บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 819: คนรู้จัก
ตอนที่ 819: คนรู้จัก
ตอนที่ 819: คนรู้จัก
ทันใดนั้น ชุยฉางอันก็ตระหนักถึงบางสิ่ง…
จากวาจาของท่านลุงซู ยมราชป่วนโลหิตชวีป๋อหลิงยังไม่ได้ฟื้นกลับสู่ความสมบูรณ์พร้อมนับแต่บาดเจ็บจากฝีมือบิดาเขา!
หาไม่ ด้วยนิสัยของเจ้าเฒ่านั่น หากทราบว่าบิดาเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาคงออกมาไล่ล้างตระกูลเขาแล้ว
ในเขตราชาหกวิถีมีเพียงสี่มหาอำนาจซึ่งสามารถต่อกรกับตระกูลชุยได้
พวกเขาคือตระกูลชวี ตระกูลหง ตระกูลตั้นไถ และตระกูลสิง
ตระกูลโบราณทั้งสี่นี้ดูแลกรมนรกภูมิ กรมสัมภเวสี กรมเดรัจฉานและกรมอสุราในสมัยโบราณ
ทว่ามีเพียงตระกูลชวีเท่านั้นซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนจะท้าทายตระกูลชุยได้จริง ๆ
ส่วนสามตระกูลโบราณที่เหลือนั้นยังถือว่าต่ำกว่าเล็กน้อย
เหตุผลเป็นเพราะว่าตระกูลชุยมียมราชพิพากษานั่งครองบัลลังก์ และในตระกูลชวีก็ยังมียมราชป่วนโลหิตปกครอง!
“สิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ อันที่จริงแล้วก็ไม่ผิด การกระทำของตระกูลชุยที่พยายามเข้าสู่ซากโบราณกองตัดสินนั้น คาดว่าน่าจะเป็นการปลดผนึกปล่อยวิญญาณชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่แสนนานเหล่านั้น”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่สักพัก และถามว่า “กุญแจลับกองตัดสินอยู่กับเจ้าหรือไม่?”
กุญแจลับกองตัดสินที่ว่านี้คือกุญแจสำหรับเข้าซากโบราณกองตัดสินซึ่งตระกูลชุยสร้างขึ้นด้วยเคล็ดวิชา
หากไร้กุญแจนี้ กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิก็ไม่อาจเข้าสู่ซากโบราณกองตัดสินได้
“ขอรับ”
ชุยฉางอันถาม “ท่านลุงซูต้องการเข้าไปหรือขอรับ?”
ซูอี้พยักหน้าและตอบ “กาลก่อน ข้าทิ้งสมบัติชิ้นหนึ่งไว้ช่วยปราบวิญญาณร้ายเหล่านั้น และยามนี้ก็ได้เวลารับมันคืนแล้ว”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็กล่าวยิ้ม ๆ อย่างมีเลศนัยอีกครั้ง “บังเอิญแท้ เมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาถึงสมบัตินี้ก็ใช้ได้พอดี”
ชุยฉางอันอึ้งไปสักพัก และทันใดนั้น เจ้าตระกูลชุยก็กล่าวอย่างตื่นเต้นโดยหาได้ยาก “ท่านลุงซูรับปากจะช่วยข้าและตระกูลชุยแก้วิกฤตนี้แล้วหรือขอรับ?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “พ่อเจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าหากข้าแกล้งตายอยู่เฉย ๆ ก็ให้เจ้าไปขอความเมตตาจากเย่น้อย?”
ชุยฉางอันตะลึงไปครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างชื่นชม “ท่านลุงซูสมแล้วที่เป็นคนสนิทบิดาข้า รู้ความคิดของเขากระจ่างแจ้งจริงแท้”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “กระจ่างแจ้งอันใด ข้าแค่รู้จักเขาดีเกินไปเท่านั้นแหละ”
จิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงมักจะกระทำการโดยไร้ช่องโหว่ ไม่เคยมีสิ่งใดรั่วไหล
ไม่ต้องคิด ซูอี้ก็รู้ว่าในเมื่อชุยหลงเซี่ยงให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนนำจี้หยกไปยังมหาทวีปคังชิง อีกฝ่ายต้องคาดไว้แล้วแน่ว่าหลังจากเขามาที่ภูมิมืดมิด จะต้องแวะมายังตระกูลชุยแน่นอน
ด้วยเหตุเช่นนี้ ไม่ว่าตระกูลชุยจะประสบปัญหาใด จึงสามารถแก้ได้โดยการให้เขาช่วย
“ไม่ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงร้ายแรงเพียงใดในเทศกาลหมื่นโคม ขอเพียงมีท่านลุงซูอยู่ ในใจข้าก็มีที่พึ่ง”
ชุยฉางอันกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
“หยุดยอข้าแล้วส่งกุญแจลับมา”
ซูอี้กล่าวตัดบท
ชุยฉางอันหยิบกล่องสำริดขนาดเจ็ดชุ่นออกจากในแขนเสื้อ และประคองส่งให้เขาด้วยสองมือทันที
หลังซูอี้รับมันมา เขาก็เก็บมันทันทีโดยไม่มอง และกล่าวเตือนว่า “ข้าและเฒ่าตาบอดจะอยู่ในบ้านตระกูลชุยเจ้าสักพัก เจ้าจัดที่พักให้เราหน่อย และอีกอย่าง อย่าได้เปิดเผยตัวตนของข้าและเขาเชียว”
“ขอรับ”
ชุยฉางอันตอบตกลงอย่างยินดี ก่อนจะกล่าวหลังลังเลเล็กน้อย “ท่านลุงซู ฮูหยินของข้า นางน่าจะเดาตัวตนของท่านออกแล้ว…”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้ายังต้องขอความเห็นข้าในเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้อยู่หรือ?”
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกศาลา
“ท่านลุงซูจะไปไหนขอรับ?”
ชุยฉางอันรีบลุกขึ้น ยกมือสั่งปิดค่ายกลที่ปกคลุมอยู่รอบศาลา
“ออกไปเดินเล่นในเมือง แล้วก็แวะไปยังซากโบราณกองตัดสิน”
ซูอี้ไม่ได้หันหลัง
“ท่านต้องการให้ใครติดตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”
ชุยฉางอันก้าวออกมาถามเสียงต่ำ “เผื่อว่าท่านเจอคนไม่น่าพิสมัยในเมืองตาข่ายม่วงนี้ หากใช้นามตระกูลชุยของเรา ท่านลุงซูก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองมือเอง”
ซูอี้ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า “ก็ได้ จะว่าไป หลังจากข้ากลับมา ข้าจะพาเฒ่าตาบอดไปแสวงวิถีที่พฤกษาหมื่นวิถี ยามนั้น ข้าเองก็ต้องการขัดเกลาพลังมหาวิถีของข้าเช่นกัน”
ความเชี่ยวชาญของเขาที่มีต่อแก่นแท้จุดกำเนิด มหาลึกล้ำและนิมิตเลือนรางต่างมาถึงระดับสมบูรณ์แล้ว
เหลือเพียงก้าวเดียว แก่นแท้วิถีวิญญาณจะถูกหล่อหลอมควบเป็นแก่นแท้มหาวิถีอันไม่เคยได้พบพานมาก่อน…
เอกกะ!
จุดเริ่มต้นแห่งจิต จุดสูงสุดแห่งวิญญาณ เมื่อมาถึงเอกกะ มหาวิถีคืนกลับสู่วิญญาณ!
ในอดีตชาติ ซูอี้ไม่เคยได้พานพบล่วงรู้ถึงมหาวิถีอันลึกลับเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาย่อมตั้งตารอคอย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชุยฉางอันก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อสมัยเจ้าตระกูลชุยยังเป็นเพียงชายหนุ่ม เขาเลื่อมใสในซูอี้ ตัวตนในตำนานผู้เคยปกครองเก้ามหาแดนดิน ปราบทั่วชั้นฟ้าด้วยหนึ่งดาบ
เขากระทั่งอ้อนวอนบิดาเขาหลายต่อหลายครั้ง ด้วยหวังว่าผู้เป็นบิดาจะปล่อยเขาไปฝึกฝนในสำนักของซูอี้!
แม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะไม่ได้สมหวัง ทว่ายิ่งเดินทางไกลไปบนเส้นทางแห่งมหาวิถี ชุยฉางอันก็ยิ่งรู้สึกว่าการกระทำของท่านลุงซูของเขายิ่งเกินประมาณ
จวบจนยามนี้ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นเจ้าตระกูลชุย มีอำนาจล้นเหลือสยบหล้า โด่งดังทั่วโลกา แต่สำหรับชุยฉางอัน เขาก็ยังคงนับถือตัวตนเช่นซูอี้ที่สุด!
