บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 829: ปราบห้าจักรพรรดิ
ตอนที่ 829: ปราบห้าจักรพรรดิ
ตอนที่ 829: ปราบห้าจักรพรรดิ
วิถีลึกล้ำเป็นดั่งสรวง และจักรพรรดิก็ประหนึ่งเทพ
เหตุผลที่จักรพรรดินั้นแข็งแกร่งก็เพราะว่าพลัง เคล็ดวิชาและสมบัติที่มีล้วนแล้วเหนือชั้นเกินกว่าผู้ฝึกตนอื่นใดบนโลกหล้า
ดังนั้นจักรพรรดิจึงถือได้ว่าเป็นตัวตนเสมือนเทพ
กล่าวตามจริงแล้ว หากเปลี่ยนผู้ควบคุม ‘ค่ายกลพิภพผนึกมาร’ ในครานี้เป็นตัวตนอื่น ๆ ในวิถีวิญญาณ คงยากจะรีดเร้นพลังของค่ายกลนี้ออกมาได้ อย่าว่าแต่ใช้มันจัดการกับจักรพรรดิเลย
เพราะมันเหมือนการที่มีเด็กถือดาบอันไร้คู่เปรียบ …ไม่มีทางใช้มันได้เลย!
ทว่าสำหรับซูอี้ มันต่างออกไปเป็นคนละเรื่อง
ในอดีตชาติของเขา เขาก็คือผู้อยู่เหนือเก้ามหาแดนดิน ปราบสวรรค์ด้วยตัวคนเดียว
นอกจากนั้น ครั้งหนึ่งเขายังเคยสร้าง ‘ค่ายกลพิภพผนึกมาร’ ขึ้นใหม่ รู้ความลับและพลังของค่ายกลนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นพลังที่เขาปลดปล่อยจึงย่อมน่าหวาดหวั่นแน่นอน
เมื่อซูอี้และดาบของเขาเคลื่อนที่ อำนาจแห่งค่ายกลบนฟากฟ้าก็เดือดพล่าน แปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบมหาศาลทะยานนภาไปไกล
ตู้ม!
เฟ่ยฉางถิงซึ่งทะยานเข้ามาหน้าสุดถูกโจมตีก่อนเป็นรายแรก ร่างของเขาปลิวละลิ่วไปเบื้องหลัง หกมีดกระดูกมารในมือเกือบกระเด็นหลุด
เขาตกใจหน้าซีด
“ฆ่า!”
หอกยาวทะลวงผ่านนภาดุจมังกรตัวยาว แผดเผานภาทลายแดนดิน
ซูอี้บิดข้อมือฟันดาบ และหอกก็สั่นไหวรุนแรง ด้วยอำนาจร้ายกาจนี้ ชายในชุดหนังสัตว์เจ้าของหอกศึกพลันกระอักเลือดออกมา ร่างของเขาซวนเซถอยกรูด
ซูอี้ไม่แม้แต่จะมอง ดาบพลังสีเลือดพลันกรีดเสียง แผ่วงปราณดาบเป็นคลื่นดุจทะเลกลางพายุ
ที่ใดซึ่งปราณดาบเคลื่อนผ่าน พวกชวีหมิงเวยซึ่งทะยานเข้ามาจากทุกทิศทางต่างถูกผลักจนต้องล่าถอย ไม่สบายกายใจจนแทบกระอักเลือด
อำนาจของค่ายกลที่ซูอี้ใช้งานอยู่นั้นแข็งแกร่งเกินไป กระทั่งจักรพรรดิจะเข้าใกล้ยังทำไม่ได้ อย่าว่าแต่ทำอันตรายต่อซูอี้เลย
“ทุกคนรีบจัดการเขาเสีย ยิ่งปล่อยไว้นาน คนที่แย่จะเป็นเรา!”
เฟ่ยฉางถิงหน้าถอดสี และร้องลั่นขึ้นมา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจักรพรรดิแห่งเผ่ามารโห่วเองก็ตระหนักแล้วว่าหากยังขืนบุ่มบ่ามโจมตี ตนเองจะไม่อาจทำลายพลังค่ายกลที่ซูอี้ใช้ได้เลย
“ได้!”
คนอื่น ๆ ต่างเห็นด้วย
จากยามนี้ไป ร่างของพวกเขาก็วูบไหวและเคลื่อนที่ผ่านอากาศ
พวกเขาใช้กลยุทธ์ลิดรอนพลัง เห็นได้ชัดว่าต้องการลดทอนพลังกายของซูอี้ ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจยืมพลังค่ายกลได้
หากทำเช่นนี้ ชัยชนะก็เป็นของตาย!
