บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 824: ซากโบราณกองตัดสิน
ตอนที่ 824: ซากโบราณกองตัดสิน
ตอนที่ 824: ซากโบราณกองตัดสิน
เมื่อเห็นว่าซูอี้กำลังจะเขียนอักษรอยู่แล้ว ผู้เฒ่าในชุดนักพรตก็ไม่อาจรีรอต่อไปได้อีก เขาไอแห้ง ๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “สหายเต๋าซู ตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนัก…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้กล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “อย่าเพิ่งร้อนใจไป”
พูดจบ เขาก็สะบัดพู่กันเขียนอักษรประโยคหนึ่ง ‘โชคนี้ ข้ามอบให้คนอื่นแทนเจ้าแล้ว วันข้างหน้าอย่าลืมขอบคุณข้าด้วย’
ตัวอักษรชัดเจนสะบัดพลิ้ว งดงามนัก
เมื่อเห็นข้อความแล้ว ผู้ดูแลโรงจำนำราวกับถูกสายฟ้าฟาด หัวใจชักกระตุกอย่างแรง มอบให้คนอื่น?
หรือว่าใต้เท้าซูต้องการจะมอบโชคนี้ให้ศิษย์อาจารย์คู่นั้น!?
ระฆังสยบใจ ลูกคิดเคลื่อนดารากับตาชั่งดุลยพินิจต่างก็พากันร้องชื่นชม “อักษรงดงามมาก!”
เพียงแต่ว่า เมื่อวัตถุมีจิตใจทั้งสามชิ้นมองเห็นเนื้อหาที่ซูอี้เขียนแล้ว ต่างก็มองหน้ากัน เอาของที่เจ้านายเก็บรักษาไว้มอบให้คนอื่น แล้วยังบอกให้เจ้านายว่าอย่าลืมขอบคุณ แบบนี้…
ดีจริง ๆ หรือ?
แต่พวกวัตถุมีจิตใจเหล่านี้รู้ตัวดี ดังนั้นพวกมันต่างก็พากันเงียบเสียง และอีกอย่างเจ้านายกับใต้เท้าซูสนิทสนมชิดเชื้อกัน ทำเช่นนี้ ดูเหมือนไม่มีอะไรไม่เหมาะสมสักหน่อย…
เพราะอย่างไรเสีย ตอนที่ใต้เท้าซูเผานกกระดาษสุดรักหมื่นกว่าตัวของเจ้านาย สุดท้ายเจ้านายก็ยังคงยอมที่จะให้อภัยอยู่ดี
“เอาล่ะ เก็บอักษรข้อความไว้ แล้วนำตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักออกมา”
ซูอี้กล่าว
ผู้ดูแลโรงจำนำรับคำโดยไวราวกับไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยอีกแล้ว เพราะอย่างไรเสียเขาก็รู้ดีว่าต่อให้ไม่รับคำ ตาชั่งดุลยพินิจก็ยังจะนำเอาตำราหยกออกมาแต่โดยดี
และก็เป็นดังที่คาดคิดไว้ ผู้ดูแลโรงจำนำเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ตำราหยกสีดำขนาดเท่ากับฝ่ามือทรงเหลี่ยมก็ปรากฏอยู่บนแป้นตาชั่งของตาชั่งดุลยพินิจ
ฝั่งลูกตุ้มโยกเยกโอนเอียง พลางกล่าวอย่างเชื่อฟัง “ใต้เท้าซู โปรดเก็บไว้ด้วยขอรับ”
รู้บ้างไหมว่า ‘ไม่เคยผ่านความลำบากจึงไม่รู้ว่ากว่าจะได้มานั้นไม่ง่าย’ หมายความว่าอย่างไร?
ก็หมายความว่าอย่างนี้!
