บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 826: โลกเร้นลับแห่งเรือนจำ
ตอนที่ 826: โลกเร้นลับแห่งเรือนจำ
ตอนที่ 826: โลกเร้นลับแห่งเรือนจำ
ราชวังโบราณนี้เป็นสีดำ สูงหลายพันจั้ง ตระหง่านตระการตาเยี่ยงบรรพตใหญ่
แม้จะเผชิญการผันเปลี่ยนแห่งกาลเนิ่นนาน ราชวังนี้กลับยังสมบูรณ์ ตรงข้ามชัดเจนกับซากปรักหักพังในบริเวณโดยรอบ
ซูอี้ยืนใช้มือไพล่หลังอยู่หน้าราชวัง
รัตติกาลดำมืดเยี่ยงหมึก บรรยากาศดุร้ายแห่งสถานที่นี้หนาแน่นเยี่ยงหมอกดำ ปกคลุมไปบนอากาศ แทรกซึมสู่ผู้คนอย่างแสนอันตราย
นานมาแล้ว ซูอี้และชุยหลงเซี่ยงเคยเข้าสู่ที่แห่งนี้ด้วยกัน
เพียงแค่ว่ายามนั้น เขามาช่วยปราบสิ่งชั่วร้ายอันร้ายกาจที่สุด ณ ก้นบึ้งเรือนจำแห่งกองตัดสิน
ไม่นานนัก ซูอี้ก็สะบัดมือ ปรากฏกล่องสำริดขึ้น
หลังจากเปิดกล่องสำริดออก กุญแจสำริดรูปร่างคล้ายกระสวยซึ่งสลักลวดลายเต๋าอันบิดเบี้ยวพิกลก็ปรากฏขึ้น
ซูอี้หยิบกุญแจสำริดขึ้นมา และเดินไปที่ข้างประตูราชวัง
ณ ที่แห่งนั้นมีรูปสลักเซี่ยจื้อทำจากสำริดตัวมหึมา ดูราวมีชีวิต ท่าทางน่าเกรงขามยิ่งนัก
เมื่อซูอี้เสียบกุญแจสำริดเข้าไป ณ ฐานรูปสลักเซี่ยจื้อ ก็ปรากฏเสียงคำรามทึบๆ
คิดดูแล้ว มันก็ให้ความรู้สึกราวกับรูปสลักสำริดของเซี่ยจื้อตัวนี้พร้อมจะตื่นขึ้นได้ทุกเมื่อ
ทันใดจากนั้น หมุดยึดมากมายที่ตอกปิดประตูราชวังอยู่ก็ปรากฏแสงเรื่อราวดวงดาราเจิดจรัสทันที
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าหมุดเหล่านี้ดูจะสร้างเป็นลวดลายผนึกอันลึกลับซับซ้อน
ซูอี้ประหลาดใจ เขาเดินตรงไปเบื้องหน้าสู่ประตูราชวัง และเอื้อมมือพยายามแตะ
ชี่! ชี่! ชี่!
แสงลี้ลับสีฟ้าครามปรากฏขึ้นบนหมุดดอกแล้วดอกเล่าที่ประตูราชวังดุจดอกบัวพลิ้วไหว เกิดเป็นภาพอันน่าอัศจรรย์
ค่ายกลซึ่งผนึกประตูอยู่กระเพื่อมไหว เปลี่ยนเป็นประตูวังวนทรงบงกชยักษ์
ซูอี้ลอบพยักหน้า
ค่ายกลผนึกที่นี่ยังคงเหมือนก่อน ไม่ได้ถูกทำลายลง
ทว่า ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในประตูวังวนทรงบงกชนั้นเอง ชายหนุ่มก็ดูราวสังเกตเห็นบางสิ่งและหันหลังไปโดยพลัน
ไม่ห่างไปนัก คนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นชวีหมิงเวย ชายชราชุดเหลืองจากตระกูลชวีโบราณ และชุยเว่ยจง ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลชุยติดตามมาด้วย
ขณะที่อยู่ในร้านจำนำ เขาเคยได้เห็นภาพวาดของชุยเว่ยจงและรู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้เพียงหนึ่งเหลือบมอง
ทว่าซูอี้ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวพร้อมชวีหมิงเวย ณ ยามนี้!
แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของซูอี้ได้จริง ๆ คือสองบุรุษหนึ่งสตรี
กลิ่นอายของคนทั้งสามแปลกประหลาดยิ่งอย่างชัดเจน
“อย่าได้กระวนกระวายไปสหายน้อย ที่ข้ามารอคืนนี้ก็แค่เพราะต้องการเข้าไปในซากโบราณกองตัดสิน ขอเพียงเจ้าให้ความร่วมมือแต่โดยดี ชีวิตเจ้าก็จะไม่ต้องสูญเสีย”
ชวีหมิงเวยกล่าวยิ้ม ๆ “ทว่าหากไม่ร่วมมือ ก็อย่าหาว่าเรารังแกแล้วกัน”
ซูอี้ถาม “จริงหรือ?”
ชุยเว่ยจงแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ฆ่ามดปลวกเช่นเจ้าง่ายดายสำหรับข้านัก ไฉนต้องใช้คำลวงมาหลอกกัน?”
ซูอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย และถามว่า “งั้นข้าต้องร่วมมือเช่นไร?”
ชายร่างผอมสูงในอาภรณ์สีเทาพลันกล่าวว่า “ไปกับเรา เมื่อยามจาก เราย่อมปล่อยเจ้าไป”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ได้”
ชวีหมิงเวยอดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ “ยามเมื่อเจ้าอยู่ในหอพินิจอุดรเมื่อวันก่อน เจ้าช่างยโสนัก กล้าท้าทายตั้นไถซื่อ ทว่ายามนี้เมื่อไร้ชุยฉางอันและเซวียฮว่าหนิงหนุนหลังกลับยอมง่ายเพียงนี้เชียวหรือ?”
วาจาของเขาแดกดันลึกล้ำ
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”
ชวีหมิงเวยยิ้มอย่างดูแคลน คร้านเกินกว่าจะใส่ใจปลาซิวปลาสร้อย
“ไปกันเถอะ”
ชายชุดเทาดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด เขาก้าวสู่ประตูทรงบงกชก่อนใคร
คนอื่น ๆ ตามเขาเข้าไป
แววตาทุกคู่วูบไหว และร่างของพวกเขาก็ปรากฏในราชวังใหญ่ยักษ์จากอากาศธาตุ
ผนังสองข้างทางจุดไฟเรียงราย มันสว่างไสวอยู่เสมอตลอดกาลผันผ่าน จุดแสงกระจัดกระจายไล่ความมืดในโถงออกไป
เมื่อทุกผู้มองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่แห่งนี้ว่างเปล่าไร้สิ่งตกแต่ง มันดูว่างเปล่าและเย็นชาอย่างเกินธรรมดา
“ไม่ใช่เจ้าบอกว่าซากโบราณกองตัดสิน แต่เดิมเป็นเรือนจำอันโด่งดังทั่วโลกาหรือ?”
ชวีหมิงเวยงุนงงเล็กน้อย
คนเหล่านี้เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก
“จากบรรพชนตระกูลชุยของข้า เรือนจำที่แท้จริงของกองตัดสินอยู่เบื้องล่างราชวังนี้ มันเป็นโลกเร้นลับที่เหมือนดั่งขุมนรก โดยแบ่งออกเป็นสามชั้น”
ชุยเว่ยจงกล่าว “ในโบราณกาล ชั้นแรกของเรือนจำจะใช้กักขังอาชญากรที่ไม่ได้ต้องโทษถึงตาย แต่ก็จะต้องรับโทษทัณฑ์สารพัด”
“ชั้นสองมีไว้คุมขังนักโทษประหาร และนักโทษก็จะถูกตัดสินประหาร ณ วันที่กำหนด”
“ส่วนชั้นสามมีไว้คุมขังคนชั่วผู้กระทำผิดมหันต์ ทั้งจักรพรรดิในวิถีมารหรือวิญญาณชั่วร้าย หรือกระทั่งเชื้อสายมารปีศาจผู้นำหายนะสู่โลกา”
หลังชะงักไปเล็กน้อย ชุยเว่ยจงก็กล่าวต่อ “ทว่าเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เมื่อกองตัดสินถูกยุบ เรือนจำแห่งนี้ก็หลงเหลือแค่ในนาม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายร่างผอมสูงในชุดสีเทาพลันกล่าวขึ้นว่า “ไม่ ที่ชั้นสามยังมีตัวตนอันน่าสะพรึงกลวถูกกักขังอยู่บ้าง”
ชุยเว่ยจงสะดุ้ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าว “มีข่าวลือเช่นนั้นอยู่จริง ทว่าในตระกูลชุยของข้า มีเพียงน้อยคนนักจะรู้สถานการณ์ที่แท้จริงในเรือนจำนี้”
ชายชุดเทาถาม “เจ้ารู้ทางเข้าเรือนจำหรือไม่?”
