บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 830: ดาบเงากระจ่าง ศิลาธำรงวิถี
ตอนที่ 830: ดาบเงากระจ่าง ศิลาธำรงวิถี
ตอนที่ 830: ดาบเงากระจ่าง ศิลาธำรงวิถี
ทั่วหล้าฟ้าดินมืดหม่น ทั่วสารทิศเงียบงัน
จักรพรรดิทั้งห้าถูกสยบลงกับพื้นตรงหน้าภูเขาเตาสวรรค์ สภาพเละเทะดูไม่ได้
ไม่ไกลไปนัก ซูอี้นั่งร่ำสุราเดียวดายอยู่บนเก้าอี้หวาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชุยฉางอันก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เมื่อมีท่านลุงซูอยู่ กระทั่งเหล่าจักรพรรดิเรืองฤทธายังกลับกลายเป็นเพียงไก่อ่อน
ทว่า เมื่อเขาจดจำฐานะของพวกเฟ่ยฉางถิงทั้งสามได้ ชุยฉางอันก็ตะลึงไป เขาไม่คาดว่าคนจากเผ่ามารโห่วผู้ตั้งถิ่นฐานใน ‘เขตเทวากำสรวล’ จะมาร่วมวงไพบูลย์ด้วย
ชุยฉางอันกุมกำปั้นโค้งให้ซูอี้และกล่าวว่า “ท่าน… คุณชายซู ข้ามาช้าไป ทำให้ท่านตกใจแล้ว”
“พวกเขาต่างหากที่ตกใจ”
ซูอี้กล่าวพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย “ข้าจะเข้าไปในภูเขาเตาสวรรค์ก่อน คนพวกนี้ให้เจ้าจัดการ”
จากนั้น ร่างของเขาก็ลอยขึ้นทะยานสู่ยอดภูเขาเตาสวรรค์
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชุยฉางอันก็มองไปยังห้าจักรพรรดิผู้ถูกคุมขัง โดยเฉพาะเมื่อเห็นชุยเว่ยจง ดวงตาของเขาก็ยิ่งเย็นชาไร้อารมณ์
ชุยเว่ยจงตกใจตัวสั่น “ท่านเจ้าตระกูล ข้า…”
ชุยฉางอันกล่าวขัดด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ข้าจะไต่สวนเจ้าอีกครั้งยามกลับตระกูล”
เขาดีดนิ้ว ทำให้ชุยเว่ยจงหมดสติไป
จากนั้น ชุยฉางอันก็หันไปกล่าวกับชวีหมิงเวยอย่างเฉยชา “ชวีหมิงเวย เจ้ายังเป็นแขกตระกูลชุยของข้า ไฉนจึงร่วมมือกับผู้อื่นเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามตระกูลชุยข้าเล่า?”
ชวีหมิงเวยกล่าวอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ไฉนต้องพูดพล่ามมากความ ยามนี้ข้าถูกจองจำแล้ว จะฆ่าจะแกงก็ลงมือเลย!”
“อยากตายหรือ? มันง่ายไปสำหรับเจ้า”
ชุยฉางอันกล่าวอย่างเย็นชา “เรือนจำชั้นสามใต้กองตัดสินนี้กักขังมารชั่วอสูรร้ายแห่งโลกาไว้มากมายนับแต่โบราณกาล ในหมู่พวกมัน มีเจ้าแก่มากมายที่อยากตาย แต่ก็ตายไม่ได้”
ชวีหมิงเวยหน้าเสีย “เจ้าหมายความเช่นไร?”
ชุยฉางอันกล่าวช้า ๆ “กล่าวง่าย ๆ สำหรับไอ้ชั่วอย่างเจ้า การอยู่โดยไม่อาจตายได้คือการลงทัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุด จากนี้ ข้าจะขังเจ้าไว้ที่ ‘เสาผนึกมารฮุ่นเทียน’ ด้วยตนเอง ให้เจ้ารู้ซึ้งถึงรสว่าการมีชีวิตแต่ไม่อาจตายเป็นเช่นไร”
วาจาเหล่านี้เรื่อยเฉื่อย
ทว่าชวีหมิงเวยกลับตื่นกลัวเสียจนสีหน้าเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ และตะโกนอย่างโกรธเคือง “ชุยฉางอัน เจ้าไม่กลัวตระกูลชวีของข้ามาล้างแค้นหรือไร!? บอกให้นะว่าเมื่อถึงคราวเทศกาลหมื่นโคม ตระกูลชุยของเจ้าจะต้องเสียหายจนดับสูญแน่!”
