยของเขาก็ยังไม่ใช่ที่ให้พวกเจ้าทำตามอำเภอใจ เป็นหมาเป็นแมวกันหรือไร!”
สีหน้าของชายชราชุดเหลืองดูไม่สู้ดีที่ถูกหาว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อำนาจของชุยฉางอันแสดงออกมาแข็งแกร่งเกินไป ดูราวพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
ชายวัยกลางคนในชุดดำจากตระกูลหงโบราณอดกล่าวไม่ได้ว่า “แต่การที่เจ้าขอให้สหายเต๋าตั้นไถคุกเข่าขออภัย… มันเป็นการหยามหมิ่นกันเกินไป ยิ่งกว่านั้น อีกไม่นานเทศกาลหมื่นโคมก็จะมาแล้ว หากสหายเต๋าชุยแตกหักกับตระกูลตั้นไถตอนนี้จะนับได้ว่าไม่ฉลาดนัก ดังนั้นโปรดคิดอีกทีเถิด”
ชุยฉางอันกล่าวอย่างเย็นชา “ยามที่พ่อข้าอยู่ พวกเจ้าจะกล้ามาฉวยโอกาสปล้นตระกูลชุยของข้ายามไฟไหม้หรือ? และยามนี้ยังมาขอให้ข้าคิดอีกที ลูกบ้านตระกูลหงเช่นเจ้ากล้าดีอย่างไร? แม้เจ้าตระกูลหงของเจ้ามาเอง เขายังมิกล้าพูดกับข้าเช่นนี้เลย!”
ชายวัยกลางคนในชุดดำหน้าเสีย ถูกตำหนิเสียจนผงะงงไร้วาจา
ไม่มีผู้ใดคาดว่าชุยฉางอันผู้มีกิริยาอ่อนโยนยิ่งเมื่อกาลก่อนจะดุร้ายอหังการเพียงนี้ยามโมโห
ผลก็คือสีหน้าของเหล่าแขกคนอื่น ๆ ต่างไม่แน่ใจ ตกใจและกรุ่นโกรธ
“จะคุกเข่าหรือไม่?”
ชุยฉางอันมองตั้นไถซื่ออย่างเย็นชา อำนาจร้ายกาจดุจอสูรร้ายเลือกเหยื่อสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อตั้นไถซื่อ
บรรยากาศในหอตึงเครียดถึงขีดสุด ณ ยามนี้
ตั้นไถซื่อสูดหายใจลึก ๆ กัดฟันกล่าวว่า “ชุยฉางอัน เจ้าจะฆ่าข้าก็ได้ แต่อย่าให้ข้าคุกเข่าก้มหัวให้เจ้าคนต่ำต้อยในวิถีวิญญาณเลย!”
เขาเชื่อว่าชุยฉางอันไม่กล้าฆ่าเขาหรอก
ทว่าชุยฉางอันกลับพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะ “เช่นนั้นข้าก็อยากลองดูว่ากระดูกของเจ้าจะแข็งเท่าปากหรือไม่!”
วาจาไม่ทันจบ เขาก็ยื่นมือออกคว้าไปที่ตั้นไถซื่อ
ตั้นไถซื่อผู้เตรียมตัวอยู่นานหันหลังเผ่นหนี
เขารู้ดีว่าด้วยวิถีเต๋าในขั้นต้นของวิถีหยั่งเห็นลึกล้ำ เขามิใช่คู่มือของชุยฉางอันเลย ดังนั้นเขาจะหลับหูหลับตาสู้ได้เช่นไร?
วูบ!
ร่างของตั้นไถซื่อวูบไหว เขาใช้เคล็ดวิชาหลีกเร้นดุจเคลื่อนไหวพริบตา แทบไม่อาจมองการเคลื่อนไหวออก
ในขณะที่ร่างของเขากำลังจะพ้นจากหอพินิจอุดรนั้นเอง
ชุยฉางอันก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย
ตู้ม!
