บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 822: คนทรยศ
ตอนที่ 822: คนทรยศ
ตอนที่ 822: คนทรยศ
สุดท้าย ผู้หญิงในชุดกี่เพ้าสีดำก็ไม่บรรลุความปรารถนา แลกซื้อมาได้เพียงโอสถวิญญาณที่ใช้เพิ่มกำลังการต่อสู้หนึ่งเม็ดเท่านั้น จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ครั้งนี้ผู้ดูแลร้านไม่ได้รีบออกไปต้อนรับแขก
แต่หมุนตัวมาประสานมือคารวะต่อซูอี้ “ใต้เท้า เรื่องในวันนี้ค่อนข้างมีพิรุธมาก หรือว่าเมืองตาข่ายม่วงแห่งนี้จะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นเช่นนั้นหรือขอรับ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็จ้องมองไปที่ซูอี้เช่นกัน สมองของนางเต็มไปด้วยความสงสัยมาตั้งนานแล้ว
ซูอี้นั่งอยู่ในมุมมืดอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะกล่าว “ไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบไปต้อนรับแขกเถอะ”
ผู้ดูแลร้านได้แต่รับคำ “ใต้เท้าซูกล่าวไม่ผิด”
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกจากร้านไป
อย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลร้านก็พาแขกอีกคนหนึ่งเข้ามา
ครั้งนี้เป็นผู้ชายชุดกี่เพ้าสีดำ สวมหน้ากากทองเหลืองสีดำลายสัตว์ โผล่ให้เห็นแต่ดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้น แม้กระทั่งพลังในตัวก็ยังถูกควันสีดำบดบังรายล้อม ทำให้ไม่อาจมองระดับการฝึกตนของเขาออก
“ข้ามีสมบัติชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าร้านของพวกเจ้าจะสามารถรับซื้อได้หรือไม่”
ผู้ชายชุดกี่เพ้าสีดำพูดเสียงแหบ
ผู้ดูแลร้านยิ้มอ่อนโยนกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าท่านมาในครั้งนี้ต้องการจะแลกสมบัติอันใด”
ผู้ชายชุดกี่เพ้าสีดำครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นหยิบกล่องไม้ออกมาจากแขนเสื้อมาวางบนแท่นชำระเงิน และกล่าว “สหายเต๋าสามารถดูก่อนได้”
ผู้ดูแลร้านชายตามองไปที่ตาชั่งดุลยพินิจ พอสมบัติชิ้นนี้ส่งประกายแสงสว่าง กล่องไม้ใบนั้นก็ร่วงไปอยู่บนแป้นชั่งน้ำหนัก
ขณะที่แป้นชั่งน้ำหนักเคลื่อนตัว จู่ ๆ แขนของตาชั่งดุลยพินิจก็เกิดเป็นระลอกคลื่นของแสงดวงดาว ริ้ววิถีหนัก ๆ ปรากฏบนลูกตุ้มน้ำหนัก
‘ตาชั่งดุลยพินิจ’ กำลังสัมผัสรับรู้และประเมินสมบัติภายในกล่องไม้พร้อมทั้งเสนอราคา
ชุยจิ๋งเหยี่ยนไม่เคยเห็นมาก่อน
ซูอี้กลับเห็นมามากต่อมากแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นตาชั่งดุลยพินิจ ลูกคิดเคลื่อนดารา หรือระฆังสยบใจ ล้วนเป็นสมบัติประจำร้านรับจำนำทั้งสิ้น ทั้งยังมีความโดดเด่น จึงถือได้ว่าเป็นของขลังอันดับหนึ่งในแดนเทวา
หากไม่ใช่เพราะไม่อยากจะมีเรื่องกับเจ้าของร้าน ซูอี้ยังอยากจะเก็บสมบัติสามชิ้นนี้มาเป็นของตนเสียด้วยซ้ำ….
หลังจากผ่านไปนาน ตาชั่งดุลยพินิจพลันถามขึ้นมา “ท่านต้องการจะจำนำสมบัติในกล่องไม้จริง ๆ หรือ?”
