บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 818: ท่านลุงซู
ตอนที่ 818: ท่านลุงซู
ตอนที่ 818: ท่านลุงซู
ชายชราตาบอดลุกขึ้นทักทาย “ขอบังอาจถามว่าท่านคือผู้ใด?”
“ชุยฉางอัน”
ชุยฉางอันแย้มยิ้ม “ข้าเคยพบพานอาจารย์ของเจ้ามาก่อน และพ่อข้ากับอาจารย์เจ้าก็เป็นสหายกัน”
ชายชราตาบอดอึ้งไป และทันใดนั้นก็กล่าวอย่างสุภาพด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้น้อยอวิ๋นจือจิ่วคารวะผู้อาวุโส”
อวิ๋นจือจิ่ว
นามที่แท้จริงของชายชราตาบอด
ชุยฉางอันกล่าวพร้อมด้วยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าได้ยินสิ่งที่อาจารย์เจ้าประสบมาแล้ว และยามนี้เจ้าก็มายังตระกูลชุยของข้า ตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นบ้านตนเองก่อนก็ได้ รอให้ข้าคุยกับท่าน… เอ่อ คุณชายซูจบก่อน แล้วข้าจะจัดเวลาให้เจ้าไปยังพฤกษาหมื่นวิถี”
ชายชราตาบอดเข้าใจทันที เขาบอกลาและจากไป
ในศาลาต้นสนลมโชยจึงเหลือเพียงซูอี้และชุยฉางอัน
เจ้าตระกูลชุยเรียกใช้ค่ายกลในศาลาต้นสนลมโชยเพื่อกันมิให้ภายนอกเข้ามาวุ่นวายเป็นอันดับแรก
จากนั้น เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และคำนับใหญ่ต่อซูอี้ผู้กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม และกล่าวอย่างนอบน้อม
“หลานชายชุยฉางอัน คารวะท่านลุงซู!”
เขาคือชายผู้ถือครองอำนาจตระกูลชุยมาหลายพันปี เป็นจักรพรรดิผู้ทรงอิทธิพล และยังเป็นหนึ่งในผู้ปกครองสูงสุดซึ่งสามารถเขย่าเขตราชาหกวิถีได้เพียงหนึ่งกระทืบเท้า
ทว่ายามนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ วาจาของเขากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นลิงโลด และความเกรงขามระงับใจตนซึ่งแฝงมาอย่างคลุมเครือ
เป็นการวางตนอย่างถ่อมตัวเมื่อผู้น้อยพบผู้ใหญ่
หากลูกบ้านตระกูลชุยไม่ว่าน้อยใหญ่มาเห็นภาพนี้เข้า คงได้ตกใจเป็นแน่
ซูอี้รับมันอย่างเยือกเย็น สีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าสิ่งใดผิดแปลก
ในอดีตชาติ ชื่อของชุยฉางอันก็มาจากการที่ชุยหลงเซี่ยงขอให้ซูอี้เป็นคนตั้ง ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาหากจะเรียกเขาเป็นท่านลุง
ซูอี้วางถ้วยชาลง โบกมือกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้นิสัยข้า ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”
ชุยฉางอันพยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงข้างซูอี้ รำพึงด้วยหวนรำลึก “ห้าร้อยปีก่อน คนทุกผู้ในโลกต่างคิดว่าท่านลุงซูจากไปแล้ว มีเพียงบิดาข้าที่บอกว่าตัวตนเช่นท่านลุงซูไม่มีทางหายไปจากโลกหล้าโดยไร้เสียง และยามนี้ ดูเหมือนบิดาข้าจะพูดถูกนะขอรับ”
ซูอี้ครุ่นคิด และถามว่า “เหตุใดพ่อเจ้าจึงไปยังทะเลทุกข์?”
ชุยฉางอันเงียบไป และกล่าวว่า “ก่อนเขาจะไป บิดาข้าบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงสะเทือนโลกาในภูมิมืดมิด และที่มาของการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ขอรับ ส่วนเหตุผลเจาะจง กระทั่งข้าก็ไม่ทราบ”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยามเขาจากไป เขากล่าวอันใดบ้าง?”
