บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 83 พาตาเฒ่าไปกับเจ้าด้วย
ตอนที่ 83: พาตาเฒ่าไปกับเจ้าด้วย
บนต้นท้อไฟ ในม่านหมอก ร่างของคนแคระเถาชิงซานปรากฏขึ้นมา
เขาถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าคือศิษย์ของราชากลืนสมุทรอย่างนั้นหรือ?”
“นี่คือเหรียญของอาจารย์ข้า”
นักพรตเต๋าหนุ่มยิ้มแล้วหยิบเหรียญหยกออกมา มันถูกสลักตัวอักษรย่อ ‘เก๋อ’ ซึ่งสามารถฉายขึ้นในอากาศ
เถาชิงซานรีบเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพทันทีว่า “ชายชราต่ำต้อยผู้นี้ดวงตามืดบอด หวังว่านายน้อยจะอภัยให้กับความแคลงใจของผู้น้อย”
เก๋อเฉียนเก็บเหรียญหยกไป กล่าวว่า “ตามที่อาจารย์คาดเดา น่าจะมีลูกท้อไฟที่สุกงอมแล้ว ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าไปเก็บพวกมันมา”
เถาชิงซานแข็งทื่อ กล่าวอย่างลังเลว่า “เรียนตามตรง ท่านมาช้าเกินไป เมื่อคืนวาน มีลูกท้อไฟสุกงอมสามลูก แต่พวกมันถูกเอาไปแล้ว”
เก๋อเฉียนขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนเอาไป?”
เถาชิงซานรีบชี้ไปที่แผ่นหิน ตอบว่า “เชิญนายน้อยดูด้วยตัวเอง”
เก๋อเฉียนมองตาม เห็นเส้นลายมือสง่างามและน่าเกรงขามอยู่บนนั้น ‘ซูอี้นำลูกท้อไฟสามลูกไปในคืนที่สี่ของเดือนที่สองตามปฏิทินจันทรคติ’
เก๋อเฉียนขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น ถามว่า “ซูอี้ผู้นี้คือใคร?”
เถาชิงซานหวาดกลัวขณะตอบว่า “เรียนนายน้อย ซูอี้คือท่านเซียนผู้มีเคล็ดยิ่งใหญ่ วิชาของเขาสุดจะจินตนาการ ในสายตาของชายชราผู้ต่ำต้อย เขาดูเหมือนกับเซียนที่ถูกเนรเทศลงมายังโลกปุถุชน ทั้งยอดเยี่ยมและลึกล้ำจนไม่อาจหยั่ง ส่วนจุดกำเนิด ชายชราผู้ต่ำต้อยไม่ทราบแน่ชัด”
เก๋อเฉียนครุ่นคิดสักพัก กล่าวว่า “เขารู้ว่าที่นี่เป็นของอาจารย์ข้า แต่ยังกล้าเอาลูกท้อไฟไปพร้อมกับทิ้งข้อความไว้บนแผ่นหิน คนธรรมดาไม่อาจหาญเพียงนี้แน่”
เถาชิงซานกล่าวอย่างระแวดระวังว่า “นายน้อย ข้าคิดว่าท่านเซียนซูอี้ไม่ใช่คนชั่วร้าย แต่ก่อนเขาจากไป เขาบอกว่าหากท่านราชากลืนสมุทรไม่พอใจ สามารถตามหาเขาได้ทันที”
“คนผู้นี้ไม่หวาดกลัวอาจารย์ข้าเลยงั้นหรือ?”
สีหน้าประหลาดใจปรากฏตรงคิ้วของเก๋อเฉียน
หลังจากครุ่นคิด เขาถามว่า “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเขามีรูปลักษณ์เป็นเช่นไร?”
เถาชิงซานรีบตอบว่า “นายน้อยรอสักครู่”
ขณะกล่าวเช่นนั้น เขาเด็ดใบไม้สีเขียวมาจากต้นท้อไฟ บรรจงวาดร่างเค้าโครงด้วยปลายนิ้ว ไม่ช้า ร่างสูงอันหล่อเหลาก็ปรากฏขึ้นบนใบไม้
ถือฝักดาบไม้ไผ่ไว้ในมือ ผมบนศีรษะมัดเป็นมวย
เก๋อเฉียนมองอย่างละเอียด กล่าวด้วยสีหน้าสับสนว่า “ข้าคิดว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าเสียอีก ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนรุ่นหนุ่มสาว…”
เถาชิงซานอธิบายเสียงต่ำว่า “เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาจะมีทักษะดัดแปลงรูปลักษณ์ อย่างไรเสียคนอย่างท่านเซียนซูอี้ ก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกับผู้บ่มเพาะทั่วไปในโลกได้”
เก๋อเฉียนขมวดคิ้ว “เหมือนเจ้าจะหวาดกลัวซูอี้คนนั้นมาก?”
