บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 82 องค์ชาย ท่านอาและนักบวชเต๋า
ตอนที่ 82: องค์ชาย ท่านอาและนักบวชเต๋า
ภายนอกเมืองกว่างหลิง
บนแม่น้ำต้าฉางอันงดงาม มีเรือโดยสารขนาดใหญ่เทียบท่า
บนเรือมีอาคารเก้าชั้นกับศาลาสิบสองหลังตั้งตระหง่านอยู่ ทั้งหมดถูกตกแต่งด้วยการแกะสลักละเอียดละออและถูกระบายด้วยสีเทา ดูมีมนต์ขลังยิ่งนัก
ผู้โดยสารจำนวนมากยืนอยู่บนเรือ สายตามองเมืองกว่างหลิงจากไกล ๆ
มีผู้โดยสารบางคนเดินลงบันได อาศัยจังหวะจากการเทียบท่าที่หาได้ยากนี้เพื่อออกไปเดินบนชายฝั่งและซื้อของว่าง ทำให้ดูมีชีวิตชีวายิ่ง
เมื่อซูอี้มาถึง เจ้าเมืองฟู่ซาน หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งล้วนรออยู่ที่นั่นแล้ว
ขณะซูอี้ประหลาดใจอยู่นั้น หวงอวิ๋นชงและหวงเฉียนจวินก็มาถึงแล้วเช่นกัน
“คุณชายซู”
ทุกคนก้าวมาข้างหน้าเพื่อทักทายเขา
เมื่อเห็นคนใหญ่โตเหล่านี้คารวะซูอี้ผู้เป็นชายหนุ่ม เขาจึงตกเป็นจุดสนใจทันที สายตามากมายบนเรือจับจ้อง
“คนรับใช้คนอื่นของเจ้าล่ะ?”
ซูอี้ชำเลืองมองหยวนลั่วซี
“ข้าส่งพวกเขาทุกคนกลับมหานครอวิ๋นเหอทางม้าเมื่อวาน”
หยวนลั่วซียังสวมชุดเครื่องแบบทหาร นางยืนด้วยท่วงท่างดงาม องอาจ มีเสน่ห์น่าหลงใหล
ซูอี้พยักหน้า สายตามองพ่อลูกหวงอวิ๋นชงอีกครั้งก่อนกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หวงอวิ๋นชงรีบกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณชายซู มันเป็นเรื่องบังเอิญ เดิมข้าวางแผนจะส่งเจ้าหนูเฉียนจวินคนนี้ไปสำนักดาบชิงเหอเพื่อทำการฝึกฝนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่กลายเป็นว่าข้าทราบจากเจ้าเมืองฟู่เมื่อวานว่าคุณชายซูกำลังจะไปมหานครอวิ๋นเหอทางเรือในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าจะสามารถให้เขาเดินทางไปพร้อมกับเซียนเชิงได้หรือไม่ พอวันนี้เข้าไปถามก็พบว่ายังมีที่ว่างอยู่บนเรือ ดังนั้นข้าก็เลยรีบมาพร้อมกับลูกชายของข้า”
ซูอี้พลันหัวเราะ ไม่กล่าวอะไรอีก
หวงเฉียนจวินดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มีใครบ้างที่ไม่รู้คำว่า ‘บังเอิญ’ จากปากของหวงอวิ๋นชงผู้เป็นพ่อของเขาก็คือมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?
ทว่า เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่คัดค้าน ฟู่ซานและเฉิงอู้หย่งก็หัวเราะออกมาโดยไม่กล่าวอะไร ไม่คิดเปิดโปงเรื่องดังกล่าว
มีเพียงหยวนลั่วซีที่ขมวดคิ้วก่อนกล่าวด้วยความสงสัยว่า “อาหย่ง ไม่ใช่เจ้าบอกเมื่อวานว่าที่นั่งบนเรือถูกจองจนเต็มแล้วงั้นหรือ? พวกเรายังต้องพึ่งความสัมพันธ์กับเจ้าเมืองฟู่ถึงจะได้ตั๋วมา หรือว่าเจ้าของเรือจะโกหกพวกเรา?”