สีหน้าของชุยฉางอันแปลกไป หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “ท่านพ่อข้าเคยกล่าวว่า… ยามเขาไม่อยู่ ย่อมต้องมีผู้ใดมาก่อเรื่องวุ่นวายเป็นแน่ หากท่านลุงซูมา ก็ให้ขอท่านลุงซูดูแลตระกูลชุยเราขอรับ”
ซูอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่กึ่งมิใช่รอยยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว แต่วาจาแรกเริ่มของพ่อเจ้าต้องไม่ใช่เช่นนี้แน่”
ชุยฉางอันกระดากอายเล็กน้อย
เหมือนเช่นซูอี้คาดเดา ในยามที่ชุยหลงเซี่ยงออกเดินทางสู่ทะเลทุกข์ เขาฝากฝังชุยฉางอันไว้ว่า..
“หากตระกูลชุยของเจ้าพบปัญหาที่ไม่อาจแก้ ไปหาสัตว์ประหลาดเฒ่าซูซะ หากเจ้านั่นตายไปแล้ว ก็ไปหาท่านป้าเย่ที่เผ่าปีศาจงูแทน”
“แน่นอน เจ้าเป็นหลานชายเจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าซู เขาเป็นคนตั้งชื่อให้เจ้า ต่อให้เจ้านั่นเสียความเป็นคนไปก็ไม่มีวันอยู่เฉยเป็นแน่”
เมื่อยามที่เขาได้ยินเช่นนี้ ชุยฉางอันก็ตกใจอย่างยิ่ง เพราะยามนั้นเขายังไม่รู้ว่าซูอี้ยังมีชีวิตอยู่
ทว่ายามนี้ ชุยฉางอันจะไม่เข้าใจได้เช่นไรว่าพ่อของเขาดูจะคาดไว้แล้ว ว่าท่านลุงซูจะมายังตระกูลชุย?
แน่นอนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ ชุยฉางอันไม่กล้ากล่าวถ้อยคำเดิมของบิดาเขาหรอก
“แล้วเรื่องเรือสีดำนั่น เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้างหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
เมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้ สีหน้าของชุยฉางอันก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง กล่าวว่า “ตอบท่านลุงซูตามจริง ข้ารู้เพียงว่าเรือยมโลกลำนี้น่าจะปรากฏในห้วงลึกของทะเลทุกข์เมื่อเก้าปีก่อน ส่วนที่อยู่ของมันยังไม่ชัดเจน…”
ข่าวที่เขาเล่าไม่ต่างจากข่าวลือที่ซูอี้รับฟังมามากนัก
ทว่า สิ่งที่ชุยฉางอันพูดถึงนั้นดึงความสนใจจากซูอี้
หลังจากการปรากฏของเรือยมโลกสีดำนี้ สิ่งประหลาดไม่อาจหยั่งทราบก็ปรากฏขึ้นมากมายในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์!
สิ่งพิเศษสุุดในหมู่พวกมันคือซากโบราณนาม ‘สนามเซียนมารสัประยุทธ์’ ซึ่งปรากฏลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ ก่อให้เกิดเสียงร่ำลือฮือฮาไปทั่วภูมิมืดมิด
จวบจนยามนี้ มีจักรพรรดิมากมายที่เดินทางไปด้วยตนเองเพื่อเข้าสู่สนามเซียนมารสัประยุทธ์นี้และสำรวจ
ซูอี้ย่อมรู้ว่า ‘สนามเซียนมารสัประยุทธ์’ ที่ว่านี้ก็น่าจะเป็นพิภพยมราชฝังวิถีซึ่งมีตัวตนอยู่ ณ ก้นบึ้งแห่งทะเลทุกข์นับแต่โบราณกาล
มันเป็นสถานที่โหดร้ายอันสามารถเรียกได้ว่าต้องห้าม และคนทั่วไปไม่น่าจะเคยได้พบพานตลอดมา
มีเพียงผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถดำลงไป ณ ก้นทะเลและพบสถานที่ต้องห้ามอันปกคลุมด้วยหมู่แสงไร้สิ้นสุดนี้!
ทว่ายามนี้ ดินแดนต้องห้ามนี้กลับลอยขึ้นมาอยู่บนผิวทะเลทุกข์ ดึงความสนใจทั่วโลกหล้า!
นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“การปรากฏของเรือยมโลกสีดำน่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์ในทะเลทุกข์ และยังทำให้พิภพยมราชฝังวิถี ซึ่งยามนี้ถูกเรียกว่าสนามเซียนมารสัประยุทธ์ก่อเกิดขึ้นมา…”
ซูอี้ขมวดคิ้วคิด “ดูเหมือนว่าเรือยมโลกสีดำนี้จะเป็นที่มาแห่งการเปลี่ยนแปลง และจิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงก็คงเดาเช่นนี้ได้เช่นกัน เขาจึงเดินทางสู่ห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์…”
“ทว่า ข้อมูลที่ชุยหลงเซี่ยงได้ต้องมีมากกว่านั้นแน่ หาไม่ ด้วยนิสัยของเขา คงเป็นไปไม่ได้หากจะออกเดินทางทันทีเพียงแค่เพราะความใคร่รู้”
เมื่อซูอี้คิดเช่นนี้ เขาก็หันไปกล่าวกับชุยฉางอันว่า “ก่อนพ่อเจ้าจะไป ไม่ฝากฝังเรื่องอื่นไว้เลยหรือ?”
ชุยฉางอันส่ายหน้าตอบ “ไม่ขอรับ ท่านลุงซู ท่านคิดว่าพ่อข้า… จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าขอรับ?”
สีหน้าของเขาดูกังวล
ก่อนหน้านี้ ตระกูลโบราณเช่นชวี หงและตั้นไถรวมตัวกันมา ‘ปล้นบ้านยามไฟไหม้’ และบอกอย่างแน่ใจว่าชุยหลงเซี่ยงได้พบเรือสีดำ ก่อนจะหายตัวไปจากโลกหล้าและจะไม่กลับมาอีก
ชุยฉางอันจะไม่กังวลเรื่องนี้ได้เช่นไร?
ซูอี้หัวเราะและกล่าวด้วยน้ำเสียงแดกดัน “อย่าห่วงเลย คนเจ้าเล่ห์แสนกลเยี่ยงพ่อของเจ้า ไม่ว่าทำการใดย่อมมีสารพัดแผนสำรอง เขาอาจค้นเจอโอกาสภายใต้วิกฤตก็เป็นได้”
ชุยฉางอันดูผ่อนคลายลงมากอย่างเห็นได้ชัด
เขาย่อมเชื่อในการตัดสินของซูอี้
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เคยเป็นหนึ่งในสรวง เป็นที่เกรงกลัวในภูมิมืดมิดดุจเทพเจ้า!
ซูอี้โพล่งถามขึ้น “จะว่าไป ไฉนตระกูลชวีโบราณจึงมาขอเข้าซากโบราณกองตัดสินในยามนี้เล่า?”
ชุยฉางอันขมวดคิ้วกล่าว “ข้าเองก็ค่อนข้างแปลกใจขอรับ เพราะว่านับแต่โบราณกาล ซากโบราณกองตัดสินนี้เดิมมีไว้เพื่อกักขังมารปีศาจทั่วโลกหล้า แม้ว่าจะถูกทิ้งร้างไปแสนนาน และจากคำกล่าวบิดาข้า ในซากโบราณกองตัดสินก็ยังกักขังตัวตนชั่วร้ายระดับพระกาฬเอาไว้อยู่บ้าง หรือตระกูลชวีคิดจะเปิดกรงปล่อยตัวตนชั่วร้ายเหล่านั้นออกมากันหนอ?”
กล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าของชุยฉางอันก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างช่วยมิได้
ดวงตาของซูอี้วูบไหว กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าแก่ชวีป๋อหลิงยังอยู่ในตระกูลชวีหรือไม่?”
ชวีป๋อหลิงคือหนึ่งในนักบุญหกวิถีแห่งภูมิมืดมิด ผู้มีสมญานามว่ายมราชป่วนโลหิต ซึ่งเป็นตัวตนที่เทียบเท่ากับยมราชพิพากษาชุยหลงเซี่ยง
คนผู้นี้พ่ายแพ้สาหัสด้วยมือของชุยหลงเซี่ยง และต้องจ่ายสินสงครามหนักหนามาก
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชวีและตระกูลชุยเริ่มนับแต่นั้น แต่จวบจนยามนี้ก็ยังคงเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟเช่นเดิม
ชุยฉางอันกล่าวว่า “กล่าวกันว่าเฒ่าชวีป๋อหลิงเก็บตัวในพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลพวกเขานานแล้ว และจวบจนยามนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวขอรับ”
กล่าวถึงจุดนี้ จู่ ๆ ชุยฉางอันก็ดูจะตระหนักถึงบางอย่างและดูตกใจ “ท่านลุงซู ท่านสงสัยว่าที่ตระกูลชวีต้องการเข้าไปยังซากโบราณกองตัดสิน ก็เพราะคำสั่งของชวีป๋อหลิงหรือขอรับ?”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “ยากจะบอกได้”
ชวีป๋อหลิงคือชายผู้มีความคิดเป็นใหญ่อย่างหนักหนา หลังจากถูกปราบลงด้วยมือของชุยหลงเซี่ยง เขาก็ถูกกระทบจิตใจอย่างหนักซึ่งแทบรักษาไม่ได้
เพราะเช่นนี้ ชวีป๋อหลิงจึงผูกใจเจ็บแค้น
วันนี้ เมื่อมีข่าวสู่โลกหล้าว่าชุยหลงเซี่ยงได้พบเรือยมโลกลึกลับจนไม่อาจกลับมาได้จากทะเลทุกข์ และเทศกาลหมื่นโคมจะกลับมาในรอบพันปี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลชุยย่อมตกที่นั่งลำบาก
ขุมกำลังทั่วไปมิกล้าคิดโจมตีตระกูลชุย
ทว่าสำหรับตระกูลยักษ์ใหญ่เยี่ยงตระกูลชวีโบราณ ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโอกาสอันงามในการล้างแค้นตระกูลชุย!
