บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 832: รับดาบ
ตอนที่ 832: รับดาบ
ตอนที่ 832: รับดาบ
ตรวนทิพย์สีเลือดฟาดร่างบอบบางของสตรีในชุดกระโปรงสีม่วงจนซวนเซ นางร้องลั่นอย่างเจ็บปวด และปรากฏแผลโชกเลือดขึ้นบนแผ่นหลังที่ขาวดุจหิมะ
“เทียนจีเอ๋ย ต่อหน้าใต้เท้าซู การที่เจ้ากล้าใช้เสน่ห์ต่างอันใดกับวอนตาย?”
ในขณะเดียวกัน เสียงแข็ง ๆ อันแหบแห้งก็ดังมาจากก้นหลุม
“เป็นใต้… ใต้เท้าซูจริง ๆ รึ?”
ดวงตาของสตรีที่มีนามว่าเทียนจีเบิกกว้าง สีหน้าของนางเจือความหวาดกลัว
“เข้าไปเองซะ”
ซูอี้ชี้โคมไฟดอกบัวอาญา
“เจ้าค่ะ!”
ครานี้ หญิงสาวคนนั้นดูจะสำนึกความผิดของตนเองโดยสมบูรณ์แล้ว นางก้มหน้าลุกขึ้นด้วยร่างสั่นเทิ้ม เดินโซเซหายเข้าไปในโคมไฟดอกบัวอาญาทันที
“นี่…”
เฟ่ยฉางถิงผู้เห็นทุกสิ่งชัดเจนเต็มสองตาดูไม่อยากเชื่อ “ใต้เท้าซู? หรือที่แท้จะเป็นว่า…”
ชุยฉางอันกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าการถูกคุณชายซูเอาชนะ แม้จะตาย เจ้าก็ตายคุ้มแล้ว เป็นการตายที่มีเกียรติและมีค่า ยามนี้เข้าใจแล้วหรือยัง?”
เฟ่ยฉางถิงกลืนน้ำลายเอื๊อก และทรุดลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง พึมพำว่า “ลือกันว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน ท่านผู้นั้น… ไม่ได้สูญสิ้นไป… จะเป็นไปได้เช่นไร…”
…
บนยอดภูเขาเตาสวรรค์
“สัตว์เลื้อยคลานเฒ่า ตาเจ้าแล้ว”
ซูอี้กล่าว
“ใต้เท้าซูไม่ห่วงว่าหลังจากตาเฒ่าผู้นี้ออกไป จะเกิดอุบัติเหตุใด ๆ หรือ?”
เสียงแหบแห้งจากก้นหลุมดังออกมา
“เจ้าจะลองก็ได้ แต่ความเสี่ยงทั้งหมดเป็นของเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ก้นหลุมเงียบสงัด
จากนั้น ค่ายกลบนภูเขาเตาสวรรค์ก็สั่นคลอนรุนแรง ตรวนทิพย์สีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่าสั่นระรัวสะเทือนพื้น
ชุยฉางอันอึ้งทึ่ง ดวงตาทอประกาย ตื่นตัวระแวดระวัง
ในฐานะเจ้าตระกูลชุย เขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่าตัวตนร้ายกาจอันถูกเรียกว่า ‘สัตว์เลื้อยคลานเฒ่า’ นี้มีวิถีเต๋าอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำตั้งแต่เมื่อเก้าหมื่นปีก่อนแล้ว อำนาจมหาศาลของเขาสะเทือนแดนดิน!
ภูเขาเตาสวรรค์สะท้าน ดูเหมือนค่ายกลพิภพผนึกมารจะไม่อาจต้านพลังได้ไหว
ซูอี้ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นแตะลงบนด้ามดาบ ณ ใจกลางแท่นเต๋า
ตู้ม!