“ไม่ผิด”
ผู้ชายในชุดกี่เพ้าสีดำพยักหน้า
“มีปัญหาเช่นนั้นหรือ?”
ผู้ดูแลร้านขมวดคิ้วถามตาชั่งดุลยพินิจ
ตาชั่งดุลยพินิจตอบ “สมบัติในกล่องไม้คือ ‘คันฉ่องสายฟ้า’ สมบัติล้ำค่าสืบทอดกันมาหลายรุ่นของตระกูลชุย”
พอพูดเช่นนี้ออกมา สีหน้าของชุยจิ๋งเหยี่ยนเปลี่ยนในทันใด ตกใจจนลุกพรวดพราดขึ้น ปรากฏว่าถูกซูอี้กดไหล่และปิดปากได้ทัน
“อย่าร้อนใจไป”
กระแสเสียงของซูอี้ดังขึ้นที่ข้างหูหญิงสาว
สีหน้าของชุยจิ๋งเหยี่ยนตื่นตะลึงและสับสน
ผู้ดูแลร้านก็นิ่งตะลึงไปชั่วครู่เช่นกัน ก่อนหน้านี้ระหว่างการสนทนากับซูอี้และชุยจิ๋งเหยี่ยน เขารู้ว่าหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามนางนั้นคือบุตรีผู้นำตระกูลชุย
คิดสักครู่ ผู้ดูแลร้านกล่าว “ท่านจำนำสมบัติชิ้นนี้ ต้องการจะแลกซื้อสมบัติอันใด?”
ผู้ชายในชุดกี่เพ้าสีดำกล่าว “สามารถช่วยผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำสลายความอิ่มตัว ย่างก้าวสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ หรืออาจจะเป็นโอสถก็ได้”
ผู้ดูแลร้านนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ขณะที่กำลังจะพูด ข้างหูก็มีกระแสเสียงของซูอี้ดังขึ้น
“บอกเขาไป หากต้องการเคล็ดวิชาเช่นนี้ จะไม่มีโอกาสได้ไถ่คันฉ่องสายฟ้านี้กลับคืนไปอีก หากว่าเขารับปาก ข้าจะมอบเคล็ดวิชานี้ให้เขา รับรองว่าเขาจะพึงพอใจ”
ผู้ดูแลร้านหรี่ตาลงเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวกับผู้ชายในชุดเพ้าสีดำ “เรียนตามตรง ในร้านมีสิ่งที่ท่านต้องการ แต่ว่า… หากจะทำการจำนำ วันข้างหน้าท่านก็ไม่อาจมาไถ่คืนคันฉ่องสายฟ้านี้ได้อีก”
สิ่งที่เกินความคาดหมายก็คือ ผู้ชายชุดก็เพ้าสีดำครุ่นคิดสักครู่ก็ตอบอย่างฉับไวว่า “ได้”
ผู้ดูแลร้านชายตามองตาชั่งดุลยพินิจ
ลูกตุ้มน้ำหนักของตาชั่งดุลยพินิจก็สั่นขึ้นมา จากนั้นกล่องไม้บนแป้นชั่งน้ำหนักก็หายไป และมีคัมภีร์หยกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นแทนที่
คัมภีร์หยกนี้เพิ่งทำขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ จากมือของซูอี้
“โปรดรับไว้ด้วย”
ผู้ดูแลร้านยิ้มพลางยื่นคัมภีร์หยกออกไป
ผู้ชายในชุดกี่เพ้าสีดำใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าไปตรวจดูภายใน ในสายตาเกิดประกายแห่งความตื่นเต้นแบบที่หาพบได้ยากขึ้นมา
จากนั้น เขาประสานมือแสดงความคารวะต่อผู้ดูแลร้าน กล่าว “ขอบคุณ!”
“เพียงแค่การซื้อขายเท่านั้น อย่าได้เกรงใจ”
ผู้ดูแลร้านยิ้มพลางกล่าว
จากนั้นผู้ชายในชุดก็เพ้าสีดำก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้าซู เห็นได้ชัดว่าประวัติความเป็นมาของคน ๆ นี้ประหลาดนัก”
ผู้ดูแลร้านอดพูดขึ้นมาไม่ได้
ขณะที่พูด เขาเบนสายตาไปสังเกตดูชุยจิ๋งเหยี่ยน พบว่าหน้าของหญิงสาวขาวซีด ดวงตาใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงัน
โดยไม่ต้องสงสัย หญิงสาวก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้มีพิรุธ
ซูอี้สำรวจดูคันฉ่องทองเหลืองสีดำที่วางอยู่ในกล่องไม้สักครู่ จากนั้นกล่าวขึ้นมา “เป็น ‘คันฉ่องสายฟ้า’ จริง ๆ สมบัติชิ้นนี้สามารถบงการสายฟ้าเก้าลี้ลับ มีอานุภาพประมาณการไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือสมบัติชิ้นนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนค่ายกลปกป้องของตระกูลชุย”
“หากไม่มีสมบัติชิ้นนี้ อานุภาพของค่ายกลปกป้องตระกูลชุยจะลดลงอย่างน้อยสามส่วน”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็เบนสายตามองไปที่ชุยจิ๋งเหยี่ยน และกล่าว “อีกไม่นาน เทศกาลหมื่นโคมไฟที่จัดขึ้นทุกหนึ่งพันปีก็จะมาถึงแล้ว ในเวลาเดียวกันนี้ ยังมีขุมกำลังโบราณจำนวนหนึ่งที่กำลังจ้องจะเล่นงานตระกูลชุยของเจ้า ทว่าในเวลาสำคัญเช่นนี้ตระกูลชุยของเจ้าดูเหมือนจะมีคนทรยศโผล่หัวขึ้นมาแล้ว”
คนทรยศ!
คำ ๆ นี้ราวกับทิ่มแทงโดนใจของชุยจิ๋งเหยี่ยน หญิงสาวโกรธจนกัดฟันกรอด ๆ กล่าวด้วยความคับแค้นใจ “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนในตระกูลชุยเอาสมบัติของบรรพชนมาจำนำ กระทำเช่นนี้มีโทษสมควรตาย!!”
พูดจบ หญิงสาวก็ลุกขึ้น ตั้งใจว่าจะกลับไปที่จวนเพื่อนำเรื่องนี้ไปบอกต่อบิดาของตนเอง
ซูอี้กล่าวห้ามด้วยความรำคาญ “รีบร้อนไปไย เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าตระกูลชุยของเจ้ามีแค่คน ๆ นี้ที่เป็นคนทรยศ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตะลึง ถามขึ้นมา “พี่ซูพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ซูอี้กล่าวเสียงอ่อนโยน “ความหมายของข้าก็คือ อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น คอยดูว่าที่แท้แล้วคนทรยศคนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่ ช่วงเวลานี้ติดต่อกับใครบ้าง คลำเถาหาแตง สุดท้ายรวบตัวให้หมด กำจัดไม่เหลือ”
ผู้ดูแลร้านอดชื่นชมไม่ได้ “ใต้เท้าซูกล่าวมาจึงเป็นวิธีจัดการทีเดียวสบายไปตลอด”
ตาชั่งดุลยพินิจ ระฆังสยบใจ ลูกคิดเคลื่อนดาราต่างก็เห็นด้วย
ชุยจิ๋งเหยี่ยนจึงสงบใจลง กล่าว “คน ๆ นั้นจำนำคันฉ่องสายฟ้า ก็เพื่อแลกซื้อเคล็ดวิชาก้าวสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เช่นนี้ก็แสดงว่า ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่ไม่อาจบรรลุขอบเขตได้สักที ไม่เช่นนั้น คงไม่ทำเรื่องชั่วช้าไร้ยางอายเช่นนี้ออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะเดาฐานะของเขาได้ไม่ยาก…”
ภาพของผู้อาวุโสในตระกูลชุยปรากฏขึ้นในสมองของหญิงสาว
ซูอี้คิดสักครู่ ก่อนกล่าว “ที่เจ้ากล่าวมานั้นไม่ผิด แต่ยังไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนขอคำชี้แนะด้วยความถ่อมตน “พี่ซูโปรดชี้แนะด้วย”
“ในเมื่อคน ๆ นี้กล้าจำนำคันฉ่องสายฟ้าในเวลาเช่นนี้ ก็ต้องมีวิธีทำให้ตระกูลชุยของเจ้าไม่สงสัยในตัวเขาอย่างแน่นอน”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “และสาเหตุที่เขาต้องจำนำสมบัติชิ้นนี้ จุดประสงค์นั้นเห็นได้ชัดมาก นั่นคือต้องการจะบั่นทอนพลังค่ายกลปกป้องของตระกูลชุย”
“ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงขายสมบัติชิ้นนี้ให้กับร้านรับจำนำแล้ว ก็จะไม่มีใครสามารถสืบพบว่าเป็นฝีมือของใคร และยังได้รับเคล็ดวิชาบรรลุขอบเขตอีกด้วย มีเหตุผลใดไม่ทำเช่นนี้?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนขมวดคิ้วกล่าว “หากว่าเป็นอย่างที่พี่ซูพูด ฐานะของคน ๆ นั้นก็ยากนักจะสืบพบ”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่ผู้ดูแลร้าน และกล่าว “ตามกฎแล้ว ร้านของพวกเจ้าไม่อาจเปิดเผยฐานะของแขกได้ แต่การค้าขายเมื่อสักครู่ ข้าเป็นคนดำเนินการกับฝ่ายตรงข้าม เจ้าคิดว่าหากบอกฐานะของเขาออกมาจะถือว่าเป็นการทำผิดกฎหรือไม่?”
“เอ่อ… เรื่องนี้…”
ผู้ดูแลร้านลังเลขึ้นมาในทันใด
แต่ระฆังสยบใจ ตาชั่งดุลยพินิจ กับลูกคิดเคลื่อนดารากลับพูดออกมาพร้อมกัน “ใต้เท้าซูทำเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการทำผิดกฎร้าน”
ผู้ดูแลร้านถึงกับหน้าแข็งทื่อ อยากจะตบเจ้าพวกนี้เสียจริง เวลาจะพูดอะไรออกมาปรึกษากันก่อนจะได้หรือไม่?
พวกเจ้าทำเช่นนี้ ใต้เท้าซูจะมองข้าอย่างไร?
ผู้ดูแลร้านไอแห้ง ๆ จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรียนใต้เท้าซู ถึงแม้แขกคนเมื่อสักครู่จะปิดบังพลังในตัว แม้แต่ลักษณะท่าทางก็ถูกอำพรางด้วยเคล็ดวิชา แต่ที่ร้านรับจำนำแห่งนี้ หากต้องการจะดูโฉมหน้าของเขา ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ
สวบ!
ม้วนภาพ ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซูอี้
ระฆังสยบใจส่งเสียงหวานใสออกมา “ใต้เท้าซู ในม้วนภาพนี้ก็คือภาพลักษณ์ของแขกคนเมื่อสักครู่ เชิญท่านตรวจดูได้”
ผู้ดูแลร้านถึงกับพูดไม่ออก หน้ากระตุก เจ้าพวกนี้อยากตายเช่นนั้นหรือ!?
เหตุใดพอเห็นหน้าใต้เท้าซูก็หมดความหนักแน่น ยอมทำตามทุกอย่างเลยเล่า?
ขายหน้าที่สุด!!
ผู้ดูแลร้านร่ำร้องในใจ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มพลางกล่าวชื่นชม “ระฆังสยบใจไม่เลวเลย ควรจะเอาภาพวาดออกมาตั้งนานแล้ว”
ซูอี้คร้านจะสนใจท่าที ‘ประจบ’ ของผู้ดูแลร้าน
เขาคลี่ม้วนภาพออก มองเห็นภาพผู้ชายวัยกลางคนผมเคราสองสี ท่าทางงามสง่า
“เหตุใดจึงเป็นผู้อาวุโสสามได้?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนร้องเสียงหลงออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“รู้หน้ารู้คนไม่รู้ใจ ไม่แปลก” ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
ชุยจิ๋งเหยี่ยนส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ใช่ ผู้อาวุโสสามในตอนนี้มีระดับการฝึกตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางเท่านั้น อีกทั้งหลายปีมานี้ ยังคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายบิดาข้ามาตลอด ทำงานในหน้าที่เป็นอย่างดี ไม่เคยแสดงท่าทีผิดปกติอันใดออกมาเลย”
“อีกทั้ง ผู้อาวุโสใหญ่เป็นผู้ดูแลคันฉ่องสายฟ้าอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้… ก่อนหน้านี้ข้ายังเข้าใจว่าคนทรยศคือผู้อาวุโสใหญ่เสียอีก”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของชุยจิ๋งเหยี่ยนมีแต่ความขุ่นข้องใจ
ซูอี้กล่าว “ดูท่าแล้ว คนทรยศคนนี้จงใจจะใส่ร้ายผู้อาวุโสใหญ่ของพวกเจ้า คันฉ่องสายฟ้าหายไป ผู้อาวุโสใหญ่ไม่อาจหาเหตุมาโต้แย้งได้”
“บัดซบสิ้นดี!
ชุยจิ๋งเหยี่ยนโมโหจนหน้าสวยเย็นยะเยือก
ซูอี้เก็บม้วนภาพ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ เจ้าอย่าเพิ่งบอกให้ใครรู้ จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เป็นอันขาด”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพยักหน้า
“สหายเต๋า พวกเราศิษย์กับอาจารย์สามารถเข้าไปในร้านได้หรือไม่?”
ทันใด มีเสียงอาวุโสเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกร้าน
ผู้ดูแลร้านตบหน้าผาก ก่อนกล่าว “เกือบลืมไปเลยว่ายังมีศิษย์กับอาจารย์อีกคู่”
พูดจบ เขาก็ก้าวเดินออกไปนอกร้าน
อย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลร้านก็พาผู้เฒ่าในชุดนักพรตเต๋ากับชายหนุ่มชุดขาวเดินเข้ามาในร้าน
ทั้งสองไม่ได้ปิดบังหน้าตา เมื่อซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนมองเห็นก็รู้ได้ในทันใดว่าสองคนนี้ก็คือศิษย์อาจารย์ที่เคยเดินทางมาภูมิมืดมิดพร้อมกับพวกเขา!
“พวกท่านมาครั้งนี้ต้องการจะแลกซื้อสมบัติชิ้นใด?”
ผู้ดูแลร้านยิ้มพลางถาม
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าประสานมือคารวะก่อน จากนั้นจึงกล่าว “พวกเราศิษย์อาจารย์มาเพื่อ ‘ตำราหยก’ ที่ ‘ยมบาลตำหนักสิบ’ ทิ้งไว้”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ผู้ดูแลร้านถึงกับหรี่ตาเล็กลง
บรรยากาศในร้านอึดอัดขึ้นไม่น้อย
ซูอี้หัวเราะไร้เสียง เขาไม่รู้สึกประหลาดใจต่อเรื่องนี้
ตอนที่เจอศิษย์อาจารย์คู่นี้ที่มหาทวีปคังชิง เขาก็เดาออกแล้วว่าหนทางแห่งวิถีจักรพรรดิที่แทบจะสูญหายไปที่ศิษย์อาจารย์คู่นี้ต้องการเกี่ยวข้องกับ ‘ยมบาลตำหนักสิบ’ ที่หายสาบสูญไปในกาลเวลาเมื่อนานมาแล้ว!!