ค่ายกลซึ่งรายล้อมหอพินิจอุดรอยู่คำราม แสงทองอร่ามตาไร้สิ้นสุดสาดทอ ปิดกั้นทางออกหอพินิจอุดรดุจหุบผาขวางกั้น
เปรี้ยง!!
ตั้นไถซื่อชนเข้ากับแสงสีทองตรง ๆ ร่างของเขาโซเซเกือบร่วงลงสู่พื้นจากแรงกระแทก ดวงดาราสีทองปรากฏตรงหน้า
ทุกคนตะลึงค้าง ใครเล่าจะคิดว่าหอพินิจอุดรจะมีค่ายกลระดับจักรพรรดิกางอยู่?
หาไม่ ตั้นไถซื่อจะถูกขวางได้เช่นไร?
โดยไม่รอให้ตั้นไถซื่อมีปฏิกิริยา ชุยฉางอันก็ปรากฏตรงหน้าเขาจากอากาศธาตุ และเหยียบเข่าของเขาสองที
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
กระดูกเข่าของตั้นไถซื่อแหลกพร้อมโลหิตทะลักไหล ใบหน้าของตั้นไถซื่อบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด และครวญเสียงอย่างเจ็บปวด
มือเท้าคนทุกผู้เย็นเฉียบ ตื่นตกใจอย่างสมบูรณ์
การลงมือของชุยฉางอันรวดเร็ว ดุดันและเฉียบขาดอย่างยิ่ง ไร้ช่องให้หลบเลี่ยงได้เลย ไม่ยอมคุกเข่า? เช่นนั้นก็หักขาเลยแล้วกัน!
ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิผู้สูงส่งที่โลกทำได้เพียงแหงนหน้ามอง ท้ายที่สุดต้องขดตัวกับพื้นดุจนักโทษแทบเท้า
ภาพอันโหดร้ายสะเทือนขวัญเช่นนี้ย่อมน่าตกใจ
เพราะถึงอย่างไร วิถีลึกล้ำก็เปรียบดุจผืนฟ้า และจักรพรรดิก็เป็นดั่งเทพ
ในสายตาผู้ฝึกตนนับร้อย ๆ ล้านทั่วโลกา ผู้ใดจะเชื่อว่าจักรพรรดิผู้เป็นดั่งเทพจะมีสภาพน่าเวทนาเพียงนี้?
นี่คือครั้งแรกที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนได้เห็นภาพนี้
กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสยังรู้สึกหนาวสั่น
การพิพาทระหว่างจักรพรรดิไม่ได้เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว
ทว่าภาพเช่นวันนี้ยังทำให้ผู้คนไม่อาจสงบใจได้
ในทางกลับกัน ซูอี้เยือกเย็นมาก
เขาชาชินแล้ว
จักรพรรดิเองก็มีการแบ่งระดับกันภายใน
ตัวตนเช่นตั้นไถซื่อถือได้ว่าเป็นเพียง ‘ดาวรุ่ง’ ในขั้นต้นของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ และเป็นจักรพรรดิหน้าใหม่
วิถีเต๋าของเขายังย่ำแย่กว่าจักรพรรดิผู้ฝึกฝนกายเนื้ออย่างหร่านเทียนเฟิงแห่งสำนักนภายมโลกเล็กน้อย
ในอดีตชาติ ซูอี้ไม่แม้แต่จะจัดการกับตัวตนเช่นนี้ด้วยตนเอง
อันที่จริง อย่าว่าแต่ตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นเลย กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำและสานพันธะลึกล้ำยังไม่ได้สูงส่งไร้เทียมทานโดยแท้จริงแต่อย่างใด
ในสายตาแห่งโลกหล้า จักรพรรดินั้นเป็นดั่งเทพผู้สูงส่ง เรียกลมเรียกฝนสยบทศทิศ แทบไร้เทียมทานบนโลกหล้าจริงอยู่
ทว่าในสายตาของผู้ที่เป็นจักรพรรดิเช่นกัน จักรพรรดิเหล่านี้ก็เป็นเพียงผู้แสวงหาวิถีของตน
“ท่านอา…”
ตั้นไถหลิ่วผู้บาดเจ็บสาหัสเพราะซูอี้ตะลึงอึ้งเมื่อเห็นเช่นนี้ ดูราวไม่อยากเชื่อ
“ชุยฉางอัน อยากฆ่าก็ฆ่าซะ ไฉนต้องใช้วิธีเช่นนี้มาทำให้ข้าอับอายด้วย?”