ถึงแม้ผู้ดูแลโรงจำนำจะรู้แต่แรกแล้วว่าผลที่ได้ต้องเป็นเช่นนี้ แต่ยังคงรู้สึกตัวสั่นหน้ากระตุกอยู่ดี
“รับปากข้าสามข้อ ตำราหยกสืบทอดนี้ก็จะเป็นของพวกเจ้า”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋า
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าสะดุ้งในใจ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เชิญสหายเต๋ากล่าว”
คนหนุ่มชุดขาวกลับลุกลี้ลุกลน เกรงว่าซูอี้จะยื่นเงื่อนไขที่เกินกว่าเหตุออกมา
ซูอี้กล่าว “หนึ่ง ถึงแม้ในตัวของพวกเจ้าศิษย์กับอาจารย์จะมี ‘กระดูกวิถีลึกล้ำ’ แต่การจะย่างก้าวสู่หนทางแห่งยมบาลยังคงอันตรายเหลือคณา นอกเสียจากพวกเจ้าจะสามารถค้นหาซากโบราณ ‘ตำหนักเซินหลัว’ ในทะเลทุกข์ได้ ไม่เช่นนั้น อย่าให้ศิษย์ของเจ้าดึงดันพิสูจน์เต๋าสู่จักรพรรดิ ข้ารับรองได้เลยว่าหากเจ้าทำเช่นนี้ จะต้องตายอย่างแน่นอน”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋านิ่งตะลึง ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาในหัวใจ
ตอนนี้เขาจึงตระหนักแล้วว่า ซูอี้ไม่เพียงแต่มองออกว่าพวกเขาศิษย์อาจารย์ต้องการจะทำอะไรเท่านั้น ทั้งยังรู้ดีด้วยว่าการจะก้าวสู่ ‘หนทางแห่งยมบาล’ นั้นต้องประสบพบเจอกับอันตรายร้ายแรง!
และที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือ ซูอี้ยังรู้ด้วยว่าการจะก้าวสู่หนทางเส้นนี้ โอกาสเดียวที่มีก็คือหาซากโบราณตำหนักเซินหลัวในทะเลทุกข์เท่านั้น!
พอนึกถึงความลึกลับแต่ละอย่างของซูอี้ขึ้นมา รวมถึงท่าทีเคารพนบนอบของผู้ดูแลโรงจำนำกับวัตถุมีจิตใจที่มีต่อซูอี้ในคืนนี้ ทำให้ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าก็ยิ่งเข้าใจแล้วว่าคนหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าคนนี้อาจจะมีความยิ่งใหญ่จนถึงขั้นคาดไม่ถึง!
นิ่งเงียบไปนาน ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าจึงพยักหน้าพลางกล่าว “สหายเต๋าโปรดวางใจ หากหาซากโบราณตำหนักเซินหลัวไม่เจอ ข้าไม่มีทางให้ศิษย์พิสูจน์เต๋าอย่างแน่นอน”
ซูอี้กล่าว “ข้อที่สอง หากว่าวันข้างหน้าศิษย์ของเจ้าย่างสู่หนทางแห่งยมบาลแล้ว จงไป ‘แม่น้ำมืดเก้ากักกัน’ ส่วนก้นล่างของแม่น้ำมืดมี ‘ปลากาหลัว’ กระจายตัวไปทั่ว จับมาได้เท่าไรก็เท่านั้น”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าทนไม่ไหวถามขึ้นมา “สหายเต๋า จับปลาชนิดนี้เพื่อไปทำอะไรเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้โพล่งออกมา “เจ้าของโรงจำนำแห่งนี้ชอบกินปลาแห้งชนิดนี้เป็นที่สุด พวกเจ้าสองคนสามารถจับมาตอบแทนบุญคุณได้ เพราะอย่างไรเสีย วันนี้ข้าเพียงแค่ยืมดอกไม้ถวายพระเท่านั้น ตำราหยกสืบทอดของตำหนักยมบาลสิบตำหนักเป็นสิ่งที่เจ้าของโรงจำนำเก็บรักษาไว้”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋ากับคนหนุ่มชุดขาวต่างก็นิ่งตะลึง
เอาปลามาทดแทนบุญคุณ?