ดุจคำกล่าวที่ว่าเคารพบูชาจนหน้ามืดตามัว
และขณะนี้ อย่าว่าแต่เรื่องเล็กน้อยที่ซูอี้กล่าวถึง ต่อให้เขาจะให้ชุยฉางอันเดินขึ้นคีรีอันสร้างจากดาบหรือลงทะเลเพลิง เกรงว่าเขาจะไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว
…
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะเดินออกนอกประตูบ้านตระกูลชุยก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว มีจันทร์แรมสีเงินลอยคว้าง ณ ขอบฟ้า
“พี่ซู!”
เสียงหนึ่งดังกังวานใส
ท่ามกลางแสงอัสดงแห่งพลบค่ำ ชุยจิ๋งเหยี่ยนที่ไล่ตามหลังเขามาไกล ๆ ดูราวนางสวรรค์ท่ามกลางธุลี ดวงตากระจ่าง ซี่ฟันขาว รูปลักษณ์ดุจภาพวาด
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ซูอี้สะดุ้ง
“พ่อข้าขอให้มาเดินชมเมืองตาข่ายม่วงกับเจ้าไง”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนยิ้มหวาน
ซูอี้เข้าใจโดยพลัน จากนั้นจึงกล่าวว่า “งั้นไปหาอะไรกินที่ ‘หอเมฆาหอม’ ที่เจ้าว่าก่อนเป็นไร”
หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทั้งสองเดินออกจากบ้านตระกูลชุย เกี้ยวคันหนึ่งก็จอดรอหน้าประตู และคนรับใช้เฒ่าผู้หนึ่งก็เชิญทั้งสองขึ้นเกี้ยว ขับเข้าไปบนถนนอันคลาคล่ำครึกครื้นห่างออกไป
แม้รัตติกาลจะกำลังมา ทว่าถนนตรอกซอยในเมืองตาข่ายม่วงกลับตกแต่งด้วยแสงสว่างยาวเรียงดุจขนดมังกร คนเดินเท้าหนาแน่น ดูมีชีวิตชีวามากแท้
ในฐานะเมืองใหญ่โบราณชั้นนำแห่งเขตราชาหกวิถี ความรุ่งเรืองของเมืองตาข่ายม่วงย่อมห่างไกลเกินจะเทียบกับที่แห่งอื่น
มีตัวตนจากกลุ่มชนต่าง ๆ ปะปนที่นี่ และยังมีผู้ฝึกตนจากทั่วโลกา บรรยากาศรุ่งเรืองกว้างไกลสุดสายตา
‘หากตระกูลชุยไม่สามารถหยุดยั้งอำนาจร้ายกาจพิสดารยามเทศกาลหมื่นโคมมาเยือน เกรงว่าเมืองตาข่ายม่วง… คงกลายเป็นนรกบนดิน’
ซูอี้นั่งบนเกี้ยวพลางปล่อยความคิดล่องลอย
ในภูมิมืดมิดมีพื้นที่ต้องห้ามมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าขอเพียงมีขุมกำลังผู้ฝึกตนอยู่ในละแวก มันก็จะรุ่งเรืองเปี่ยมชีวิตขึ้นมา
เหตุที่เมืองใหญ่เช่นเมืองตาข่ายม่วงยังคงอยู่รอดนับแต่โบราณกาลจวบปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วก็มาจากผลงานตระกูลชุยซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองกองตัดสิน
ซูอี้รู้ดีแก่ใจ ว่าเมื่อเทศกาลหมื่นโคมรอบพันปีนี้มาเยือน อันตรายของมันต่อเมืองตาข่ายม่วงจะสูงลิบลิ่วยิ่งกว่าที่อื่นใด และครั้งนี้เมื่อไร้ชุยหลงเซี่ยงดูแล ตระกูลชุยและเมืองตาข่ายม่วงจะเผชิญบททดสอบร้ายแรง!
“แม้ข้าจะช่วยแก้สถานการณ์ให้ได้ แต่ข้าก็อยู่เพียงในวิถีวิญญาณ ต้องยืมอำนาจภายนอกสักหน่อย”
ซูอี้ลอบกล่าว “ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการรับมือขุมกำลังอันลึกลับพิสดารเหล่านั้นบุกรุก แต่หากเมื่อถึงคราวเทศกาลหมื่นโคมแล้วตระกูลโบราณเหล่านั้นฉวยโอกาสร่วมมือกันโจมตีตระกูลชุยล่ะก็ เกรงว่าคงเกิดเหตุพลิกผันขึ้นบ้างเป็นแน่”
ตระกูลชุยทุกวันนี้ยังคงมีจักรพรรดิดูแล ทว่าไร้ตัวตนระดับสูงสุดเช่นชุยหลงเซี่ยง
ซูอี้ไม่คิดว่าจักรพรรดิในตระกูลชุยจะสามารถกลับไปได้โดยสวัสดิภาพหากเกิดการต่อสู้ขึ้น
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่การดวลตัวต่อตัว!