เถาชิงซานรีบตอบว่า “เรียนนายน้อยตามตรง ท่านเซียนซูอี้เลิศล้ำแท้จริง ชายชราต่ำต้อยผู้นี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยำเกรงและนับถือ”
เก๋อเฉียนพ่นลมออกจมูก
“เถาชิงซาน!”
ทันใดนั้น เก๋อเฉียนแผดเสียงลั่นราวระเบิดอสนีบาต
เถาชิงซานสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าในดวงตาของเก๋อเฉียน ปรากฏแสงสีม่วงอ่อน
อึดใจถัดมา เถาชิงซานรู้สึกเพียงเสียงหึ่งในวิญญาณ จากนั้นเขาก็สูญเสียการรับรู้อย่างสมบูรณ์ ก่อนนิ่งงันอยู่กับที่
ร่องรอยความจนใจปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเก๋อเฉียน จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นราวกับเอ่ยต่อตัวเอง “ตาเฒ่า โปรดช่วยข้าสืบค้นดวงวิญญาณของมันผู้นี้ที ข้าอยากรู้เพียงอย่างเดียว ว่าสิ่งที่เถาชิงซานพูดเป็นความจริงหรือความลวง”
หลังจากสิ้นคำ วิญญาณของเขาสั่นสะท้านสักพัก
เสียงหัวเราะต่ำและแหบพร่าดังขึ้น “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากได้ลูกท้อไฟหยางบริสุทธิ์มาแล้ว เจ้าต้องมอบมันให้ข้าจำนวนครึ่งหนึ่ง”
แก้มเรียบเนียนของเก๋อเฉียนยับย่นราวกับเจ็บปวด เขากล่าวว่า “ด้วยตัวตนของเจ้า ลูกท้อไฟเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าไม่ใช่หรือ”
“แม้ข้าไม่สนลูกท้อไฟระดับสี่ แต่นี่คือกฎ จุดประสงค์คือให้เจ้าเข้าใจว่ายามต้องการสิ่งใด ย่อมต้องจ่ายในราคาที่สมน้ำสมเนื้อ”
เสียงแหบพร่าในวิญญาณกล่าวว่า “เจ้าหนูพยายามเข้าล่ะ ยิ่งจ่ายมากเท่าไร ยิ่งได้มากเท่านั้น จงอย่าลืม เมื่อมีข้าอยู่ข้างเจ้า สนับสนุนเจ้า ตัวเจ้าจะประสบความสำเร็จไม่ต่างจากเหล่าโอรสสวรรค์! ความสำเร็จในอนาคตของเจ้าจะเหนือล้ำกว่าอาจารย์ในตอนนี้ของเจ้าร้อยเท่าอย่างแน่นอน!”
คำพูดนี้ฟังดูน่าดึงดูดนัก
เก๋อเฉียนเย้ยหยัน “ตาเฒ่า ถ้าเจ้ามีความสามารถยอดเยี่ยมอย่างที่เอ่ยจริง ทำไมตอนนี้ถึงตกระกำลำบากจนต้องมาอาศัยอยู่ในดวงวิญญาณของข้า? โดยเฉพาะตอนข้าอยู่ต่อหน้าอาจารย์ เจ้าก็หวาดกลัวเกินกว่าจะกล่าววาจา หึหึ ตอนนี้เจ้ากลับมาโอ้อวดข้าอีก ไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรือ?”
เสียงแหบพร่าเงียบไปสักพัก ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “มังกรที่ติดอยู่ในสันดอนยังถูกกุ้งหยอกล้อ พยัคฆ์ที่ถูกจับใส่กรงยังถูกสุนัขกลั่นแกล้ง หากตอนนั้นตัวข้าผู้นี้ไม่… เฮ้อ ช่างเถอะ ๆ อย่ากล่าวถึงมันเลย ผู้ที่เข้าใจย่อมคิดว่าข้าเป็นห่วง ผู้ที่ไม่เข้าใจย่อมคิดว่าข้าหาข้ออ้างไม่ใช่หรือ?”
เก๋อเฉียนเย้ยหยัน “เอาเถอะ ๆ เร่งมือเข้า ข้าจะมอบลูกท้อไฟให้ในอนาคต”
“หึ!”
หลังจากดวงวิญญาณเฒ่าทำเสียงฮึดฮัด จู่ ๆ เก๋อเฉียนรู้สึกเจ็บแสบในดวงตา แสงสีม่วงหมุนวนพลันปรากฏขึ้นในลูกตา มันจับจ้องเถาชิงซาน
ในเวลาเพียงชั่วครู่ เสียงแหบพร่าพลันเผยร่องรอยความประหลาดใจออกมา มันเป็นความรู้สึกที่หนักอึ้ง
“เจ้าเห็นอะไร?” เก๋อเฉียนรีบถาม
หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น “ซูอี้ผู้นั้นเป็นเพียงชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตโคจรโลหิต ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ดัดแปลงหน้าตาแต่อย่างใด เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร?” เก๋อเฉียนหงุดหงิดเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็น ‘วิญญาณเฒ่า’ ที่อาศัยในวิญญาณของเขามีความลังเล
ที่ผ่านมา ‘วิญญาณเฒ่า’ ผู้นี้ไม่เคยแยแสแม้แต่เหล่า ‘เทพเซียนเดินดิน’ มีแต่การดูถูกเหยียดหยาม
“ข้าบอกได้เพียงแค่ว่า มีบางสิ่งแปลกประหลาดเกี่ยวกับซูอี้ผู้นี้ เป็นไปได้มากว่าเขาเก็บงำความลับยิ่งใหญ่ที่ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้!”
เสียงแหบพร่ากล่าวเช่นนี้ ทันใดนั้นก็แนะนำว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้ามีลางสังหรณ์ หากเจ้าสามารถปราบซูอี้ผู้นี้ได้ บางที พวกเราอาจจะได้โชคลาภก้อนใหญ่ที่คาดไม่ถึงก็ได้ ว่าอย่างไร เจ้าอยากลองหรือไม่?”
เก๋อเฉียนเกิดความระแวดระวังในใจ แต่ยังตอบอย่างสงบว่า “เหตุผลนี้ดีไม่พอ อีกอย่าง ปกติข้าเป็นคนขลาดกลัว อาจารย์บอกว่าไม่เคยเห็นคนระแวดระวังเช่นข้ามาก่อน แม้กระทั่งการฆ่าไก่หนึ่งตัวยังต้องเอามือปิดตา”
“…”
เสียงแหบพร่าเงียบสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “แต่เขาใช้กำลังขโมยลูกท้อไฟไปสามลูก ในฐานะศิษย์ของเก๋อฉางหลิง เจ้าจะไม่นำมันกลับมาหรือ? แต่เอาเถอะ ขอเพียงเจ้าจัดการกับซูอี้ ข้าย่อมไม่รังเกียจที่จะหาข้อยกเว้นให้! ถึงตอนนั้น เจ้ากับข้าจะแบ่งผลประโยชน์จากของที่ชิงมาได้อย่างเท่าเทียม แบบนี้ดีกว่าหรือไม่?”
แต่ในใจของเก๋อเฉียนกลับระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ทราบ อาจารย์จะเป็นผู้ตัดสินใจ”
เห็นได้ชัดว่าเสียงแหบพร่าหงุดหงิด “ความกล้าของเจ้าเพียงเท่านี้ ยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องอนาคตอย่างการกดขี่โลก จัดการศัตรูทั้งหมดบนวิถีเต๋าได้อย่างไร? เหอะ! อาจารย์ของเจ้าพูดถูกแล้ว เด็กน้อยอย่างเจ้าขี้ขลาดไปถึงแกนกลาง!”
ทว่าเก๋อเฉียนกลับหัวเราะ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “การระวังไม่เคยเป็นเรื่องที่เลวร้าย สมมติว่าข้าฟังเจ้าจนไปจัดการซูอี้จริง แต่อีกฝ่ายกลับซ่อนไพ่เด็ดที่คาดไม่ถึง ไม่เพียงแค่ข้าจะจบสิ้นเท่านั้น แต่สหายเฒ่าเช่นเจ้าจะเสียวิญญาณไปด้วยเช่นกัน”
หลังจากนั้น เขาหันหลังแล้วเดินออกไปจากป่าดอกท้อ ชุดคลุมสีส้มพลิ้วไหว แต่รอยยับย่นยังคงปรากฏอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา
นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาเห็นตาเฒ่าในวิญญาณของตนเองอดใจรอที่จะจัดการกับชายหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาไม่ได้!
นี่ทำให้เขายิ่งระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
ระหว่างทาง เสียงแหบพร่ายังคงเงียบ คล้ายกับรู้สึกตัว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ย่อมเป็นการยากที่จะเปลี่ยนใจเก๋อเฉียนได้
“ซูอี้ เจ้าขโมยลูกท้อของอาจารย์ข้าไป เจ้าจะต้องชดใช้หนี้อย่างสาสม อาจจะอีกไม่นานนักหรอก ก่อนที่ข้าและเจ้าจะได้เจอกัน…”
หลังเดินออกจากป่าดอกท้อ เก๋อเฉียนถอนหายใจยาวออกมา ก่อนนั่งนกกระเรียนขึ้นไปในอากาศ
…
แม่น้ำต้าฉาง เรือโดยสารขนาดมหึมา
ศาลาเจี่ยจื้อหลังที่เก้า
“นายน้อยซู ศาลาหลังนี้มีสองชั้น ท่านพักอยู่ชั้นที่สอง พวกข้าจะพักอยู่ชั้นที่หนึ่ง”
หยวนลั่วซีกล่าวอย่างเด็ดขาด
บนเรือนี้มีตึกเก้าชั้นและศาลาสิบสองหลัง การจะเช่าศาลาหนึ่งหลังได้มีเงินอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จะต้องมีความสัมพันธ์พิเศษและแน่นแฟ้นเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์
แน่นอนว่าเป็นฟู่ซานที่เช่ามาได้เพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับจางอี้เหริน
“ที่นี่ดียิ่งนัก”
หวงเฉียนจวินชำเลืองมองรอบข้าง เขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เอ่อล้นออกมา
ศาลาแห่งนี้มีสองชั้น แต่มีลานด้านนอกเป็นของตนเอง เครื่องเรือนและข้าวของครบครัน มีการตกแต่งแบบโบราณหรูหรา หากยืนบริเวณหน้าต่างชั้นสอง ย่อมสามารถมองเห็นฉากอันตระการตาของแม่น้ำต้าฉางได้
“ทำไมเจ้าไม่พักที่นี่เสียด้วยเลย?” ซูอี้ถามอย่างไม่ใส่ใจ
“เรื่องนี้…”
หวงเฉียนจวินรู้สึกหวั่นไหว ห้องที่พ่อเขาจ่ายด้วยเงินเป็นจำนวนมาก อยู่ในอาคารเก้าชั้น แถมยังเป็นห้องที่อยู่ชั้นแรกอีก
ห้องชั้นแรกที่นับได้ว่าธรรมดาสุดในเรือเช่นนั้นจะสามารถเทียบกับชั้นสองของศาลาแห่งนี้ได้อย่างไร?
“บนชั้นสองนี้มีสองห้อง เจ้าสามารถไปพักอีกห้องหนึ่งได้” ซูอี้ไม่สนใจความลังเลของอีกฝ่าย ก่อนตัดสินใจทันที
หวงเฉียนจวินยิ้มกว้างทันที เขาเปี่ยมด้วยความยินดี ก่อนขอบคุณซ้ำไปมา
หยวนลั่วซีอดที่จะชำเลืองมองมาไม่ได้ เทียบกันแล้ว หวงเฉียนจวินและซูอี้สนิทมากกว่านางอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากเก็บข้าวของกันแล้ว ทุกคนจึงนั่งเก้าอี้ในลาน จากนั้นก็พักดื่มชา
“คุณชายซู เมื่อครู่ข้าคุยกับจางอี้เหริน เขาย้ำเตือนมาว่า ในอาคารหลักของเรือชั้นหนึ่งถึงชั้นห้า มีปีศาจถูกจองจำทั้งสิ้นแปดร้อยตน”
เฉิงอู้หย่งพลันกล่าวว่า “ปีศาจเหล่านี้ล้วนมาจากหุบเขาปีศาจชาโลหิต พวกมันคือผลงานที่กองทัพเกราะเขียวที่นำโดยท่านโหวยุทธ์วิญญาณเฉินเจิ้งคร่ากุมมา ขอแนะนำว่าอย่าเข้าใกล้ที่เหล่านั้น”
“ปีศาจหรือ?”
ซูอี้ประหลาดใจ “พวกเจ้าทำอะไรกับปีศาจเหล่านี้ที่จับมาทั้งเป็น?”
ในต้าโจว มีภูเขาลำธารอยู่มากมาย สถานที่เหล่านั้นมักเป็นสถานที่อันตรายที่มีปีศาจหนาแน่น
หุบเขาปีศาจชาโลหิตที่ถูกเฝ้าระวังโดยโหวยุทธ์วิญญาณเฉินเจิ้ง เป็นหนึ่งใน ‘แปดหุบเขาปีศาจ’ เลื่องชื่อในต้าโจว
ในต้าโจว ตามระดับอันตรายของปีศาจ มันสามารถแบ่งออกได้เป็นเก้าระดับ
ปีศาจระดับหนึ่งอ่อนแอที่สุด แข็งแกร่งกว่าสัตว์ร้ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปีศาจระดับเก้าทรงพลังที่สุด พวกมันเปิดสติปัญญาได้บ้างแล้ว ครอบครองพลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด แม้แต่ยอดฝีมือเมื่อเผชิญหน้ากับพวกมัน พวกเขาย่อมต้องถอยเช่นกัน
มีเพียงบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เท่านั้นที่มีพลังต่อกร
ตามที่ร่ำลือในต้าโจว เหนือปีศาจระดับเก้าขึ้นไปนั้นถูกเรียกว่าราชาปีศาจ นี่คือตัวตนน่าสะพรึงที่มากพอจะทัดเทียมกับเทพเซียนเดินดิน
แน่นอน ซูอี้รู้อยู่แก่ใจว่าการแบ่งลำดับชั้นเช่นนี้เป็นเพียงมุมมองแต่ของเหล่าคนที่อยู่ในมหาทวีปคังชิงเท่านั้น
หากนำไปใช้กับเก้ามหาแดนดิน สิ่งที่เรียกว่าราชาปีศาจของที่นี่ สามารถถูกจัดการได้อย่างง่ายดายโดยสำนักขนาดเล็กทั่วไป
“ส่วนใหญ่ปีศาจเหล่านี้จะถูกส่งไปมหานครอวิ๋นเหอ เหล่าตระกูลใหญ่ในเมืองจะเข้ามาซื้อพวกมัน เพื่อใช้เป็นดั่งหินลับคมให้กับผู้บ่มเพาะในตระกูล เฉกเช่นเดียวกับตำหนักเทียนหยวน สำนักดาบชิงเหอ จวนเจ้าเมืองหรือแม้แต่พวกเราตระกูลหยวน ทุกปีจะทำการซื้อปีศาจที่ถูกจับได้จากสมรภูมิแนวหน้าเช่นกัน”
เฉิงอู้หย่งอธิบายว่า “เรื่องนี้ปกติมากในต้าโจว อย่างไรเสีย ในฐานะผู้บ่มเพาะ หากไม่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกเลือด ย่อมไม่สมควรได้รับฉายา ‘ผู้บ่มเพาะ’ หรอก”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหวงเฉียนจวินก็ร้อนผ่าว เต็มไปด้วยความอับอาย ถึงเขาจะชอบอวดเบ่งไปทั่ว แต่ไม่ต้องพูดถึงการล่าและฆ่าปีศาจเลย เขาไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าปีศาจมีหน้าตาเป็นเช่นไร
หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะถามหยวนลั่วซีเสียงเบาว่า “คุณหนูหยวน ท่านเคยฆ่าปีศาจมาก่อนหรือไม่?”
หยวนลั่วซีกลอกตา ตอบอย่างเหยียดหยันว่า “ตอนข้าอายุเก้าขวบ ข้าใช้มีดแทงนกกระสาป่าจนตาย ตั้งแต่นั้นมา ข้าฆ่าปีศาจทุกเจ็ดวัน จนถึงตอนนี้มีสัตว์ประหลาดที่ตายด้วยน้ำมือข้านับไม่ถ้วน การที่เจ้าถามว่าข้าเคยฆ่าหรือไม่นั้น ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี”
หลังจากตอบเช่นนั้น ริมฝีปากสีชมพูแวววาวยกขึ้นเล็กน้อย เผยความภาคภูมิใจสุดบรรยายออกมา
คุณหนูหยวน ข้าใจสลายเหลือเกิน…
หวงเฉียนจวินต้องซ่อนหน้าตัวเองก่อนเดินจากไป