ทั้งสองรู้สึกงงงันราวกับคาดไม่ถึง
ทว่าผู้ดูแลโรงจำนำกับวัตถุมีจิตใจเหล่านั้นไม่ได้คิดเช่นนั้น กลับรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ที่แท้ใต้เท้าซูยังจำได้ว่านายท่านชอบกินของขบเคี้ยวเป็นที่สุด…
“ข้อที่สาม”
ซูอี้พูดถึงตรงนี้ ก็เบนสายตามองไปที่ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋า “วันเทศกาลหมื่นโคมไฟ ช่วยข้าฆ่าพวกที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ”
ผู้เฒ่าชุดพรตเต๋าเข้าใจในทันใด ตกปากรับคำโดยเร็วโดยไม่ถามเหตุผลและไม่ถามว่าต้องฆ่าใคร “สหายเต๋าซูโปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน!”
เดิมทีเขาคิดว่าเงื่อนไขสามข้อที่ซูอี้เสนอมานั้นจะต้องเป็นเงื่อนไขที่ยากมาก แต่ตอนนี้รู้แล้วกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด!
หวังถิงก็โล่งอกด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณผู้อาวุโสซูที่สนับสนุนพวกเรา!”
เขาเปลี่ยนวิธีการเรียกซูอี้
“สาเหตุที่พี่ซูปรากฏตัวออกมา ที่แท้แล้วเพราะต้องการจะมอบตำราหยกสืบทอดของยมบาลสิบตำหนักให้ศิษย์อาจารย์คู่นี้ เพื่อช่วยตระกูลชุยของข้า…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้ที่นั่งดูเหตุการณ์ทั้งหมดเงียบ ๆ มาโดยตลอดรู้สึกราวกับมีไออุ่นผุดขึ้นในใจ ทั้งยินดีและซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
หากให้ซูอี้รู้ความในใจของแม่หญิงสาว คงจะทำหน้าไม่ถูกเป็นแน่
ซูอี้ไม่อยากจะสร้างเรื่องยุ่งยาก แต่เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ยมบาลสิบตำหนักที่หายสาบสูญไปตั้งแต่บรรพกาลอาจจะหยั่งรากแตกหน่อด้วยมือของศิษย์อาจารย์คู่นี้ก็เป็นได้!
ไม่นานนัก ศิษย์อาจารย์คู่นี้ก็ลาจาก
ซูอี้ก็ไม่คิดจะอยู่ต่ออีกเช่นกัน กล่าว “ผู้ดูแลโรงจำนำ พวกเจ้าคิดจะไปที่ไหนกันต่อ?”
ผู้ดูแลโรงจำนำคิดในใจ ก็ต้องไปในโลกภูมิที่ไม่เจอใต้เท้าซูสิ ไม่เช่นนั้น ทำแต่การค้าขาดทุนเช่นนี้ โรงจำนำต้องปิดกิจการเป็นแน่
เพียงแต่ว่าสีหน้าที่แสดงออกมา ผู้ดูแลโรงจำนำยังคงส่อสายตาแห่งความอาลัยอาวรณ์ “ข้าหวังเหลือเกินว่าจะสามารถอยู่ในภูมิมืดมิดต่ออีกช่วงเวลาหนึ่ง เช่นนี้ บางทีอาจจะได้พบกับใต้เท้าซูบ่อย ๆ แต่เสียดาย ร้านรับจำนำมีปณิธานความมุ่งมั่นของตัวเอง ผ่านพ้นคืนนี้ไปจะต้องแหวกผนังกั้นมิติและไปจากภูมิมืดมิด”
ระฆังสยบใจส่งเสียงเจื้อยแจ้วหวานแหวว “ผู้ดูแลโรงจำนำ ใต้เท้าซูถามว่าไปที่โลกภูมิไหนต่อ”
ผู้ดูแลโรงจำนำมุมปากกระตุก ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องตวาดออกมา “เจ้าไม่ต้องมาเตือนเลย! ไม่เห็นหรือว่าข้ายังพูดไม่จบ?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เอาล่ะ พูดหรือไม่พูดก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ต้องกลับกันแล้วเช่นกัน ผู้ดูแลโรงจำนำ เจ้าไปส่งพวกเราหน่อย”
ผู้ดูแลโรงจำนำรีบกล่าว “ขอรับ!”
