บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 825: ลับ ๆ
ตอนที่ 825: ลับ ๆ
ตอนที่ 825: ลับ ๆ
ดึกสงัด
ภายในจวนที่ถูกพลังควบคุมหน่วงเหนี่ยวปกคลุมไปทั่วของตระกูลชุย
เมื่อฟังเรื่องราวที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้เป็นบุตรสาวประสบพบเจอมาแล้ว สีหน้าของชุยฉางอันก็มีแต่ความสับสน
ผู้อาวุโสสามเป็นผู้ทรยศ!?
ต้องยอมรับว่าชุยฉางอันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยแม้แต่น้อย
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมองดูบิดาด้วยสีหน้าเป็นห่วง จากนั้นจึงกล่าวปลอบใจ “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้โกรธไป คุณชายซูบอกว่าเพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนนี้ให้ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อน จากนั้นค่อยลูบเถาเพื่อคลำแตงรวบหัวรวบหางทีเดียว”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวต่ออีก “ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายซูก็ได้คันฉ่องสายฟ้ามาแล้ว ต่อให้เทศกาลหมื่นโคมไฟมาถึงก็จะไม่มีผลกระทบต่ออานุภาพของค่ายกลปกป้อง”
ชุยฉางอันถึงกับตะลึงมองดูบุตรสาวตัวเองหลายครั้ง พลันกล่าวด้วยความชื่นชม “เจ้าลูกคนนี้ ยังรู้จักพูดปลอบใจพ่ออีก โตแล้วจริง ๆ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวด้วยความเขินอาย “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่คุณชายซูสั่งกำชับมา ข้า… ข้าก็เพียงแค่นำมาบอกให้ท่านพ่อรู้ก็เท่านั้น”
ชุยฉางอันหัวเราะพลางกล่าว “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องเหล่านี้ข้ารู้แล้ว”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นออกไป
เมื่อเหลือแต่ชุยฉางอันเพียงคนเดียว สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดลง สายตาเป็นประกาย ความดุดันผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจระงับได้อยู่
“พวกสารเลวเหล่านั้น คิดว่าข้าไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาได้จริง ๆ เช่นนั้นหรือ?”
ภัยพิบัติใหญ่มาถึงต่างคนต่างก็หนีเอาตัวรอด
ทว่าตระกูลชุยยังไม่ถึงขั้นจนหนทาง ตอนนี้ยังมีเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนจึงจะถึงเทศกาลหมื่นโคมไฟ แต่คนในตระกูลชุยกลับทนไม่ไหวเสียเอง!
ชุยฉางอันไม่กลัวศัตรูจากภายนอก แต่กลัวความขัดแย้งภายในเป็นที่สุด
เขารู้ดีว่า บางครั้งการมอดม้วยของขุมกำลังระดับสุดยอดก็มักจะเริ่มต้นจากความขัดแย้งภายใน
นับตั้งแต่บรรพกาลมาจนถึงปัจจุบัน มีตัวอย่างทำนองเดียวกันนี้มากมายนับไม่ถ้วน
ที่โด่งดังที่สุดก็คือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น ณ ‘ถ้ำเสวียนจวิน’ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เก้ามหาแดนดินที่เกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเสียชีวิตลงอย่างน่าประหลาด ศิษย์ในสำนักต่างฝ่ายต่างแยกตนเป็นใหญ่ ศัตรูจากรอบด้านร่วมมือกัน บุกฆ่าคนในถ้ำเสวียนจวินจนเลือดนองเป็นสายน้ำ!
สุดท้าย ถึงแม้จักรพรรดินีชิงถังศิษย์คนเล็กของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะปราบความไม่สงบลงได้ ทว่าหลังจากผ่านสงครามครั้งนี้ ถ้ำเสวียนจวินก็ล่มสลาย จากความยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในมหาแดนดินตกสู่ความต่ำต้อยอย่างที่สุด
ศึกในครั้งนี้ หัวใจหลักอยู่ตรงที่ขุมกำลังที่อยู่ภายใต้การปกครองของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแก่งแย่งกันเอง ผู้สืบทอดเหล่านั้นต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อตัวเอง เกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง
หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ต่อให้ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไม่อยู่แล้ว ขุมกำลังศัตรูภายนอกเหล่านั้นก็คงยากนักจะบุกเข้ามาฆ่าในถ้ำเสวียนจวินได้
และศึกในครั้งนั้นก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อแดนทั้งมวล
ในอดีต ทั่วทั้งเก้ามหาแดนดินต่างก็ยกย่องปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินให้เป็นใหญ่ ถ้ำเสวียนจวินถูกยกย่องให้เป็นขุมกำลังวิถีอันดับหนึ่ง จนไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้
ทว่าบัดนี้ ความภาคภูมิใจในอดีตเหล่านี้ถูกลมซัดถูกฝนสาดจนไม่เหลืออีกแล้ว!