หวงอวิ๋นชงไอแห้งก่อนกล่าวว่า “แม่นางหยวน อย่างที่ผู้คนเอ่ยกล่าวกัน มีเงินย่อมจ้างผีโม่แป้งได้*[1] ด้วยเงินจำนวนมาก เป็นธรรมดาที่จะมีบางคนเต็มใจสละที่ให้บางส่วน”
หยวนลั่วซีตกตะลึงก่อนกล่าวว่า “เป็นการเอาเงินฟาดหัวนี่เอง ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำบ้าง”
“สถานะอย่างเจ้าจำเป็นจะต้องใช้เงินฟาดหัวด้วยหรือ…” ซูอี้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ระหว่างสนทนา ไม่ไกลกันนั้นมีชายชราสวมชุดคลุมสีเทา ผิวสีทองแดง เคราและผมเทาเหมือนกับขี้เถ้า สีหน้าเผยความแน่วแน่
“เจ้าเมืองฟู่ พวกเรากำลังจะออกเรือแล้ว คนเหล่านี้คือแขกอันทรงเกียรติที่ท่านพูดถึงหรือ?”
ชายชราชุดคลุมสีเทาถาม
เขาสวมชุดคลุมนักรบเก่าแก่ พกธนูอยู่ที่แผ่นหลัง มีดอยู่ที่เอว ถึงแม้จะอายุมาก แต่เขาก็ดูทรงพลังยิ่ง มีบรรยากาศเย็นเยือกกับกลิ่นเลือดจาง ๆ มาจากร่างกายของเขา
ยามที่พูด เขาชำเลืองมองผู้อื่น เมินเฉยต่อซูอี้ หวงเฉียนจวินและหยวนลั่วซีที่เป็นคนหนุ่มสาว
เมื่อเขาเห็นเฉิงอู้หย่ง สายตาก็หยุดนิ่งสักพัก มีร่องรอยความประหลาดใจอยู่ที่คิ้ว
“ถูกต้อง”
ฟู่ซานพยักหน้าก่อนแนะนำด้วยรอยยิ้ม “นี่คือจางอี้เหริน ผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ที่ตลาดหลิน ในอดีต เขารับใช้อยู่ใน ‘กองทัพเกราะเขียว’ ภายใต้การบัญชาของท่านโหวยุทธ์วิญญาณเป็นเวลายี่สิบปี ตำแหน่งแม่ทัพ วิชายุทธ์ของเขาได้รับการพัฒนามาจากสมรภูมินองเลือด อารมณ์ของเขานับว่าดุดันและหาญกล้ายิ่งเช่นกัน”
ชายชราชุดคลุมสีเทานามว่าจางอี้เหรินโบกมือก่อนกล่าวว่า “เจ้าเมืองฟู่ อย่าชมข้าเลย ตอนนี้ข้า จางอี้เหริน ไม่ต่างจากเรืออับปาง ฮ่า ๆ ชะตากรรมที่เหลือขอฝากไว้กับเรือโดยสารลำนี้ก็แล้วกัน”
ทว่าเฉิงอู้หย่งประสานมือแล้วกล่าวว่า “กลายเป็นว่าท่านคือนักรบที่อยู่ภายใต้การบัญชาของท่านโหวยุทธ์วิญญาณ เฉินเจิ้ง ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทไม่ได้ทักทายท่านก่อน”
โหวยุทธ์วิญญาณ จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง!
ผู้ที่ติดห้าอันดับแรกในสิบแปดจวิ้นอ๋องแห่งต้าโจว เฉินเจิ้งนำกองทัพเกราะเขียวไปประจำการอยู่ทางฝั่ง ‘หุบเขาปีศาจชาโลหิต’ ตลอดทั้งเดือนปี
จางอี้เหรินประหลาดใจเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “สหายผู้นี้รู้จักท่านจวิ้นอ๋องเหมือนกันงั้นหรือ?”