ขณะที่พูด เขาก็หยิบกระดานวงล้อทองเหลืองชิ้นนั้นออกมา และเดินออกจากโรงจำนำไปก่อน
ซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนตามอยู่ข้างหลัง
“ใต้เท้าซูเดินทางปลอดภัย!”
“ใต้เท้าซูโปรดรักษาตัวด้วย!”
“ใต้เท้าซู พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เจอท่านอีกในครั้งหน้า”
ระฆังสยบใจ ลูกคิดเคลื่อนดารา และตาชั่งดุลยพินิจพากันเอ่ยพูดด้วยความอาลัยอาวรณ์ เต็มไปด้วยความคนึงหา…
ทว่า เมื่อร่างของซูอี้หายลับไปจากนอกโรงจำนำแล้ว
วัตถุมีจิตใจสามชิ้นนี้ต่างก็ถอนใจโล่งออกพร้อมกัน ราวกับว่าตอนที่ซูอี้อยู่ในโรงจำนำทำให้พวกเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“ใต้เท้าซูกลับไปได้สักที”
“เมื่อสักครู่ข้า…. แลดูประจบเอาใจเกินไปหรือไม่?”
“อย่าพูดเช่นนั้น ที่พวกเราทำไปเรียกว่าเคารพ!”
นอกโรงจำนำ
ราตรีมืดมิด ดวงจันทร์เสี้ยวสีเงินลอยเด่นอยู่บนนภา
เมื่อส่งซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนเสร็จ ผู้ดูแลโรงจำนำก็ยืดตัวตรงราวกับยกหินออกจากอก และพูดพึมพำออกมา
“ไม่รู้เช่นกันว่าคนไม่ดูตาม้าตาเรือคนไหนกันที่คิดจะไปต่อกรกับตระกูลชุยในวันงานเทศกาลหมื่นโคมไฟ มีใต้เท้าซูอยู่… หึหึ สมน้ำหน้าพวกชะตาขาดเหล่านั้นนัก!”
“เสียดายที่นายท่านไม่อยู่ หากนางรู้ว่าใต้เท้าซูยังไม่เสียชีวิต เกรงว่าคงจะบุกมายังภูมิมืดมิดโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วกระมัง?”
——
ใกล้ ๆ ประตูเมืองตาข่ายม่วง
เมื่อระลอกคลื่นมิติปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ร่างของซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ปรากฏขึ้น
“พี่ซู ข้าอยากจะกลับไปพบท่านพ่อก่อน”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอยากจะกลับบ้านเต็มทนแล้ว นางต้องการจะบอกเรื่องที่ผู้อาวุโสสามเป็นผู้ทรยศให้ชุยฉางอันได้รู้
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “อย่าได้พูดถึงเรื่องของศิษย์อาจารย์คู่นั้น และอย่าได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้กับคนอื่น ๆ ยกเว้นบิดาของเจ้า”
“ได้!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรับปากเสียงใส “พี่ซูยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่?”
เมื่อผ่านพ้นเรื่องราวในคืนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเชื่อมั่นในตัวซูอี้อย่างเต็มที่ ถึงขั้นอยากจะฝากเนื้อฝากตัวขึ้นมา
“ไม่มีแล้ว”
พูดจบ ซูอี้ก็สาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินไปที่ประตูเมือง
ชุยจิ๋งเหยี่ยนนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ในโลกนี้มีผู้หญิงคนไหนที่สามารถทำให้ซูอี้รู้สึกห่วงหาเวลาที่ลาจากบ้างนะ?