ตัวอย่างในอดีต คนรุ่นหลังต้องระวัง
ทว่าบัดนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินเริ่มลือกันว่าชุยหลงเซี่ยง คนเก่าคนแก่ของตระกูลชุยประสบเคราะห์ร้ายในทะเลทุกข์ จึงไม่อาจกลับมาได้อีก
ตระกูลชวี ตระกูลหง กับตระกูลตั้นไถก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว เป็นไปได้มากว่าจะมาสร้างความเดือดร้อนในวันเทศกาลหมื่นโคมไฟ
จนถึงตอนนี้ ตระกูลชุยก็ยังเกิดมีผู้ทรยศขึ้นอีก จะให้ชุยฉางอันผู้นำแห่งตระกูลชุยไม่รู้สึกกังวลได้เช่นใดกัน?
เขาไม่อยากจะให้วงศ์ตระกูลที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบันต้องล่มสลายในมือของเขา!
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ไม่อาจละเว้นโทษ ‘การทรยศ’ ของผู้อาวุโสสามได้!”
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว สีหน้าของชุยฉางอันก็เปลี่ยนไป
ก่อนที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนจะกลับมา ผู้อาวุโสสามได้เข้ามาหา พูดกันถึงเรื่องที่สามตระกูลโบราณ ตระกูลชวี ตระกูลหง และตระกูลตั้นไถมาเป็นแขกเมื่อตอนกลางวัน
ตอนนั้น ชุยฉางอันไม่ได้ปิดบังอันใด และเล่าสาเหตุการมาของทั้งสามตระกูลให้ฟังอย่างละเอียด
เมื่อพูดถึงจุดประสงศ์การมาของตระกูลชวีว่าต้องการจะเข้าไปในซากโบราณกองตัดสิน ผู้อาวุโสสามคิดว่าเรื่องนี้มีพิรุธ
จากนั้นผู้อาวุโสสามก็รับอาสาไปที่ซากโบราณกองตัดสิน เพื่อดูว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่ จะได้ป้องกันได้ทัน
ทว่า เนื่องด้วยได้มอบกุญแจลับที่ใช้เข้าไปในซากโบราณกองตัดสินให้แก่ซูอี้แล้ว ชุยฉางอันจึงปฏิเสธข้อเสนอของผู้อาวุโสสามไปอย่างอ้อมค้อม บอกแต่เพียงว่าเขาได้ส่งคนไปตรวจดูสภาพของซากโบราณกองตัดสินแล้ว!
และหลังจากนั้นผู้อาวุโสสามก็ขอตัวลากลับ
แต่ตอนนี้ หลังจากที่รู้ว่าผู้อาวุโสสามเป็นผู้ทรยศแล้ว ชุยฉางอันก็รู้ได้ในทันใดว่าจุดมุ่งหมายที่ผู้อาวุโสสามมาหาตนเองนั้นมีลับลมคมใน!
ตอนกลางวัน ตระกูลชวีเพิ่งเสนอขึ้นมาว่าต้องการจะไปตรวจดูซากโบราณกองตัดสิน คืนนี้ผู้ทรยศคนนั้นก็ถือโอกาสมาหา เพื่อต้องการจะไปตรวจดูสภาพของซากโบราณกองตัดสิน จะเป็นเรื่องบังเอิญได้เช่นใดกัน?
“หรือว่า ผู้อาวุโสสามกับตระกูลชวีร่วมมือกัน คิดจะใช้วิธีนี้เข้าไปในซากโบราณกองตัดสิน?”
สีหน้าของชุยฉางอันมีแต่ความเคร่งเครียด
เขานั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว
เพราะผู้อาวุโสสามรู้ดีว่า เขาได้ส่งคนไปตรวจดูสภาพซากโบราณกองตัดสินแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าผู้อาวุโสสามอาจจะถือโอกาสนี้เข้าไปในซากโบราณกองตัดสิน!
แต่อย่างรวดเร็ว ชุยฉางอันก็สงบใจลง
“มีท่านลุงซูอยู่ ไม่ต้องกังวลมากนัก ผู้อาวุโสสามคงจะคาดไม่ถึงเช่นกันว่าผู้ที่ถือกุญแจลับเข้าไปในซากโบราณกองตัดสินในคืนนี้จะเป็นตัวตนที่น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้…”
ชุยฉางอันเผยยิ้มเย็นชา
“ตาเถาเฒ่า”
จู่ ๆ ชุยฉางอันก็ส่งเสียง
“นายท่านสั่งมาได้เลยขอรับ”
บ่าวเฒ่าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง ก่อนจะโค้งตัวน้อมคารวะ
“เจ้าไปดูสิว่าบุตรหลานและญาติ ๆ ของผู้อาวุโสสามตอนนี้อยู่ที่ใด จำไว้ อย่ากระโตกกระตาก”
ชุยฉางอันกล่าวกำชับ “ตอนนี้ข้าจะไปที่ซากโบราณกองตัดสิน ตอนที่ข้ากลับมา เจ้าต้องทำงานนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว”
“ขอรับ!”