ตั้นไถซื่อเค้นเสียง ดวงตาแดงฉาน
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีจุดประสงค์ใด ท้ายที่สุดพวกเจ้าก็เป็นแขก ข้าจะฆ่าพวกเจ้าได้เช่นไร?”
ชุยฉางอันกล่าวเลื่อนลอย “กลับไปบอกเจ้าตระกูลเจ้าเสีย หากต้องการล้างแค้นก็มาหาข้านี่!”
กล่าวจบ เขาก็เหลือบมองคนจากตระกูลตั้นไถในห้องโถง โบกมือกล่าวว่า “รีบพาคนของเจ้าไปเสีย”
ยอดฝีมือจากตระกูลตั้นไถเหล่านั้นรีบร้อนเผ่นหนีราวกับได้รับอภัยโทษ และหายไปแทบจะในทันที
จากนั้น ชุยฉางอันก็มองซูอี้ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับแปลกเล็กน้อย เขากล่าวเบา ๆ
“ซู… เอ่อ คุณชายซูคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของข้าเหมาะสมหรือไม่?”
วาจาที่เขากล่าวกับซูอี้ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย และกระทั่งน้ำเสียงของเขายังนุ่มนวลและดูเหมือนขอคำชี้แนะ
เขาไม่ได้โอหังดุร้ายเหมือนยามที่เผชิญหน้าตั้นไถซื่อเมื่อครู่
ทว่าคนทุกผู้ต่างตะลึงกับฉากสะเทือนขวัญเมื่อครู่จนแทบไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนนี้เลย มีเพียงเซวียฮว่าหนิงผู้เดียวที่เป็นข้อยกเว้น
นางรู้นิสัยของสามีนางดีกว่าใคร และเมื่อเห็นเขาปฏิบัติเช่นนี้ต่อซูอี้ นางก็ยิ่งประหลาดใจงุนงง
มีเหตุผลใดให้สามีข้าฉีกหน้าตระกูลตั้นไถโดยสมบูรณ์เพื่อซูอี้?
และเหตุผลใดที่ทำให้เมื่อสามีข้าเผชิญหน้าชายหนุ่มเช่นซูอี้ เขากระทั่งดู… กระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย?
ซูอี้เหลือบมองชุยฉางอันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม และสรุปได้ว่า ‘ฉางอันน้อย’ เมื่อกาลก่อนคงเดาฐานะของเขาออกแล้ว
ทว่าเขาไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด ด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะสังเกตเห็น ดังนั้นจึงทำได้เพียงเรียกเขาว่า ‘คุณชายซู’ บังหน้า
“ดีมาก”
ซูอี้พยักหน้า
ชุยฉางอันพลันผ่อนหายใจโล่งอก
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเซวียฮว่าหนิงก็เบิกกว้าง หากไม่ใช่ว่ากาลเทศะไม่เหมาะสม นางคงอยากเข้าไปถามสามีนางแล้วว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“ดูเหมือนว่าการกระทำวันนี้จะไร้ข้อกังขา งั้นก็ตามนั้น ตระกูลชุยของพวกเจ้า… เอาตัวรอดกันเองแล้วกัน!”