“ไร้ประโยชน์ ความวิเศษของค่ายกลนี้คือสิ่งใด? มันปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ ที่ใดที่พลังไปถึง ไม่มีสิ่งใดที่มันปราบไม่ได้ และไม่มีผู้ใดที่มันฆ่าไม่ได้!”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ
เสียงเรื่อยเปื่อยของเขายังไม่ทันจางหาย ดาบพลังสีเลือดของเขาก็แทงสู่อากาศ
ตู้ม!
พิรุณปราณดาบหนาตาทะลวงใส่ร่างของชวีหมิงเวยจากทุกทิศทาง
“แย่ล่ะ!”
สีหน้าของผู้นำตระกูลชวีแปรเปลี่ยนกะทันหัน ไร้ทางหลีกเลี่ยง เขารู้สึกจนมุมหวาดกลัว
“ทลาย!”
ชวีหมิงเวยร้องตะโกน และรอบกายของเขาก็ปรากฏภาพนิมิตแห่งนรกภูมิปกนภาบังตะวัน ภูตผีนับไม่ถ้วนในนั้นต่างแผ่ปราณน่าสะพรึงกลัว
วิชาผีอเวจีทิพย์!
วิชามรดกแห่งตระกูลชวี ยามเมื่อแสดงฤทธิ์จะปรากฏนิมิตขุมนรกสิบแปดชั้น
ทว่าภายใต้ปราณดาบหลายพันสายจากพลังแห่งค่ายกลทุกหนแห่ง เคล็ดมรดกโบราณนี้ก็ดูราวฟองสบู่ที่ถูกจิ้มแตกในพริบตา
ฉัวะ!
ชวีหมิงเวยมิอาจหลบทัน เขาถูกปราณดาบสายหนึ่งทะลวงร่างแหลก โลหิตสาดกระจาย วิญญาณบาดเจ็บสาหัสเกือบสิ้นใจ
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของซูอี้ก็ปรากฏข้างกายเขา คว้ามือโยนร่างอันบาดเจ็บใกล้ตายของชวีหมิงเวย ไปอยู่ตรงหน้าภูเขาเตาสวรรค์ห่างออกไป
การเคลื่อนไหวนี้ดูเหมือนจะช้า ทว่าแท้จริงแล้วมันเกิดขึ้นเพียงในพริบตา
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าชวีหมิงเวยจะพ่ายแพ้รวดเร็วเสียจนสายเกินช่วยเหลือ
“บัดซบ!”
“เป็นไปได้เช่นไร…”
เหล่าจักรพรรดิต่างเดือดดาล ไม่อาจสงบใจได้
เมื่อพวกเขาพบซูอี้ในคืนนี้ พวกเขาไม่ได้มีซูอี้ในสายตาเลย ด้วยคิดว่าคงเป็นมดปลวกอีกตัวหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะต้องการป้องกันแผนผิดพลาด พวกเขาคงฆ่าซูอี้เสียนานแล้ว
ทว่า ใครเล่าจะคิดว่าตัวตนต้อยต่ำซึ่งพวกตนมองข้ามนี้จะปราบพวกเขาลงหน้าภูเขาเตาสวรรค์!!
“นี่!”
ก่อนที่พวกเขาจะทันคืนสติ ซูอี้พลันหันดาบแทงเข้าใส่ชุยเว่ยจงจากระยะไกล
ตู้ม!
บนท้องนภา พื้น และทั่วทิศรอบบริเวณที่ชุยเว่ยจงยืนอยู่ ปราณดาบจากพลังของค่ายกลต่างทะลักไหลฟาดฟันใส่เขา
ชุยเว่ยจงร้องเสียงประหลาด ร่างทั้งร่างประหนึ่งโอบล้อมด้วยเปลวเพลิง เขากระตุ้นมีดแยกวิญญาณให้ลุกโชนเจิดจ้าและทะยานหนีไป
ทว่าทั้งหมดนี้ก็เสียเปล่า
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลชุย จักรพรรดิผู้หนึ่งในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำก็ถูกปราณดาบหนาแน่นทำให้บาดเจ็บ และจากนั้นก็ถูกซูอี้คว้าตัวโยนเข้าใส่ภูเขาเตาสวรรค์ ขังเขาไว้ทั้งเป็น
ภาพนี้เป็นดั่งถังน้ำเย็นที่ราดดับโทสะของพวกเฟ่ยฉางถิง และทำให้พวกเขาตระหนักโดยแท้จริงว่าท่าไม่ดีแล้ว
“ไปกันเถอะ!”