ชุยฉางอันไม่ใส่ใจวาจาเหล่านั้น จากนั้นเขาก็ดีดนิ้ว
ตู้ม!!
ชวีหมิงเวย ตัวตนระดับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำตาเหลือกหมดสติ
เฟ่ยฉางถิงผู้เห็นภาพเหล่านี้ชัดแจ้งเต็มสองตาอดกล่าวอย่างเย็นชาไม่ได้ “ชุยฉางอัน แม้เจ้าในยามนี้จะถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีความจริงได้ พ่อเจ้าชุยหลงเซี่ยงไม่อาจกลับจากทะเลทุกข์ ตระกูลชุยของเจ้าจะต้องประสบอันตรายและพังทลายลง!”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “ทว่าขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป ข้าสัญญาว่าในพันปีจากนี้ เชื้อสายเผ่ามารโห่วจะไม่ใช่ศัตรูกับตระกูลชุยของเจ้าอีก”
“ในขณะเดียวกัน หากเจ้าฆ่าหรือขังข้าที่นี่วันนี้ หมายความว่าเจ้าจะเป็นศัตรูกับเผ่ามารโห่วของข้าโดยสมบูรณ์ และผลกระทบที่ตามมา… ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะอยากเห็น”
ชุยฉางอันอดหัวเราะไม่ได้ “พวกเจ้าล่วงล้ำมาก่อเรื่องในเขตของข้า แต่ยังกล้ามาเจรจาต่อรอง เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าชุยฉางอันใช้ชีวิตอยู่ไร้ค่าเช่นผัก?”
เขาฟาดมือขวาออกไป
ฟิ้ว!
ใบดาบอันเจิดจ้าพร่างพรายยาวสามจั้งก่อตัวขึ้นบนอากาศ ปราณสังหารอันร้ายกาจแผ่ออกมา
คมดาบพิพากษา!
มรดกตกทอดของตระกูลชุยผู้ดูแลกองตัดสิน
ในช่วงกาลผ่านมา ยอดฝีมือตระกูลชุยได้พิพากษาศัตรูอันร้ายกาจทั่วโลกาโดยใช้มรดกนี้
ชุยฉางอันชี้นิ้วออกไป
คมดาบพิพากษาหายวับไปในอากาศ
ฉับ! ฉัวะ!
เส้นโลหิตปรากฏขึ้นที่คอของชายในชุดหนังสัตว์และสตรีชุดดำที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาของคนทั้งสองพลันเบิกกว้าง
จากนั้น ร่างของจักรพรรดิทั้งสองก็สลายเป็นธุลีป่นละเอียดพลิ้วปลิวสู่อากาศอย่างเงียบงัน
ถูกทำลายสิ้น!
นี่คือพลังแห่งกองพิพากษา เมื่อถูกโจมตี ต่อให้แข็งแกร่งเยี่ยงจักรพรรดิ พลังชีวิตทั้งหมดของพวกเขาก็จะหายไปในทันควัน ทั้งร่างและวิญญาณสลายเป็นผุยผง
ในอดีตกาล ตระกูลชุยปกครองกองตัดสิน และด้วยอำนาจพิพากษานี้ พวกเขาจึงได้ประหารนักโทษผู้ก่อกรรมทำเข็ญชั่วร้ายมากมาย ซึ่งทำให้ผู้ฝึกตนทั่วโลกาหวาดกลัว
ความตายของชายในชุดหนังสัตว์ทำให้เฟ่ยฉางถิงตาถลน
เขาไม่คาดว่าเมื่อชุยฉางอันลงมือ จะเป็นการฆ่าอย่างไร้สัญญาณ!
และยามนี้เองที่ชุยฉางอันได้สำแดงอำนาจของเจ้าตระกูลชุยผู้ใช้เลือดเหล็กปกครองทั่วหล้าโดยสมบูรณ์
“นี่คือสิ่งที่ต้องจ่ายสำหรับคำข่มขู่”
ชุยฉางอันกล่าวอย่างอบอุ่น “บรรพชนตระกูลชุยของข้าดูแลกองตัดสินจากรุ่นสู่รุ่น และข้าก็ได้พบนักโทษทุกประเภทมาหมดแล้ว ฆ่าคนชั่วมาไม่รู้ตั้งเท่าไร หากกลัวคำขู่ จะมาเป็นเจ้ากองตัดสินได้เช่นไร?”
สีหน้าของเฟ่ยฉางถิงย่ำแย่ จากนั้นถามเสียงแหบ “หากเป็นเช่นนั้น ไฉนไม่ฆ่าข้าเสีย?”
ชุยฉางอันกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “หากปล่อยเจ้าไว้ ย่อมเพราะมีสิ่งที่ต้องถาม เจ้าจะปฏิเสธก็ได้ ทว่าข้าเชื่อว่าด้วยวิชาทรมานตระกูลชุยของข้า ไม่ว่าเจ้าจะจิตแข็งเพียงไรก็ทนไม่ได้หรอก เว้นแต่เจ้าจะเลือกตัดจิตตนเองทิ้ง แต่ในเมื่อถูกจองจำโดยสมบูรณ์แล้ว เกรงว่าต่อให้อยากฆ่าตัวตาย… ก็สายไปแล้ว”
สีหน้าของเฟ่ยฉางถิงซีดขาวราวเสียความมั่นใจไปในพริบตา
เสียงของชุยฉางอันอ่อนโยนปลอบประโลม “ไม่ต้องห่วงหรอก ขอเพียงตอบคำถามของข้าอย่างสัตย์ซื่อ ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้เจ้าต้องทรมาน”
“อย่าลืมถามเขาเกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เขาจะมาตั้งที่นี่ด้วยล่ะ”
ทันใดนั้น เสียงของซูอี้ก็ดังมาจากยอดเขาเตาสวรรค์
ชุยฉางอันตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ยามนี้ เฟ่ยฉางถิงสูดลมหายใจลึก ๆ และเค้นเสียงลอดไรฟัน “ข้าตอบคำถามเจ้าได้ แต่ก่อนหน้านั้น บอกข้าได้หรือไม่ว่าไอ้หนูนั่นคือผู้ใด?! ข้าจะได้ตายตาหลับ!”
เสียงของเขาเจือด้วยความชิงชังมหาศาล
เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิจากเผ่ามารโห่วในขั้นสมบูรณ์แบบแห่งขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำผู้นี้เกลียดซูอี้เข้าไส้เสียแล้ว
ชุยฉางอันเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ให้ข้าบอกตามตรง บนโลกนี้ไม่ได้มีจักรพรรดิมากนักจะได้มีโอกาสถูกคุณชายซูปราบลง ต่อให้เจ้าตายในยามนี้ เจ้าก็ยิ้มให้เก้าสระได้แล้ว”
“อ้อ ข้าลืมไป ‘เก้าสระยมโลก’ ไม่มีแล้ว กล่าวสั้น ๆ ก็คือ… เจ้าตายคุ้ม เป็นเกียรติที่ได้ตาย นับว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว!”
เฟ่ยฉางถิง “???”
ตาเขาแทบถลนรอมร่อ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าชุยฉางอันกำลังจงใจถากถางแดกดันเขาอยู่
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็ส่ายหัวอย่างหมดหวังและกล่าวว่า “ช่างเถอะ หากมีสิ่งใดอยากถามก็ถามมาเลย”
ชุยฉางอันกล่าวยิ้ม ๆ “ว่าแล้วเชียว ข้ารู้ว่าผู้ที่พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิได้ ไม่มีผู้ใดไม่ฉลาด”
…
ยอดภูเขาเตาสวรรค์
ซูอี้เมินสิ่งที่ชุยฉางอันกำลังถาม
เขาใช้มือไพล่หลัง และยามมาถึงที่นี่ ดวงตาของเขาก็จ้องเขม็งที่แท่นเต๋าแห่งหนึ่ง
มันไม่ใหญ่นัก โดยมีความสูงเพียงเก้าจั้ง
มีร่องแห่งหนึ่งสลักไว้ที่กลางแท่นเต๋า
ดาบเล่มหนึ่งเสียบอยู่ในร่อง เผยเพียงส่วนด้ามจับไว้ส่วนเดียว
ที่ด้ามดาบฝังหยกดำขนาดเท่าหัวแม่มือเอาไว้หนึ่งเม็ด และสลักสองอักษรไว้ด้วยอักษรโบราณ…
เงากระจ่าง!
เงาร่ายกระจ่างรำดุจโลกหล้า
นี่คือดาบวิถีซึ่งซูอี้ตีขึ้นยามเดินทางสู่ภูมิมืดมิดในอดีตชาติ มันติดตามเคียงกายเขา ต่อสู้อยู่ในภูมิมืดมิดมาหลายปี บั่นศีรษะศัตรูร้ายดื่มโลหิตพวกมันมามากมาย
ยามเมื่อเขากำลังจะจากภูมิมืดมิดไป ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทิ้งดาบเงากระจ่างไว้ที่นี่
หยกดำที่ด้ามดาบมีนามว่า ‘ศิลาธำรงวิถี’ เป็นศิลาเหนือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ก่อเกิดในสระเกิดใหม่และสามารถแบกรับวิถีเต๋าของผู้ฝึกตนได้!