บ่าวเฒ่าออกไปทำตามคำสั่ง
——
ภายใต้ราตรีที่มืดมิด
ใกล้ ๆ กับซากโบราณกองตัดสินฝั่งตะวันออกของเมืองตาข่ายม่วง
ใกล้ ๆ กับอาคารที่รกร้าง หญ้าขึ้นรก และยังมีพลังชั่วสีดำเบาบางลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
“สหายเต๋าชวี คืนนี้เป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยาก อีกไม่นานนัก บ่าวรับใช้ที่ชุยฉางอันส่งมาก็จะมาถึงซากโบราณกองตัดสินแห่งนี้”
ในความมืด เขาก็คือผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลชุย ชุยเว่ยจง!
ข้างกายชุยเว่ยจง ยังมีคนอีกสี่คนยืนอยู่
คนที่นำอยู่ด้านหน้าสุดแต่งกายด้วยชุดกี่เพ้ายาวสีเหลือง ใบหน้าอิ่มเอิบอ่อนวัย เขาก็คือผู้เฒ่าชุดเหลืองของตระกูลชวีที่ไปเป็นแขก ณ จวนตระกูลชุยเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง
ข้างกายเขา มีหญิงหนึ่งชายสองยืนขนาบ ถึงแม้กลิ่นอายพลังบนตัวจะถูกเก็บไปจนหมดแล้ว แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกคาดเดาได้ยาก
ผู้เฒ่าชุดเหลืองยิ้มพลางกล่าว “หากว่าคืนนี้ทำสำเร็จ เจ้ามีความชอบยิ่งใหญ่นัก!”
ดวงตาของชุยเว่ยจงเกิดประกาย จากนั้นหัวเราะขึ้นมาพลางกล่าว “ข้าไม่หวังความดีความชอบอันใด ขอเพียงสหายเต๋าอย่าลืมเรื่องที่เคยรับปากข้าเรื่องนั้นก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองพยักหน้าพลางกล่าว “เจ้าจงวางใจ เรื่องที่ข้าชวีหมิงเวยรับปากไว้ ไม่มีทางคืนคำอย่างแน่นอน!”
ชุยเว่ยจงเบนสายตามองไปที่หญิงหนึ่งชายสอง พลันเอ่ยขึ้นมา “พี่ชวี เจ้ายังไม่ได้แนะนำสหายเต๋าทั้งสามท่านนี้เลย”
ชวีหมิงเวยผู้เฒ่าชุดเหลืองกล่าวมีเลศนัย “ฐานะของสหายเต๋าทั้งสามท่านนี้ เจ้าอย่ารู้เลยจะดีกว่า
ชุยเว่ยจงสะดุ้งในใจและรีบพยักหน้า
ตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้ หญิงหนึ่งชายสองได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจการสนทนาระหว่างชวีหมิงเวยกับชุยเว่ยจงแม้แต่น้อย
สายตาของพวกเขาจับจ้องดูแต่ราชวังเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ ท่ามกลางความมืดมิด
ราชวังแห่งนี้มีความสูงถึงพันจั้ง งดงามตระการตา ตั้งตระหง่านราวกับเทือกเขาที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ภายในความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่ว ราชวังแห่งนี้แลดูลึกลับเหลือคณา
นั่นก็คือซากโบราณกองตัดสินนั่นเอง!
เมื่อในอดีต กองตัดสินเป็นคุกที่มีชื่อเสียงที่สุดในปฐพีภูมิมืดมิด ตัวตนใดก็ตามที่ถูกกักขังอยู่ในนี้ล้วนเป็นตัวตนน่ากลัวที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายมากในตอนนั้น
ขณะเดียวกัน กองตัดสินก็เป็นสถานที่ทรมานผู้ชั่วร้ายของดินแดนปรภพด้วยเช่นกัน ที่นี่ตัดสินคนที่มีความผิดมหันต์ไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใดมาแล้ว
และในจำนวนนี้ มีผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิอยู่จำนวนไม่น้อย!