เฟ่ยฉางถิงหันหลังกลับเผ่นหนี
ไร้หนทางให้บุ่มบ่ามต่อสู้ เมื่อซูอี้ควบคุมค่ายกลของภูเขาเตาสวรรค์ เขาก็ดูเหมือนผู้ปกครองโลกหล้าอันไม่อาจสั่นคลอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะโกรธเคืองไม่เต็มใจเพียงไร ก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
ในทางกลับกัน หากพวกเขายังไม่ไปไหน พวกเขาก็รังแต่จะเดินตามรอยเท้าของชวีหมิงเวยและชุยเว่ยจง!
วูบ! วูบ!
แทบจะในยามเดียวกัน ชายในชุดหนังสัตว์และสตรีชุดดำต่างหันหลังจากไป ทั้งคู่ต่างใช้เคล็ดวิชาที่ไม่ต่างอันใดกับการเคลื่อนย้ายพริบตา
ในพริบตา พวกเขาและเฟ่ยฉางถิงก็หายไป
ทว่าซูอี้กลับยิ้มและพูดกับตนเอง “แต่เดิมข้าก็อยากจะเล่นกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้านี่ไม่น่าเล่นด้วยเลย น่าเบื่อจริง ๆ”
ในโลกเร้นลับชั้นสามแห่งเรือนจำใต้ดินกองตัดสินปกคลุมไปด้วยพลังของค่ายกลพิภพผนึกมาร กระทั่งตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำยังไม่อาจหนีจากที่นี่ได้!
เหตุใดในอดีตกาล จึงไม่มีผู้ใดที่นี่หนีไปได้เลย?
นี่แหละเหตุผล!
ร่างของซูอี้ปรากฏจากอากาศธาตุ มือขยับเป็นท่าทาง
ครืน!! ครืน!!
ภูเขาเตาสวรรค์สั่นไหวรุนแรง และสายตรวนสีเลือดก็เสียดสีเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย
ในระหว่างนี้ ‘เสาผนึกมารฮุ่นเทียน’ ซึ่งอยู่ห่างออกไปร้อยลี้ก็ระเบิดแสงทิพย์เจิดจ้า และค่ายกลนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนเสาสำริด
นักโทษสิบกว่ารายซึ่งถูกจองจำบนเสาสำริดต่างกรีดร้องระงม
“ไม่นะ! ต้องเป็นใครสักคนจากตระกูลชุยแน่!”
“สมควรตายนัก!!”
“แปลว่า พวกสหายเต๋าที่วางแผนช่วยเราเมื่อครู่ เผยร่องรอยอย่างน่าเศร้าหรือ?”
นักโทษเหล่านี้ย่อมรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของ ‘ค่ายกลพิภพผนึกมาร’ กว่าใคร
ยามนี้เอง
โลกเร้นลับแห่งเรือนจำทั้งชั้นสามสั่นไหวอย่างรุนแรง วงค่ายกลกระเพื่อมขยายไปทั่วสารทิศ
ค่ายกลพิภพผนึกมารที่ว่านี้ คำว่า ‘พิภพ’ นั้นหมายถึงความสามารถสยบและกักขังตัวตนได้ทั่วชั้นสามในโลกเร้นลับแห่งเรือนจำนี้
ทว่า เห็นได้ชัดว่าเฟ่ยฉางถิงและคณะไม่ได้ตระหนักถึงปริศนาข้อนี้ หาไม่ พวกเขาคงไม่เลือกหนีเป็นแน่แท้
“หือ?”
เฟ่ยฉางถิงและคณะอีกสามพลันชะงักเท้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน
ทั่วสารทิศปรากฏคลื่นพลังไม่ขาดสาย และในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นคลื่นพลังรุนแรงดุจทะเลคลั่งม้วนตัวเข้ามา
กระทั่งบนฟ้าและบนพื้นยังมีพลังเช่นนี้ระเบิดออก!
“เร็ว!”
เฟ่ยฉางถิงคำราม
เขาเร่งใช้วิถีเต๋าของเขาทะยานไปเบื้องหน้า
ชายในอาภรณ์หนังสัตว์และสตรีในชุดดำต่างตระหนักว่าสถานการณ์อันตราย ไม่กล้านิ่งเฉย พวกเขาจึงต่างเผ่นไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งราวสิ้นหวัง
ตู้ม! ตู้ม!
ชั้นพลังหนึ่งถูกผ่าแยก แผ่แสงเจิดจ้าอร่ามตา
ทว่าในกาลต่อมา พวกเฟ่ยฉางถิงก็ต้องตกสู่ความสิ้นหวังอย่างช่วยไม่ได้
อำนาจของค่ายกลนั้นทะยานประดังชั้นแล้วชั้นเล่าไร้สิ้นสุด ทำให้พวกเขารู้สึกราวโดดเดี่ยวท่ามกลางคลื่นคลั่งในสมุทรกว้าง
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ไม่มีผู้ใดยินยอมถูกกักขัง พวกเฟ่ยฉางถิงต่างตาแดนฉาน แทบงัดสมบัติและเคล็ดวิชาทั้งหมดที่มีออกมาใช้
ทว่า พวกเขาก็เริ่มถูกสยบและบาดเจ็บไปตามกาล…
ท้ายที่สุด ร่างของพวกเขาก็ถูกพลังมหาศาลของค่ายกลจองจำ ไม่อาจขยับได้อีกต่อไป
“ข้าได้เห็นโลกหล้ามานานกว่าหมื่นสามพันปี ไม่คาดเลยว่าวันนี้จะมาถูกกักขังโดยเจ้าคนต่ำต้อยในขอบเขตสยายวิญญาณ!”
เฟ่ยฉางถิงคำรามอย่างโศกเศร้าท้อแท้
ชายในอาภรณ์หนังสัตว์และสตรีชุดดำต่างโศกเศร้าสิ้นหวัง สีหน้าซีดขาวดุจหิมะ
พรึ่บ!
อากาศกระเพื่อมไหวอยู่ชั่วขณะ และร่างของซูอี้ก็ปรากฏจากอากาศธาตุ
เขาเหลือบมองทั้งสามและอดหัวเราะกล่าวไม่ได้ “พวกเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเจ้า?”
ดวงตาของเฟ่ยฉางถิงแดงก่ำ แค่นเสียงขู่ “หากไม่ใช่เพราะพลังของค่ายกล ข้าคงบี้มดเช่นเจ้าตายไปแล้ว!”
“ไร้สาระ”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “หากข้าก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิไปฆ่าเจ้า มันก็ง่ายเยี่ยงดีดนิ้ว ผู้ชนะเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูด ยอมรับเสีย”
เขาโบกแขนเสื้อ และตนกับสามบุคคลผู้ถูกจองจำก็หายวับไป
ไม่นานนัก ร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าภูเขาเตาสวรรค์ จากนั้นก็ยกมือขึ้นโยนร่างของพวกเฟ่ยฉางถิงทั้งสามลงบนพื้น
เมื่อชวีหมิงเวยและชุยเว่ยจงผู้ถูกกักขังอยู่นานแล้วเห็นเช่นนี้จากไกล ๆ พวกเขาก็ตะลึงสิ้นหวังอยู่กับที่
ใครเล่าจะคิดว่าแม้พวกเขาจะมีจักรพรรดิถึงห้าคน แต่วันนี้กลับต้องพ่ายด้วยมือชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณ?
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ต้องเป็นเรื่องตลกใหญ่โตแน่แท้!
“อย่าห่วงเลย ข้าก็ไม่อยากให้ข่าวคืนนี้แพร่งพรายออกไปเหมือนเจ้าแหละ ดังนั้นข้าจะยังไม่ฆ่าพวกเจ้า”
ซูอี้ยกมือขึ้นดึงเก้าอี้หวายออกมานอนทอดร่างอย่างแสนผาสุก และหยิบไหสุราออกมาดื่มด่ำลิ้มรส
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเฟ่ยฉางถิงซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากนักโทษต่างก็ตะลึงงัน ไม่รู้ว่าซูอี้ต้องการทำสิ่งใด
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ทันใดนั้น เสียงแหวกอากาศก็ดังมาจากไกล ๆ
ทันทีที่เกิดเสียง ร่างสูงตระหง่านน่าหวั่นเกรงก็ปรากฏขึ้นหน้าภูเขาเตาสวรรค์จากอากาศธาตุ
ผู้มาใหม่สวมมงกุฎสูงและอาภรณ์โบราณ หนวดเคราพลิ้วไหวกลางอากาศดุจกิ่งหลิว ร่างแข็งแกร่งดุจดั่งเรือนจำ
เขาคือเจ้าตระกูลชุย ชุยฉางอัน!
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเฟ่ยฉางถิงก็ตะลึงดั่งต้องอสนีบาต ทุกความคิดแล่นเร็วจี๋จนร้อนไหม้
ทุกผู้ต่างรู้ว่าหายนะมาเยือนแล้วจริงแท้!