กล่าวอีกนัยก็คือ ศิลานี้สามารถกักเก็บพลังมหาวิถีส่วนหนึ่งของผู้ฝึกตนไว้ได้!
สิ่งนี้แตกต่างจากจิตสำนึกอันประทับอยู่ในยันต์ลับ และยังต่างจากสมบัติที่หล่อหลอมโดยตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิอีกด้วย มันคือพลังแห่งมหาวิถีโดยแท้จริง
ไม่ว่าผู้ใดใช้มัน ขอเพียงใช้สมบัติชิ้นนี้ก็สามารถสร้างผลลัพธ์วิเศษดุจ ‘เทวาประทับร่าง’ และสำแดงอำนาจมหาวิถีส่วนนี้ออกมาได้!
เช่นหากพลังในศิลาธำรงวิถีนี้เป็นของจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ เมื่อสมบัติชิ้นนี้ถูกใช้ มันก็เหมือนเป็นอวตารของจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำผู้นี้
สมบัติเช่นนี้มีค่ามหาศาลเสียจนไม่อาจวัดได้
ในคราแรก ซูอี้ค้นหาไปทั่วสระเกิดใหม่แต่ก็เจอมันเพียงไม่กี่ชิ้น หนึ่งในนั้น เขาได้ประทับพลังมหาวิถีของตนลงไปและฝังไว้ในดาบเงากระจ่าง
กาลก่อน เมื่อซูอี้นำดาบเงากระจ่างมายังที่แห่งนี้ ชุยหลงเซี่ยงก็เคยหัวเราะหยอกว่า “ในกาลหน้า หากข้าพบอันตรายอันไม่อาจแก้ ข้าคงต้องลองใช้พลังมหาวิถีที่เจ้าทิ้งไว้เสียแล้ว”
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
เพราะศิลาธำรงวิถีนี้มีขนาดเพียงหนึ่งนิ้วโป้ง กักเก็บพลังมหาวิถีได้จำกัด และพลังที่ซูอี้ทิ้งไว้ในนั้นก็ด้อยกว่าหนึ่งส่วนในสถานะสมบูรณ์พร้อมเสียอีก
ยิ่งกว่านั้น เมื่อใช้ศิลาธำรงวิถีนี้แล้ว มันจะดำรงอยู่ได้อย่างมากก็ในชั่วสิบดีดนิ้ว ก่อนที่มันจะสลายหายไปโดยสมบูรณ์
ชั่วสิบดีดนิ้วช่างแสนสั้น
ทว่าสำหรับซูอี้ สิบดีดนิ้วนั้นเป็นกาลเนิ่นนาน เพราะบางครั้ง หนึ่งดีดนิ้วก็ตัดสินผลศึกได้แล้ว!
“ผ่านไปหลายหมื่นปี ดาบเงากระจ่างก็ยังอยู่ที่นี่ ทว่าความเป็นความตายของจิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงกลับไม่เป็นที่ล่วงรู้ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ
เขาไม่ได้ขยับดาบเงากระจ่าง
เพราะเมื่อดาบเล่มนี้ถูกดึง ด้วยอำนาจปัจจุบันของ ‘ค่ายกลพิภพผนึกมาร’ แม้ว่ามันจะยังสามารถสะกดมารเฒ่าทั้งหลายที่ตีนภูเขาเตาสวรรค์ได้ แต่มันจะไม่อาจสยบตัวตนร้ายกาจทั้งหลายที่จะฉวยโอกาสโจมตีสร้างความปั่นป่วนได้โดยสมบูรณ์
เหมือนเช่น ‘บรรพชน’ เผ่ามารโห่วที่เฟ่ยฉางถิงกล่าวถึงเมื่อกาลก่อน ที่แม้จะถูกสะกดมาแสนนาน แต่ก็ยังฝืนแสดงเจตจำนงได้!
ซูอี้ไม่กลัวปัญหา แต่เขาจะไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยน
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อโดยไม่รอช้า
แคร้ง!
บนพื้นตรงหน้าแท่นเต๋า โซ่ตรวนสีเลือดเส้นใหญ่สายหนึ่งซึ่งแต่เดิมปกคลุมหุบเขาพลันขยับตัวออก เผยให้เห็นหลุมอันไร้ก้นบึ้ง
“เฟ่ยฉางถิงยังอยู่หรือไม่?”
ทันทีที่ปากหลุมเผยออก เสียงร้อนรนเสียงหนึ่งก็ดังมาจากภายในหลุม
นี่คือ ‘บรรพชน’ แห่งเผ่ามารโห่ว