เขาใช้จิตสัมผัสเพื่อตรวจตราบริเวณรอบโถงนี้มาก่อน ทว่าก็ไม่เจอทางเข้า
คนอื่น ๆ ก็มองชุยเว่ยจง
ชุยเว่ยจงรีบส่ายหน้า และกล่าวว่า “นี่คือความลับตระกูลชุยของข้า มีเพียงเจ้าตระกูลและบรรพชนที่รับรู้”
ชายชุดเทาขมวดคิ้ว และหันไปบอกชายหญิงข้างกายเขา “ตรวจสอบด้วยเคล็ดวิชา”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
คู่ชายหญิงเดินนำขึ้นมาและลงมือ
ฝ่ายชายสวมอาภรณ์หนังสัตว์ โครงร่างหนาใหญ่ แบกหอกศึกขนาดสองจั้งไว้ ความแข็งแกร่งไร้ใดเปรียบ
ฝ่ายหญิงมีรูปร่างเล็กงดงามหยดย้อย นางสวมชุดดำ เส้นผมยาวมัดไว้เบื้องหลังศีรษะ ใบหน้าปกคลุมด้วยผ้าสีดำ เผยเพียงคู่เนตรเย็นชาคมกริบ
ทั้งสองใช้เคล็ดวิชาสำรวจโถงอันว่างเปล่าเคว้งคว้างนี้ทีละคน
ซูอี้ยืนเฉยมองจากด้านข้าง
ครู่ถัดมา ชายในชุดหนังสัตว์และสตรีชุดดำทั้งสองต่างกลับมาโดยคว้าน้ำเหลว ไม่อาจหาทางเข้าเจอ
ชายชุดเทาซึ่งเป็นผู้นำขมวดคิ้ว
เขาพลันหันไปถามซูอี้ “ชุยฉางอันส่งเจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”
ซูอี้ตอบอย่างเฉยเมย “ไปเดินดูชั้นสาม”
ทุกคนล้วนสะดุ้ง
ชวีหมิงเวยกล่าวอย่างโกรธเคือง “เฮอะ ไอ้เด็กสารเลว เจ้ารู้วิธีเข้าเรือนจำแท้ ๆ แต่กลับไม่อธิบายออกมาอย่างจริงใจ ต้องกำจัดทิ้งจริง ๆ!”
เขายกมือขวาขึ้นมาและกำลังจะตบปากซูอี้ ทว่าชุยเว่ยจงหยุดเขาไว้ทันที
ชุยเว่ยจงแนะ “สหายเต๋า คนผู้นี้ต้องไม่ประสบเหตุในคืนนี้ เรายังต้องส่งเขากลับไปจัดการกับชุยฉางอันนะ!”
สีหน้าของชวีหมิงเวยมืดหมองไปชั่วขณะ และถลึงตาจ้องซูอี้อย่างดุดัน “แล้วทำไมเจ้ายังไม่รีบนำทางอีก!?”
ในสายตาจักรพรรดิเหล่านี้ คนเช่นซูอี้ย่อมไม่ต่างอันใดกับมดตัวหนึ่ง ไม่มีค่าให้ชายตามอง ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ใส่ใจ
ซูอี้ยิ้ม ชี้ที่เท้าตน “ทางเข้าอยู่นี่”
ทุกคนตกใจ
ซูอี้ขยับมือประทับ พลันปรากฏบงกชอันเกิดจากเส้นแสงรัดพันขึ้นบนอากาศ และเมื่อกลีบดอกโปรยลงสู่พื้น พื้นสีดำอันราบเรียบดุจกระจกก็เกิดการกระเพื่อมไหว
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าจักรพรรดิก็ลอบแปลกใจ
ควรค่าจดจำว่าพวกเขาไม่อาจตรวจสอบเห็นความผิดปกติใด ๆ ด้วยพลังของตนมาก่อน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าอำนาจปิดผนึกของซากโบราณกองตัดสินนี้น่าอัศจรรย์เพียงไร
โชคดีที่ครานี้ พวกเขาไม่ได้สังหารชายหนุ่มนามซูอี้ไปเสียก่อน หาไม่ การกระทำในวันนี้คงต้องหยุดลงกลางคัน
“เจ้าตระกูลไม่เพียงให้กุญแจลับกับเจ้า ยังสอนเคล็ดวิชาเข้าเรือนจำให้เจ้าด้วย!”