เฉิงอู้หย่งกล่าวว่า “ข้าโชคดีพอที่จะได้เห็นท่านเฉิงเจิ้งตัดหัว ‘ปีศาจงูเขียวใหญ่’ ในการต่อสู้ครั้งนั้น กระบวนท่าของเขารุนแรงดุจทวยเทพ ข้านับถือเขายิ่งนัก”
มีร่องรอยความยินดีในสีหน้าของจางอี้เหรินขณะกล่าวว่า “เมื่อขึ้นเรือแล้ว ข้าจะชวนเจ้าดื่มเสียหน่อย ถึงตอนนั้นมาคุยเรื่องดี ๆ กันเถอะ!”
จากนั้นชายชรามองท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาออกเรือแล้ว ทุกท่าน เชิญขึ้นเรือไปพร้อมกับข้า”
เดิมที ฟู่ซานวางแผนจะแนะนำตัวตนของทุกคน แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากตัดใจ
“เจ้าเมืองฟู่ พวกเราขอตัวก่อน แล้วเจอกันใหม่!”
จางอี้เหรินโบกมือก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้าเป็นคนแรก
พวกซูอี้เดินตาม
ไม่ช้า ผู้โดยสารทุกคนก็ขึ้นเรือ
ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่และหวงอวิ๋นชงยังคงยืนมองจนกระทั่งเรือโดยสารลำใหญ่หายไปจากสายตา
“เมื่อใดคุณชายซูไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ เมื่อนั้นคลื่นลมมรสุมย่อมก่อตัวขึ้นเป็นแน่” ฟู่ซานถอนหายใจ
เขามีลางสังหรณ์ว่าด้วยบุคลิกเช่นซูอี้ มหานครอวิ๋นเหอย่อมวุ่นวายเป็นแน่เมื่อเรือลำนี้ไปถึง!
เนี่ยเป่ยหู่และหวงอวิ๋นชงก็ลอบถอนหายใจเช่นกัน
…
“อาชิงจิน ท่านสามารถมองเห็นตัวตนของชายหนุ่มในชุดเขียวได้หรือเปล่า?”
ในห้องชั้นบนสุดของเรือโดยสาร ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างถามอย่างสนใจเมื่อเห็นกลุ่มของซูอี้ตามจางอี้เหรินขึ้นเรือมา
เขาสวมชุดคลุมสีม่วง มีมงกุฎขนนกอยู่บนหัว คาดเข็มขัดหยกฟ้าไว้ที่เอว ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา
“องค์ชายจะส่งใครสักคนไปถามหรือเพคะ?”
ด้านข้าง ผู้หญิงคนหนึ่งเอนพิงขอบหน้าต่าง สีหน้าของนางเฉยชาราวกับไม่สนใจสิ่งใดในโลก
หน้าตาและรูปร่างของนางดูราวกับอายุเพิ่งย่างเข้าสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี มีผ้าไหมสีน้ำเงินผูกผมเป็นหางม้า ใบหน้าวิจิตรงดงาม ผิวเรียบเนียนละเอียดอ่อนราวกับกระเบื้องเคลือบ ดวงตาเจิดจ้าราวกับคมดาบอยู่ใต้คิ้วของนาง
นางภูมิใจในรูปร่างของตัวเองมาก ถึงแม้จะสวมชุดคลุมสีขาวซีดที่ดูใหญ่โตและราบเรียบไว้ แต่มันยังไม่อาจปกปิดเนินอกอวบอิ่มกับเอวที่โค้งเว้าเข้ารูปได้ ไม่มีเครื่องประดับตามร่างกาย ทำให้ดูเรียบง่ายยิ่ง มีเพียงตรงส่วนข้อมือเท่านั้นที่สวมกำไลหยกฟ้าเอาไว้ ยิ่งขับผิวของนางให้ดูขาวมากยิ่งขึ้น
“อาชิงจิน ท่านน่ะดีทุกอย่าง ยกเว้นความเกียจคร้านไม่สนใจผู้คน ไม่สนใจรอบข้าง แบบนี้มันไม่ดีเลย”
ชายหนุ่มผู้สวมชุดคลุมสีม่วงกับมงกุฎขนนกส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา
“สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการฆ่าปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ข้าเพียงรับผิดชอบในการปกป้องความปลอดภัยของเจ้าเท่านั้น ข้าไม่จำเป็นต้องไปสนใจสิ่งอื่นให้มากความ”