สามารถกล่าวได้ว่า เมื่อในอดีตกองตัดสินเป็นสถานที่ที่พวกชั่วทั้งหลายในใต้หล้าหวาดกลัวเป็นที่สุด
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป แถบพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของกองตัดสินแห่งนี้ก็กลับกลายเป็นที่รกร้างไป
“มีคนมา”
ทันใดชวีหมิงเวยก็ส่งเสียงพูด “ทุกท่าน อย่าได้กระทำการโดยพลการ คอยดูว่าคนที่มาคือใคร”
สายตาของทุกคนจ้องมองออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ท่ามกลางราตรีมืดอันเวิ้งว้าง ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา เขาแต่งกายด้วยชุดยาวสีเขียว สองมือไพล่หลัง เดินบนสถานที่รกร้างไร้ผู้คนเช่นนี้กลับก้าวเดินด้วยความมั่นใจไม่หวาดกลัว
“เหตุใดจึงเป็นคนแซ่ซูคนนั้นได้?”
เพียงแค่แวบเดียว ชวีหมิงเวยก็จำได้ในทันที เขารู้สึกประหลาดใจมาก
วันนี้ตอนกลางวันที่หอพินิจอุดร ณ จวนตระกูลชุย เพียงแค่พลิกฝ่ามือซูอี้ก็กดตั้นไถหลิ่วลงได้ และยังใช้ระดับการฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณตอบโต้การจู่โจมของตั้นไถฉือผู้เป็นจักรพรรดิ
ชวีหมิงเวยจึงจดจำเขาได้เป็นอย่างดี
ชุยเว่ยจง ผู้อาวุโสสามก็อดตะลึงไม่ได้ “สหายเต๋ารู้จักคนนี้ด้วยหรือ?”
ชวีหมิงเวยกล่าวด้วยความตระหนก “คนผู้นี้มีนามว่าซูอี้ วันนี้เขากับเซวียฮว่าหนิงปรากฏตัวพร้อมกันที่หอพินิจอุดร จวนตระกูลชุยของพวกเจ้า ว่ากันว่าเซวียฮว่าหนิงคัดเลือกให้เป็นคู่ครองของบุตรสาว เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้?”
ชุยเว่ยจงขมวดคิ้วพลางกล่าว “จิ๋งเหยี่ยนเพิ่งกลับมาวันนี้ ข้ากลับได้ยินมาว่า นางพาผู้ชายกลับมาด้วย บางที… อาจจะเป็นเจ้าหนุ่มที่เจ้าบอกว่าชื่อซูอี้คนนี้”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกสับสน “ประหลาด เหตุใดผู้นำตระกูลจึงส่งคนนอกมาที่ซากโบราณกองตัดสิน?”
สายตาของชวีหมิงเวยเกิดประกาย “บางที จิ้งจอกเฒ่าชุยฉางอันอาจจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างเข้าแล้ว และไม่อยากจะให้คนอื่น ๆ ในตระกูลรู้ แน่นอน หากต้องการรู้คำตอบ ก็จับตัวคนผู้นี้มาถามก็รู้”
หนังตาของชุยเว่ยจงกระตุกอย่างแรง ก่อนส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ได้เด็ดขาด หากว่าทำเช่นนั้น เจ้าตระกูลจะต้องรู้แผนของพวกเราในคืนนี้อย่างแน่นอน! หากว่าเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ทำไว้ก่อนหน้าก็จะสูญเปล่า! ”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “อีกทั้ง กุญแจลับที่เข้าสู่ซากโบราณกองตัดสินจะต้องใช้เคล็ดลับเฉพาะผลักดัน แม้กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้เคล็ดลับของวิชานี้ หากว่าทำร้ายคนคนนี้ ต่อให้พวกเราแย่งกุญแจลับมาได้ ก็ไม่อาจเข้าไปข้างในได้อยู่ดี”
ชวีหมิงเวยขมวดคิ้ว
และในขณะนี้เอง ผู้ชายร่างผอมในกลุ่มหญิงหนึ่งชายสองแต่งกายด้วยชุดสีเทาก็เอ่ยขึ้นมา
“รอให้คน ๆ นี้เปิดผนึกของกองตัดสินเข้าไปข้างในแล้ว พวกเราค่อยหาโอกาสแทรกตัวเข้าไป”
นิ่งเงียบไปครู่ เขาก็กล่าวต่อ “หากว่าคนผู้นั้นรู้สึกตัว ถึงเวลานั้น ข้าค่อยจัดการลบความทรงจำในช่วงระหว่างนี้ออกจากสมองของเขา เช่นนี้ก็จะไม่มีใครรู้อีก ชุยฉางอันก็ไม่มีทางจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้เช่นกัน”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างก็เห็นด้วย
ไกลออกไป ร่างสูงโปร่งของซูอี้กำลังเข้าไปใกล้ราชวังอันยิ่งใหญ่แห่งนี้มากขึ้นทุกทีแล้ว