ชุยเว่ยจงโกรธเกรี้ยวนัก “นี่มันผิดกฎตระกูลโดยแท้!”
ซูอี้เกือบหลุดหัวเราะ คนทรยศตระกูลชุยผู้นี้ยังมีหน้ามาพูดเรื่องกฎตระกูลอีกหรือ?
ยามนี้ แสงสว่างที่พื้นหมุนวน ค่ายกลเปี่ยมด้วยพลังขับเคลื่อน และวังวนใหญ่ยักษ์ก็เปิดเป็นทางเข้า
“ไปกันเถิด”
ชายชุดเทาไม่อาจรีรอได้อีก และนำผู้คนเข้าไปในนั้น
แต่เดิมแล้ว ซูอี้ตั้งใจจะเดินรั้งท้าย ทว่าชวีหมิงเวยก็ดุด่าเขาอย่างเย็นชา “ทำอันใดอยู่ เดินตามมา!”
เขากังวลโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูอี้จะฉวยโอกาสหนี
ซูอี้เหลือบมองชวีหมิงเวยและเดินเข้าไปโดยไม่พูดจา
ชั้นแรกและชั้นสองในโลกเร้นลับแห่งเรือนจำใต้ดินของกองตัดสินนี้ว่างเปล่า มีเพียงห้องขังนับไม่ถ้วนกระจายเต็มไปหมด ทว่าพวกมันถูกทิ้งร้างมาช้านานแล้ว
เมื่อพวกเขามาถึงชั้นสามแห่งโลกเร้นลับแห่งเรือนจำใต้ดิน ทุกผู้ก็กลั้นหายใจด้วยสีหน้าตกตะลึง
ชั้นสามนี้ดูเป็นดั่งโลกอีกใบ มืดมนหดหู่ บรรยากาศหนาวเสียด หายใจลำบาก
การยืนในนั้นดูราวยืนท่ามกลางพื้นที่รกร้างอันไร้ชีวิตใด ๆ
สิ่งที่ทำให้คนทุกผู้แปลกใจคือ มีเสาสำริดขนาดยักษ์ราว ๆ ร้อยต้นตั้งอยู่ไกล ๆ
เสาสำริดแต่ละต้นสูงร้อยจั้ง และปกคลุมด้วยสายโซ่สีเลือดประหนึ่งอสรพิษใหญ่
และบนเสาบางต้นก็มีร่างอันน่าหวาดหวั่นผนึกไว้ต้นแล้วต้นเล่า!
แม้พวกเขาจะอยู่แสนไกล ทว่าทุกคนก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศดุร้ายจากพวกเขา
ชวีหมิงเวยและตัวตนระดับจักรพรรดิคนอื่นต่างหัวใจชาวาบ
ทั่วฟ้าดินมืดหมอง เสาสำริดสูงตระหง่านฟ้า และโซ่สีเลือดมัดร่างของเหล่าตัวตนน่าหวั่นเกรงเหล่านั้นไว้
ภาพเหล่านี้เมื่อมาอยู่ในโลกเร้นลับแห่งเรือนจำใต้ดินชั้นสามของกองตัดสิน ย่อมดูน่ากลัวจับใจโดยไม่ต้องสงสัย
ซูอี้เองก็พินิจมัน แววตาวูบไหวแฝงแววประหลาด
กาลเวลาผันผ่านนับไม่ถ้วน ตัวตนโหดร้ายมากมายที่ถูกกักขังไว้ที่นี่ตายไปแล้ว และทิ้งให้ ‘เสาผนึกมารฮุ่นเทียน’ ส่วนใหญ่ในเก้าสิบเก้าต้นว่างเปล่า
มีตัวตนโหดร้ายเหลืออยู่เพียงสิบเศษ แม้พวกเขาจะยังไม่ตายสนิท แต่ก็คงไม่มีโอกาสดิ้นหนีได้มากนัก
ทว่านี่เป็นเพียงบริเวณรอบนอกของโลกเร้นลับแห่งเรือนจำใต้ดินชั้นสาม และนักโทษผู้กระทำผิดชั่วช้าร้ายแรงก็ไม่ได้ถูกผนึกไว้ที่นี่
ทันใดนั้น ชายชุดเทาซึ่งนำขบวนอยู่พลันปรากฏท่าทีตื่นเต้น ขณะพึมพำว่า
“ข้าสัมผัสกลิ่นอายบรรพชนของเราได้! ยอดเลย! ท่านบรรพชนไม่ได้จากไประหว่างถูกกักขังแสนนาน!!”