หญิงสาวพ่นลมออกจมูกอย่างแผ่วเบาก่อนหันหลังแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟานุ่ม นางเหยียดร่างอันน่าภาคภูมิใจออกอย่างสบาย ๆ ดวงตาที่เจิดจ้าและงดงามราวคมดาบปรือปิดลง
ไม่ต่างจากแมวเกียจคร้าน ไม่สนเรื่องมารยาทใด ๆ แต่แฝงด้วยความงามอันร้ายกาจและร้อนแรงไว้ในตัว
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและมงกุฎขนนกอดที่จะจ้องมองอีกฝ่ายสักพักไม่ได้ หัวใจของเขาสั่นไหว
แต่แค่คิดถึงความร้ายกาจตอนที่อาหญิงของตนโกรธขึ้นมา เขาก็พลันตัวสั่นเทา สายตาเบือนหนี
“ท่านอา เช่นนั้นท่านพักก่อนเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย”
เขาหันหลังก่อนเดินออกจากประตูไป
“ถ้ามีอันตรายขึ้นมา จงตะโกน”
หญิงสาวเอ่ยออกอย่างแผ่วเบาจากริมฝีปากสีแดง ก่อนจะผล็อยหลับอย่างเป็นสุขในอึดใจต่อมา
“อันตรายหรือ? เรือลำนี้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของท่านโหวยุทธ์วิญญาณ ยังจะมีอันตรายอะไรได้อีก?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและมงกุฎขนนกยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย เขาเดินออกจากห้อง มือปิดประตูอย่างแผ่วเบา
“องค์ชาย”
นอกห้อง ชายวัยกลางคนที่ประจำการอยู่โค้งคำนับ กลิ่นอายของเขาหนักแน่นดุจขุนเขา
“ปฏิบัติการของพวกเราต้องเก็บเป็นความลับ อย่าให้คนต้องสงสัยแทรกซึมเข้ามาในเรือ จางตั้ว ไปตรวจสอบที่มาของกลุ่มคนที่เพิ่งขึ้นเรือมากับจางอี้เหรินที”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและมงกุฎขนนกเตือนเพิ่มเติมว่า “จำให้ดี จงสุภาพเข้าไว้ อย่าเปิดเผยตัวตนของพวกเราเด็ดขาด”
ชายวัยกลางคนนามจางตั้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมตอบรับ “รับทราบ!”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและมงกุฎขนนกเดินจากไปไกลแล้ว จางตั้วก็อดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “องค์ชาย ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
“ชู่ว์”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและมงกุฎขนนกเอานิ้วแตะริมฝีปาก
เขามองประตูด้านหลังราวกับโจรที่มีมโนธรรมสำนึกผิดก่อนกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าจะไปเล่นหมากรุกกับแม่นางฉาจิ่นเสียหน่อย ถ้าได้ฟังแม่นางฉาจิ่นเล่นสักบทเพลง มันคงดีไม่น้อย”
จางตั้วกล่าวอย่างกังวลว่า “องค์ชาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้าย ให้ท่านชิงจินไปด้วยเถิด ผู้น้อยของท่านคนนี้จะได้วางใจ…”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและมงกุฎขนนกเมินอีกฝ่าย เขาเดินจากไปไกลแล้ว
จางตั้วอดที่จะยิ้มขมขื่นไม่ได้ องค์ชายคนนี้ดีทุกด้าน เว้นก็แต่เพียงหมกมุ่นในเพศตรงข้ามมากไปเล็กน้อย…
เขาส่ายหน้า หันหลังแล้วรีบจากไป เขาตัดสินใจจะไปสนทนากับจางอี้เหรินก่อนเพื่อสืบหารายละเอียดของผู้ที่เพิ่งขึ้นเรือมา
ในห้อง ชิงจินที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่นั้นพลันกล่าวเย้ยหยันในใจ เหอะ พวกผู้ชายเนี่ยมันไม่มีใครดีเลยจริง ๆ !