ไม่ใช่ศึกใหญ่!
แต่เป็นหายนะจากฟ้าดิน และภัยคุกคามจากเหล่าตระกูลโบราณหลายแห่ง!
แน่นอน ซูอี้คิดในใจว่าตนยังสามารถช่วยตระกูลชุยให้พ้นภัยได้ ทว่าเขาไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุด ตระกูลชุยจะต้องเสียหายมากมายเพียงไร
“ดูท่าเราคงต้องหาวิธีเลี่ยงไม่ให้เกิดผู้บาดเจ็บล้มตายในตระกูลชุยให้มาก หาไม่ หากจิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงรู้เข้าว่าแม้จะมีข้าช่วย แต่ตระกูลชุยก็ยังเสียหายยับเยิน เกรงว่าคงกระสับกระส่ายเป็นแน่…”
ซูอี้อดนวดหว่างคิ้วตนไม่ได้
ผลเสียของการฝึกฝนได้อ่อนแอเกินไปก่อตัวขึ้นโดยสมบูรณ์ ณ กาลนี้
หากเป็นในอดีตชาติล่ะก็ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ควรค่าให้คำนึงแม้แต่เสี้ยว
ทว่ายามนี้ ซูอี้กระจ่างแก่ใจนักว่าต่อหน้าวิกฤตที่คุกคามตระกูลชุยอยู่ การฝึกฝนในครานี้ของเขาไม่เพียงพอ
และหากต้องการแก้ปัญหา เขาต้องพึ่งอำนาจจากภายนอก!
‘เราใช้พลังของพฤกษาหมื่นวิถีและรูปสลักเซี่ยจื้อและปี้อันได้ กอปรกับสมบัติที่เราทิ้งไว้ในซากโบราณกองตัดสิน คงพอหยุดอำนาจลึกลับพิสดารบุกรุกเหล่านั้นได้…’
‘และหากต้องการกวาดล้างยอดฝีมือจากตระกูลโบราณ เราก็ต้องหาทางอื่น’
‘หากยังไม่ได้ผล ก็แค่กวาดต้อนสิ่งชั่วร้ายในซากโบราณกองตัดสิน และให้พวกมันออกมาไล่ฆ่าศัตรูก็ยังได้’
ซูอี้ลูบคางพลางครุ่นคิด
หากเป็นเรื่องยืมพลังจากภายนอก ซูอี้ย่อมไม่สิ้นวิธีการ
อย่าว่าแต่สิ่งอื่นใด ขอเพียงเขาออกคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เหวลึกในโถงหลงลืมหรือวิญญาณหงส์เพลิงซึ่งถูกผนึกอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามลึกเข้าไปในมหาภูเขา พวกมันจะออกมาโดยไร้ลังเลแน่แท้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หากเขาลงมือสุดตัวจริง ๆ เขาจะยังใช้อำนาจอันน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่านี้ในภูมิมืดมิดได้อีก
ทว่าซูอี้ไม่ได้วางแผนทำเช่นนั้น
เหตุผลหนึ่งคือ ตัวตนของเขาจะถูกเผยง่ายเกินไป
เหตุผลที่สองคือ หายนะที่กำลังจะเกิดในเทศกาลหมื่นโคมนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
“พี่ซู เรามาถึงหอเมฆาหอมแล้ว”
ทันใดนั้น สุ้มเสียงหวานใสของชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ดังขึ้น ปลุกซูอี้ขึ้นจากภวังค์
หญิงสาวยังคงอ้าปากเรียกเขาว่าพี่ซู เห็นได้ชัดว่านางยังไม่รู้ฐานะแท้จริงของซูอี้
ทว่าซูอี้จะไม่ใส่ใจเรื่องนี้
เพราะถึงอย่างไร ในชาติภพนี้ เขาก็อายุเพียงสิบแปด…
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองอาคารหยกซึ่งสร้างสูงตระหง่านดั้นนภา
นี่คือหอเมฆาหอม!
ลือกันว่าถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าตระกละหรือพวกเทาเที่ย เป็นสถานดื่มด่ำเริงรมย์ชั้นนำในเขตราชาหกวิถี
“หือ?”
ทว่า ก่อนที่ซูอี้จะได้ออกจากเกี้ยว เขาก็เห็นร่างหนึ่งอันคุ้นเคยเดินออกมาจากหอเมฆาหอมโดยไม่คาดฝัน