ชายชราชุดเหลืองจากตระกูลชวีโบราณกล่าวขึ้น และเดินจากไปทันทีที่กล่าวจบ
“ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเมืองตาข่ายม่วงนี้จะเป็นเช่นไรยามเทศกาลหมื่นโคมมาถึง”
ชายวัยกลางคนในชุดดำจากตระกูลหงโบราณก็กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะพาคนในตระกูลจากไป
อยู่ต่อก็ไร้ความหมาย
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เกิดกับตั้นไถซื่อทำให้พวกเขาทั้งหมดสั่นกลัวว่าชุยฉางอันจะสติแตก ทำให้พวกเขาอับอายตามไปด้วย
ชุยฉางอันหันมองซูอี้โดยไม่รู้ตัว
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ชุยฉางอันไม่หยุดพวกเขา และปล่อยแขกจากไป
ไม่นานนัก ห้องโถงอันยุ่งเหยิงก็เหลือเพียงซูอี้ ชุยฉางอัน เซวียฮว่าหนิงและชุยจิ๋งเหยี่ยนสี่คน
ที่นอกโถง สมาชิกตระกูลชุยหลายคนได้ยินเสียงแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาโดยไม่ได้รับคำสั่ง
บรรยากาศพลันอึมครึมลง
ในใจชุยจิ๋งเหยี่ยนสับสน ยังไม่สร่างจากความตกใจเมื่อครู่
เซวียฮว่าหนิงมีสีหน้าซับซ้อน นางตระหนักแล้วว่าซูอี้ ชายหนุ่มที่นางชอบมากคงมีที่มาลึกล้ำ
ชุยฉางอันมองซูอี้อย่างลังเลนิดหน่อย ทว่าก็หยุดพูดไป
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ดูขำขันอยู่ชั่วขณะ ฉางอันน้อยผู้นี้กลายเป็นตัวตนผู้ปกครองตระกูลชุยแห่งเขตราชาหกวิถี และยังเป็นผู้ปกครองขั้นสูง ทว่าเขายังคงเหมือนเดิมยามเผชิญหน้ากัน ไฉนเขาจึงรู้สึกทำตัวไม่ถูกเช่นนี้?
ทว่านี่ก็ย้ำเตือนซูอี้ถึงเรื่องราวมากมายในอดีตชาติ และเขาก็สะเทือนใจทีเดียว
กาลเวลาผ่านผันไม่รู้จบ เรื่องราวมีทั้งถูกผิดแปรผัน
กระทั่งชายหนุ่มอย่างชุยฉางอันยังเติบโต กลายเป็นคนใหญ่คนโตผู้ลือนามทั่วโลกา
ยามก่อนและยามนี้ การเปรียบเทียบทำให้รู้สึกราวเป็นคนละคน
ซูอี้ไม่ครุ่นคิดให้มากความนัก หลังจากชะงักเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “เจ้าจัดการเรื่องนี้กันไปก่อน ข้าจะไปรอที่ศาลาต้นสนลมโชยนะ”
จากนั้นเขาก็เอามือไพล่หลัง และเดินออกจากโถงหลัก
กิริยาสงบเงียบ สบายตัวราวเดินในบ้านตนเอง
ทว่าชุยฉางอันกลับไม่พูดอันใด ขณะเดียวกันแววตาของเขากลับลุกโชน ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติตื่นเต้นจากใจ
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ เขาเพียงเดาตัวตนของซูอี้ได้คร่าว ๆ
ทว่ายามนี้ เขากล้าเชื่อมั่นสุดใจแล้วว่าซูอี้คือผู้ใด!
แต่เดิม ชุยจิ๋งเหยี่ยนคิดจะตามเขาไป ทว่ายามนี้นางกลับลังเล
หญิงสาวก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าบิดาตนประพฤติตัวแปลก ๆ และความเคลือบแคลงสารพัดก็ปรากฏขึ้นในใจ
ขณะเดียวกัน เซวียฮว่าหนิงผู้สังเกตความประหลาดนี้ได้นานแล้วก็อดถามอีกครั้งไม่ได้ “สามีข้า นี่… เกิดอันใดขึ้น?”