สุดท้าย ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ได้แต่สะบัดหัว คนอย่างซูอี้ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนรั้งเขาไว้ได้ เหมือนดังสายลมที่หยุดไม่อยู่…
หญิงสาวไม่คิดอีก รีบมุ่งหน้าตรงกลับไปบ้าน
——
เมืองตาข่ายม่วงในยามราตรีกาลคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั่วทุกหนแห่งมีแต่แสงไฟสว่างไสว ผู้คนแออัดเบียดเสียด
สองมือซูอี้ไพล่หลัง ขณะเดินลัดเลาะฝูงคนที่แออัดอย่างอารมณ์ดี
ภูมิมืดมิด พูดไปก็เป็นโลกภูมิที่กว้างใหญ่ไพศาลมากโลกภูมิหนึ่ง ไม่ได้มีความน่ากลัวเหมือนดังที่คนในโลกอื่น ๆ คาดคิด
คนในภูมินี้มีความหลากหลาย มีความเจริญรุ่งเรือง มีสุขทุกข์ มีพบและมีพราก
แต่ทว่า ตามที่ซูอี้รู้มา เมื่อสมัยบรรพกาล ภูมิมืดมิดมีความวิเศษสามารถผ่านทะลุได้ทุกภูมิ และเป็น ‘นรก’ ในสายตาของผู้ฝึกตนภูมิอื่น ๆ!
สำหรับเรื่องที่ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นกับภูมิมืดมิดจนต้องตกอยู่ในสภาพอย่างตอนนี้ ซูอี้ก็ไม่รู้เช่นกัน
เขารู้แต่เพียงว่า ในยุคบรรพกาล ตอนที่ดินแดนปรภพเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการจัดตั้งขุมกำลังอย่างกองหกวิถี กองตัดสิน ยมบาลสิบตำหนัก และประตูผีเบญจทิศ เป็นสถานที่แห่งความมืดมิดที่ทำให้ภูมิอื่น ๆ ต่างก็หวาดกลัว!
เมื่อซูอี้มาถึงทางด้านตะวันออกของเมืองตาข่ายม่วง ภาพความคึกคักอึกทึกครึกโครมก็หายไปสิ้น มีแต่ความเงียบสงบและอ้างว้าง
เดิมทีที่ตรงนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามของเมืองตาข่ายม่วง อันเป็นเขตที่ตั้งของกองตัดสิน เพียงแต่ว่าที่นี่กลายเป็นพื้นที่รกร้างไปตามการสูญหายของกองตัดสินเมื่อนานมากแล้ว
ภายในมีแต่ซากสิ่งก่อสร้างโบราณ บนถนนหนทางมีหญ้ารกขึ้นเต็ม ท่ามกลางแสงราตรีที่มืดมิดราวกับน้ำหมึกเช่นนี้ แลดูเวิ้งว้างวังเวงยิ่งนัก
นับแต่บรรพกาลมาจนถึงตอนนี้ ที่นี่ถูกเรียกว่า ‘สถานที่แห่งความชั่ว’ มีเรื่องเล่าลือที่ไม่เป็นมงคลมากมาย ด้วยเหตุนี้นอกจากนักผจญภัยที่ใจกล้าแล้ว น้อยนักจะมีคนมาที่นี่
ซากโบราณกองตัดสินตั้งอยู่ในเขตรกร้างแห่งนี้!
ซูอี้มองดูรอบด้าน ภายใต้แสงจันทร์สีเงินสลัว ๆ เขามองเห็นซากปรักหักพังมากมาย ถนนหนทางรกร้าง แทบจะมองไม่เห็นแสงไฟ ราตรีมืดมิดประดุจน้ำหมึกแผ่กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุม เพิ่มความวังเวงน่ากลัวให้แก่สถานที่ตรงนี้
“ยังคงเหมือนเดิม”
พื้นที่ตรงนี้ เป็นสถานที่อัปมงคลจริง ๆ ในบรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย อย่าว่าแต่คนปกติทั่วไปเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็ยังไม่กล้ามาในเวลากลางคืนที่พลังหยินหนักหน่วงที่สุดเช่นนี้
ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในซากปรักหักพังที่ถูกปกคลุมด้วยราตรีมืดมิดแห่งนี้แล้ว ร่างของเขาค่อย ๆ หายลับไป