…
ตระกูลเหวิน
ในโถงยอดอ่อนบุปผา นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินวางจดหมายที่นางเพิ่งเขียนไว้ตรงหน้า
จดหมายจ่าหน้าถึงเหวินหลิงเจา
เนื้อหานั้นเรียบง่ายมาก ประเด็นหลักคือการบอกเหวินหลิงเจาว่าหากพบซูอี้ในอนาคต จงปฏิบัติกับเขาในฐานะคนที่ผ่านทางมา
ใจความสำคัญคืออย่ารีบร้อนที่จะยุติงานแต่ง เพราะตามการประเมินของนางแล้ว ยิ่งซูอี้ทำตัวโดดเด่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายมากเท่านั้น
เมื่อซูอี้ตาย งานแต่งนี้ก็สามารถยุติได้อย่างง่ายดาย
หญิงชราอ่านจดหมายอย่างละเอียดหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าความหมายที่สื่อออกมานั้นถูกต้อง จากนั้นนางจึงหาซองมาใส่มันเข้าไป
ตอนนี้ คนรับใช้รายงานจากข้างนอกว่า “ท่านหญิง ซูอี้เพิ่งขึ้นเรือไปเจ้าค่ะ”
นายหญิงเฒ่าตกตะลึง นิ่งเงียบสักพักก่อนถอนหายใจออกมา “นายน้อยสาม ถ้าเจ้ายอมอยู่ในตระกูลเหวินและเป็นบุตรเขยผู้ซื่อสัตย์ เจ้าอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาล แต่นี่กลับเอาแต่ทำผิดซ้ำไปซ้ำมา แบบนี้มันไม่เท่ากับทำร้ายตัวเองหรอกหรือ…”
นางรู้เกี่ยวกับความน่าสะพรึงของตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเป็นอย่างดี อำนาจนั้นมากพอจะทำให้ไม่ว่าปรมาจารย์คนใดของต้าโจวต้องยอมถอย!
…
ในปีที่สามร้อยเก้าสิบเก้าตามปฏิทินต้าโจว วันที่หกของเดือนที่สอง
ซูอี้ออกจากเมืองกว่างหลิงโดยทางเรือ
ในคืนนั้น
เหนือภูเขามารดาภูตผี ราตรีมืดมิดไม่ต่างจากหมึกดำ
นกกระเรียนร่อนบินบนท้องฟ้าปีกของมันเหมือนใบมีดตัดผ่านชั้นหมู่เมฆ ก่อนร่างจะร่อนลงสู่พื้นนอกป่าท้อของภูเขามารดาภูตผี
ร่างหนึ่งกระโดดลงจากนกกระเรียนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล
เขาคือชายหนุ่มหล่อเหล่าคนหนึ่ง สวมชุดพรตเต๋าสีส้ม
ขณะลูบศีรษะของนกกระเรียน เขาก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “เฮ่อเอ๋อร์ รอข้าอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้ากลับมา”
เมื่อกล่าวจบ เขาจึงมุ่งหน้าไปยังป่าท้อ
ระหว่างทาง ไอดอกท้ออันวิจิตรงดงามแต่ชั่วร้ายแหวกห่างเปิดเป็นทางราวกับกระแสน้ำ พวกมันเปิดทางให้กับนักพรตเต๋าหนุ่มเดินเข้าไป
ไม่ช้า ต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์ปรากฏแก่สายตา
นักพรตเต๋าหนุ่มกวาดตามองก่อนตะโกน “เถาชิงซานอยู่ไหน ข้าเก๋อเฉียน เป็นตัวแทนอาจารย์ข้าราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิง มารับลูกท้อไฟ!”
[1] มีเงินย่อมจ้างผีโม่แป้งได้ เป็นสำนวนจีน หมายถึง หากใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจ ก็ย่อมสามารถว่าจ้างคนทุกคนให้ทำงานต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้างได้ ไม่ว่าผู้รับจ้างจะเต็มใจหรือรู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม