บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 823: ปรากฏตัว
ตอนที่ 823: ปรากฏตัว
ตอนที่ 823: ปรากฏตัว
ยมบาลสิบตำหนักเป็นคำเรียกรวมของราชายมบาลทั้งสิบซึ่งมีความแข็งแกร่งที่สุดใน ‘ดินแดนปรภพ’ แห่งบรรพกาล
เล่ากันว่าเมื่อดินแดนปรภพล่มสลาย ขุมกำลังที่ยมบาลสิบตำหนักบัญชาการก็พลอยสูญหายตามไปด้วย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ในภูมิมืดมิด ยมบาลสิบตำหนักก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไร้ตัวตน มีบันทึกอยู่ในตำราโบราณเท่านั้น
แตกต่างไปจากขุมกำลังโบราณอย่างตระกูลชุยที่เคยควบคุมกองตัดสินกับตระกูลชวีที่เคยควบคุมกรมนรกภูมิ หลังจากที่ยมบาลสิบตำหนักได้หายสาบสูญไปกับกาลเวลาแล้ว ขุมกำลังที่หลงเหลือก็ไม่มีเหลืออีก
แต่ซูอี้รู้ดีว่า สิบขุมกำลังใหญ่ซึ่งเป็นตัวแทนของยมบาลสิบตำหนักอาจจะสูญสิ้นไปจากโลกนานแล้ว แต่การสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักยังคงมีอยู่!
เหมือนดังที่ร้านรับจำนำแห่งนี้ก็มีสิ่งสืบทอดเช่นนี้!
“ทุกท่านรู้ได้อย่างไรว่าร้านรับจำนำของข้ามีตำราหยกสืบทอดที่ ‘ยมบาลสิบตำหนัก’ ทิ้งเอาไว้?”
ผู้ดูแลถาม
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋ากล่าวเบา ๆ “ขออภัย สาเหตุของเรื่องนี้ พัวพันเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ไม่ต้องการจะเปิดเผยชื่อแซ่ ขออภัยที่ข้าไม่อาจบอกให้รู้ได้”
ผู้ดูแลร้านพยักหน้า พลางกล่าว “ท่านคิดจะใช้สิ่งใดมาแลกกับตำราหยกสืบทอด?”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ กล่าวสีหน้าเคร่งเครียด “ภายในนี้ เป็นสมบัติโบราณที่ข้าได้มาจากทะเลทุกข์เมื่อในอดีต มันมีชื่อว่า ‘พิมพ์ลายน้ำ’ ซึ่งสืบทอดมาจาก ‘ราชาแม่น้ำฉู่’ ผู้เป็นหนึ่งในยมบาลสิบตำหนัก ถึงแม้จะเสียหายไปบ้าง แต่อานุภาพของมันสามารถเทียบเคียงกับสมบัติวิถีลึกล้ำชั้นดีได้”
พิมพ์ลายน้ำของราชาแม่น้ำฉู่!
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดสูดปากไม่ได้ คาดไม่ถึงเลยว่าในตัวผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าที่ดูธรรมดามาก ๆ คนนี้จะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้
ผู้ดูแลร้านหยิบกล่องหยกใบนั้นขึ้นมาวางบนตาช่างแยกแยะ
อย่างรวดเร็วลูกตุ้มก็ส่งเสียง “เพียงแค่สมบัติชิ้นนี้ยังไม่พอที่จะแลกกับตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักได้”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋ายังไม่ละความพยายาม จากนั้นหยิบกล่องหยกอีกใบหนึ่งออกมา และกล่าว “ในกล่องหยกนี้ คือ ‘กุญแจปฐมธาตุ’ ภายในซ่อนเร้นพลังมืดโดยกำเนิด มีมูลค่ามหาศาล ไม่ด้อยไปกว่าพิมพ์ลายน้ำ สหายเต๋าโปรดตรวจดูด้วย”
เช่นนี้ทำให้ซูอี้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าคนนี้เตรียมตัวมาพร้อมอย่างไม่ต้องสงสัย พกของล้ำค่าติดตัวมามากกว่าหนึ่งชิ้น!
แต่สิ่งที่เกินความคาดเดาของคนอื่น ๆ ก็คือตาชั่งดุลยพินิจกลับส่งเสียงร้องออกมาในทันใดว่า “ไม่พอ”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋านิ่งเงียบไปชั่วครู่ ฉับพลันส่งเสียงถอนใจเบา ๆ กล่าว “ก็ได้”
พอเขาพลิกฝ่ามือ มีดบินสีดำยาวเจ็ดชุ่นเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น คมมีดอับแสง ด้ามมีดสลักอักษรขนาดเท่ากับหัวแมลงวันสองหัวว่า “ขวัญกระเจิง”
“มีดบินขวัญกระเจิง!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนสีหน้าเปลี่ยน นึกถึงผู้สามารถผู้เคยมีชื่อเสียงเขย่าภูมิมืดมิด เคยถูกมองว่าเป็นตัวตนน่ากลัวของ ‘เทพปีศาจ’ เมื่อนานมากแล้ว
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาเดาฐานของผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าคนนั้นออกตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะรู้สึกแปลกใจอีก
และเมื่อเห็นผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าต้องการจะจำนำสมบัติชิ้นนี้ หวังถิงก็ตกใจจนหน้าถอดสี และกล่าวด้วยความร้อนใจ “อาจารย์ ไม่ได้เด็ดขาดขอรับ!”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าส่ายหน้าพลางกล่าว “เพียงแค่จำนำไว้ก่อนเท่านั้น วันข้างหน้าจะข้าหาวิธีไถ่คืนมาเอง”
พูดจบ มีดบิดขวัญกระเจิงก็ลอยไปหา “เชิญสหายเต๋าตรวจดู”
ผู้ดูแลร้านพยักหน้า
หลังจากที่ตาชั่งดุลยพินิจชั่งประมาณเสร็จ สุดท้ายจึงตอบ “ไม่พอ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดนิ่งตะลึงไมได้
พิมพ์ลายน้ำที่ราชาแม่น้ำฉู่ทิ้งไว้ กุญแจปฐมธาตุที่จักรพรรดิผีฝั่งบูรพาทิ้งไว้ ประกอบกับมีดบินขวัญกระเจิงอีกหนึ่งเล่ม กลับไม่สามารถแลกกับสิ่งสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักได้!?
แลดูไม่น่าเชื่อเลยสักนิด
แม้กระทั่งหวังถิงชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นก็ยังตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่อยากจะเชื่อ
ผู้ดูแลร้านกล่าวเบา ๆ “คิดว่าท่านคงจะทราบดีว่า สิ่งสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักแจ้งหนทางแห่งวิถีลึกล้ำบรรพกาลที่หาพบได้ยาก ถึงแม้หนทางวิถีเช่นนี้จะมีความอันตรายอย่างรุนแรง สามารถสร้างศัตรูได้มากมาย”
“ขอเพียงสำเร็จ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต กลายเป็นจักรพรรดิ์ ‘วิถีแห่งยมบาล’ ผู้กุมอำนาจอันดับหนึ่งได้!”
“ถึงเวลานั้น ยังถึงขั้นมีโอกาสสร้างตำหนักยมบาลสิบทิศขึ้นใหม่อีกครั้ง ยิ่งใหญ่ทัดเทียมขุมกำลังระดับสุดยอดในปฐพีได้!”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่ออีก “โชคเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติสามชิ้นนี้ของเจ้าจะสามารถแลกได้”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าทำสีหน้าสับสนไม่นิ่ง ก่อนกล่าว “ถ้าเช่นนั้นสหายเต๋าคิดว่า ข้าควรจะต้องจ่ายเท่าใดจึงสามารถแลกกับโชคเช่นนี้ได้?”
เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ยอมแพ้
ผู้ดูแลร้านถอนใจเบา ๆ พลางกล่าว “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีตัวตนอย่างท่านจำนวนไม่น้อย ที่พยายามจะแลกสิ่งสืบทอดยมบาลสิบตำหนักไป แต่ล้วนต้องกลับไปมือเปล่า”
พูดจบ เขาชี้ไปที่ตาชั่งดุลยพินิจ “นอกเสียจาก ได้รับการยอมรับจากมัน”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าขมวดคิ้วแน่น
หลายปีมานี้ เขาพาหวังถิงผู้เป็นศิษย์เดินทางไปหลายโลกภูมิเพื่อเสาะแสวงหา ทุ่มเทกายใจและเวลาไปไม่รู้เท่าใด คืนนี้จึงหาร้านรับจำนำพบ
แต่ใครกันเล่าจะคิดว่า สมบัติล้ำค่าสามชิ้นเช่นนี้สุดท้ายก็ยังแลกโชคที่พวกเขาปรารถนาไม่ได้!
ทำให้สภาพจิตใจของผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าดูกลัดกลุ้มขึ้นมา
หลังจากที่ผ่านไปนาน ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าราวกับตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นเบนสายตามองไปที่ผู้ดูแลร้าน และกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินมาว่า ที่ร้านรับจำนำ ขอเพียงยินดีจ่าย ก็สามารถแลกสมบัติล้ำค่าได้ ไม่รู้ว่า หากข้าต้องการจะแลกโชคนั้นให้ได้ ต้องจ่ายเท่าใด?”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนพากันตะลึง
แม้กระทั่งซูอี้ก็ยังไม่คิดว่าตาเฒ่าคนนี้จะทุ่มสุดตัวถึงเพียงนี้
ทว่าหวังถิงกลับใจร้อนดังไฟเผา เขารีบร้องห้ามผู้เฒ่าชุดพรตเต๋า แต่กลับถูกผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าห้าม
ผู้ดูแลร้านคิดสักครู่ กล่าวกับลูกคิดเคลื่อนดารา “เจ้าลองคำนวณดู”
เม็ดลูกคิดบนแผงลูกคิดเคลื่อนดาราสั่นระรัว ส่งเสียงดังก็อกแก๊ก ๆ ขึ้น ประกายแสงสว่างวาบ
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ๆ มีเสียง ๆ หนึ่งดังออกมาจากลูกคิด “หากว่าศิษย์อาจารย์ทั้งสองท่านยอมลงนามในสัญญาจิตวิญญาณ ในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปียินดีที่จะเก็บรวบรวมศาสตราวิถีเก้าชิ้นที่แปลงจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์มาให้ร้านรับจำนำของข้า ก็สามารถนำโชคที่ยมบาลสิบตำหนักทิ้งไว้ไปได้”
“หากว่าครบกำหนดเวลาแล้วทำไม่สำเร็จ ศิษย์อาจารย์ทั้งสองท่านจะถูกสัญญาจิตวิญญาณครอบงำ มีร่างดับวิถีสลายเป็นจุดจบ”
เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนถึงกับหนังหัวชาไปหมด สัญญาเช่นนี้รุนแรงวิปริตจนเกินไป หากว่าเป็นนาง ไม่มีทางรับปากอย่างแน่นอน
ตามที่รู้กันดีว่า ศาสตราวิถีโดยกำเนิดเป็นของขลังที่หาพบได้ยากมาก ต่อให้อยู่ในสายวิถีขั้นจักรพรรดิก็ยังไม่เห็นว่าจะมีศาสตราวิถีเช่นนี้!
ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้ได้ถึงเก้าชิ้นในระยะเวลาหนึ่งร้อยปี เป็นเรื่องที่ยากจะสำเร็จได้
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าสับสนสีหน้าไม่นิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขารู้ถึงความร้ายแรงของสัญญาฉบับนี้เป็นอย่างดี
หนุ่มน้อยชุดขาวกล่าวด้วยความร้อนใจมาก “อาจารย์ อย่ารับปากเด็ดขาด หนทางวิถีเช่นนี้ ไม่เอาก็ได้!”
ผู้ดูแลร้านก็พูดเกลี้ยกล่อมเช่นกัน “ถึงแม้หนทางวิถีเส้นนั้นจะหาได้ยาก แต่การผจญกับภัยอันตรายก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเช่นกัน เรียกได้ว่ามีโอกาสรอดเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ต่อให้สุดท้ายศิษย์ของท่านจะโชคดีย่างก้าวสู่หนทางวิถี แต่สิ่งที่เขาต้องประสบในวันข้างหน้านั้นจะมาจากภัยคุกคามของศัตรูรอบด้าน”
“ท่านควรจะเข้าใจดีว่า ในภูมิมืดมิดแห่งนี้ หากมีหนทางวิถีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ยมบาลสิบตำหนัก’ ปรากฏขึ้นมา ขุมกำลังระดับสุดยอดทั้งหลายจะร่วมมือกันโจมตี”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นโบกมือพลางกล่าว “สหายเต๋าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้า อันตรายเหล่านั้น ข้าเข้าใจชัดแจ้ง”
พูดจบ เขากล่าวด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น “ขอเพียงสามารถทำให้ศิษย์ของข้าคนนี้ได้รับโชคนี้ ภายในหนึ่งร้อยปี ข้าก็จะต้องทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อเก็บรวบรวมศาสตราวิถีโดยกำเนิดให้ครบเก้าชิ้น!”
ทุก ๆ คนต่างก็สะดุ้ง
ใคร ๆ ก็มองออกว่าผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อีก
ซูอี้คอยดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ มาตลอดเห็นเช่นนี้แล้วลุกพรวดพราดขึ้นมา เดินออกมาจากมุมหนึ่งของร้านรับจำนำ
หืม?
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋ากับชายหนุ่มชุดขาวตะลึงกันก่อน จากนั้นจึงรู้สึกตกใจขึ้นมา
“สหายเต๋าซู?”
ศิษย์อาจารย์คู่นี้เกือบจะเข้าใจไปว่าตนเองตาฝาด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจู่ ๆ ซูอี้ก็จะปรากฏตัวขึ้นในร้านรับจำนำอันลึกลับแห่งนี้
แม้แต่ผู้ดูแลร้านกับวัตถุมีจิตใจเหล่านั้นก็ยังตะลึง ใต้เท้าซูกำลังจะทำอะไรกันแน่?
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเบิกตาโต คน ๆ นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
เห็นซูอี้เดินมาที่แท่นชำระเงิน เอื้อมมือไปเคาะลูกคิดเคลื่อนดารา กล่าว “ข้าคำนวณดูหน่อย หากว่าข้าต้องการตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนัก จะต้องจ่ายเท่าใด”
“หา เอ่อ…”
ลูกคิดเคลื่อนดาราตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าแอบสะดุ้งในใจ ซูอี้ต้องการจะแย่งโอกาสวาสนากับตนเช่นนั้นหรือ?
สักครู่ลูกคิดเคลื่อนดารากล่าวอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าซู ตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักชิ้นนี้เป็นสิ่งที่นายของข้าเก็บรักษามานานมากแล้ว ไม่ใช่สิ่งจำนำของแขกคนอื่น ดังนั้น หากว่าท่านต้องการ เพียงแต่… เพียงแต่ทิ้งลายลักษณ์อักษรไว้เท่านั้น เมื่อนายท่านกลับมาแล้ว พวกข้าจะได้ตอบได้”
ตาชั่งดุลยพินิจ ระฆังสยบใจพากันพูดสมทบ “ใช่! ถูกต้อง!”
ผู้ดูแลร้านราวกับถูกคนใช้มีดแทงหัวใจ เจ็บจนไม่อาจหายใจได้ แต่บนใบหน้าของเขากลับยังคงฉีกยิ้มอันสดใสประดุจดอกไม้งาม และกล่าว “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋ากับชายหนุ่มชุดขาวต่างก็ตะลึงงัน ความตื่นตระหนกผุดเต็มใบหน้า แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
โชคที่พวกเขาศิษย์กับอาจารย์ต้องจ่ายด้วยราคาสูงล้นฟ้า แต่เหตุใดพอมาถึงซูอี้กลับทิ้งเพียงแค่ลายลักษณ์อักษรแค่ประโยคเดียวเท่านั้นก็ได้แล้ว?
นี่มันเรื่องอันใดกัน!?
แม้กระทั่งชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ยังได้แต่นวดหน้า ในใจเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย เมื่อไรกันที่ใคร ๆ ต่างก็ต้องไว้หน้าคนรุ่นหลังของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินถึงเพียงนี้?
ร้านรับจำนำแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ายุติธรรมมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?
เหตุใดเวลาอยู่ต่อหน้าซูอี้จึงไม่มีแม้แต่บรรทัดฐาน?
ซูอี้กลับขมวดคิ้วกล่าว “ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบทำตามกฎระเบียบถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
วัตถุมีจิตใจสามชิ้นปฏิเสธพร้อมกัน “เปล่าเลยขอรับ/เจ้าค่ะ!”
ผู้ดูแลร้านอดต่อว่าไม่ได้ ใต้เท้าซู ท่านไม่ใช่ไม่ชอบทำตามกฎระเบียบนั้นถูกต้อง แต่ไฟคลอกเมื่อครั้งนั้นของท่านเกือบจะเผาร้านรับจำนำจนไม่เหลืออยู่แล้ว!
“ช่างเถอะ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ก่อนแล้วกัน”
ซูอี้คิดสักครู่ จึงพบว่าสมบัติล้ำค่าในตัวไม่เหมาะที่จะนำออกมาแลกกับตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนัก
เขาเพิ่งพูดจบ ตาชั่วแยกแยะก็โยกโอนเอน กลายเป็นแท่นน้ำหมึกกับพู่กันในทันใด ทั้งยังรู้ใจคลี่กระดาษออกมาวางตรงหน้าซูอี้ แลยังไม่ลืมเอาปลายพู่กันจุ่มน้ำหมึก เหลือแต่เพียงไม่ได้รับอาสาเขียนอักษรแทนซูอี้เท่านั้น
ลูกคิดเคลื่อนดารากล่าวอย่างมีความหวังเต็มหัวใจ “ในที่สุดก็ได้ชื่นชมปลายพู่กันของใต้เท้าซูแล้ว”
ระฆังสยบใจกล่าวด้วยยินดีเช่นกัน “นั่นสิ อักษรที่ใต้เท้าซูเขียนขึ้นมากับมือ ใช่ว่าจะพบเห็นกันได้บ่อย ๆ เสียเมื่อไรกัน”
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำเอาชุยจิ๋งเหยี่ยนกับศิษย์อาจารย์คู่นั้นได้แต่อ้าปากค้าง
ผู้ดูแลร้านรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างแรง รู้สึกแสบหน้า อยากจะหาที่แทรกแผ่นดินหนี
เวลาที่ประจบเอาใจใต้เท้าซู อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนักได้ไหม?
ไม่เห็นหรืออย่างไรว่ายังมีแขกคนอื่นอยู่ด้วย?
ขายหน้า
ขายหน้าจริง ๆ!!