แล้วชวีป๋อหลิงผู้เกลียดชุยหลงเซี่ยงเข้ากระดูกดำมาช้านานจะพลาดโอกาสงามเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
หากเป็นเช่นนี้ เรื่องราวจะร้ายแรงขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าชุยฉางอันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ และกล่าวอย่างจริงจัง “หากท่านกล่าวเช่นนั้น เมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาเยือน ตระกูลชุยของข้าต้องไม่ใช่แค่ปกป้องเมืองจากอำนาจชั่วร้ายแปลกประหลาดซึ่งปรากฏท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาล แต่ยังต้องปกป้องตนเองจากตระกูลชวีซึ่งฉวยโอกาสก่อเรื่องอีกด้วยแน่”
ซูอี้กล่าว “มันไม่น่าร้ายแรงเช่นที่เจ้าคิด เพราะถึงอย่างไร หากชวีป๋อหลิงหวนกลับคืนสู่เส้นทางอันสมบูรณ์พร้อม พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดเทศกาลหมื่นโคมเพื่อมาหาเรื่องตระกูลชุยของเจ้าเลย”
หลังจากชะงักไป เขาก็กล่าวต่อ “และยามนี้ ตระกูลชวี หง และตั้นไถต่างก็มายื่นข้อเสนอแก่ตระกูลชุยของเจ้าด้วยกัน นี่จะต้องเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งแน่นอน”
“ทดสอบหรือขอรับ?”
ชุยฉางอันมีสีหน้าครุ่นคิด
“ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไร แม้พ่อเจ้าจะไม่อยู่ แต่ความแข็งแกร่งของตระกูลชุยของเจ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่มองข้ามได้ แม้ตระกูลโบราณของพวกเขาจะร่วมมือกัน ก็ไม่อาจเอาเปรียบตระกูลชุยเจ้าได้หากไม่ยอมจ่ายสิ่งตอบแทนหนักหนา”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “นอกจากนั้น ข้าเกรงว่าพวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพ่อเจ้าทิ้งสิ่งใดไว้ยามจาก ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาเจ้าเพื่อกล่าวคำขออันเกินไปเหล่านั้น”
“หากวันนี้เจ้าเลือกอดทน เห็นด้วยกับเงื่อนไขเหล่านั้น พวกเขาจะคิดแน่ว่าตระกูลชุยของเจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะกล้าฉีกหน้าพวกเขาตรง ๆ ต่อมาพวกเขากก็จะกระทำการได้คืบเอาศอก กดดันพวกเจ้าทีละขั้น กล่าวขอมากขึ้นเรื่อย ๆ และสุดท้ายเมื่อพวกเจ้าไม่เหลือสิ่งใด พวกเขาก็จะล้างตระกูลเจ้า”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “นี่เรียกว่าใช้ฟืนสู้ไฟ ต่อให้ฟืนไม่พอ ไฟก็จะไม่ดับ”
ในฐานะผู้นำตระกูล ชุยฉางอันย่อมไม่เข้าใจสิ่งนี้
ทว่า หลังจากได้ยินบทวิเคราะห์ของซูอี้ เขาก็ตระหนักลึกซึ้งหนึ่งอย่าง…
ว่ายามนี้ ตระกูลชุยของพวกเขาถูกขุมกำลังโบราณมากมายมองว่าเป็นแกะอ้วน และทุกคนต่างอยากฉวยโอกาสยามเทศกาลหมื่นโคมมาปล้นชิงผลประโยชน์!