ด้ามดาบปล่อยเปลวไฟไร้สีอันเจิดจรัสออกมาสายหนึ่ง เสียงครวญดาบก้องสะท้อนดุจคลื่นปกคลุมไปทั่วทศทิศเก้าชั้นฟ้า
เห็นได้ชัดเจนว่า ทันทีที่ภาวะดาบนั้นแผ่ออกพร้อมเสียงอันดัง มันก็รวมเข้ากับพลังแห่งค่ายกลพิภพผนึกมารและสยบอำนาจประหลาดนั้นในทันที
ในขณะเดียวกัน เสียงอู้อี้เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากก้นหลุม
“ในศึกที่ไม่อาจมองเห็นนี้ เกรงว่าสัตว์เลื้อยคลานเฒ่าน่าจะแอบเสียหายอยู่!”
ดวงตาของชุยฉางอันวูบไหว
“ใต้เท้าซูอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่อยากจะลองทดสอบว่าใต้เท้าซูคือคนเดียวกับที่ตาเฒ่าผู้นี้รู้จักหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร ใต้เท้าซูในขณะนี้ก็อ่อนแอกว่าเก่าก่อนมากนัก”
เสียงแหบแห้งดังออกมา
“ในเมื่อล่วงเกิน ก็ควรต้องลงโทษหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เสียงแหบแห้งก็ดังตอบ “ใต้เท้าซู หลังจากผ่านไปแสนนาน ท่านก็ยังไม่ยอมเรียกข้าเป็น ‘สหายเต๋า’ เสียที จวบจนยามนี้ก็ยังมองข้าเป็นนักโทษ ทำให้ข้าช่างสลดใจนัก…”
เสียงนั้นเผยอารมณ์ไร้สิ้นสุด
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่คู่ควร”
ซูอี้ยิ้ม
เขากล่าวพลางกดมือขวาลงที่ด้ามดาบและเพิ่มแรงที่ฝ่ามือ
ตู้ม!
เสียงดาบคำรามลั่น ภาวะดาบทะยานสู่เวหา ปกคลุมค่ายกลพิภพผนึกมารทั่วทั้งภูเขาเตาสวรรค์ และระเบิดลำแสงดาบอันน่าหวาดหวั่นออกมาสายหนึ่ง
ณ ก้นหลุมบังเกิดเสียงต่อสู้อย่างดุเดือดชวนระทึกใจออกมา
ครู่ถัดมา ซูอี้ก็หยุดมือ
ทันทีที่ทำเช่นนั้น เสียงดาบก็หยุดลง ภูเขาเตาสวรรค์เงียบสงัด การต่อสู้โรมรัน ณ ก้นหลุมก็หายไปเช่นกัน
“ขอบคุณใต้เท้าซูสำหรับบทลงโทษ! ตาเฒ่าผู้นี้… เชื่อแล้ว!”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นอีกครั้ง แต่ดูอ่อนแรงลงกว่าแต่ก่อน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจากการกระทำเมื่อครู่ของซูอี้ ทำให้ ‘สัตว์เลื้อยคลานเฒ่า’ ผู้นี้ทุลักทุเลไปไม่น้อย
นี่ทำให้ชุยฉางอันรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ
แม้ว่าท่านลุงซูจะมีระดับการฝึกฝนเพียงแค่วิถีวิญญาณ แต่วิธีการและอำนาจยังแข็งแกร่งพอจะทำให้จักรพรรดิตัวสั่น!
และครานี้ ร่างผอมแห้งร่างหนึ่งก็เซออกมาจากหลุมโดยไม่ต้องให้ซูอี้กล่าวอันใดอีก
เขาเป็นชายชราผู้มีหนวดเคราและผมรุงรัง ใบหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาสีทองซีด สวมชุดนักพรตเต๋าโบราณเก่าขาด
ตรวนทิพย์สีเลือดเส้นหนึ่งรัดพันไปทั่วร่างของเขาทั้งด้านนอกและด้านใน ยามก้าวเดิน มันก็เสียดสีกันเคร้งคร้างและฉายแสงสว่างจากอำนาจจองจำน่าตื่นตา
ชายชราผู้นี้ดูร่อแร่ใกล้ตาย ทว่าเมื่อเขาเดินงก ๆ เงิ่น ๆ ออกมาจากปากหลุมยังยอดภูเขาเตาสวรรค์ได้ กลับปรากฏปราณชั่วร้ายอันดุดันร้ายกาจแผ่ออกมา ทำให้ทั่วโลกามืดมนสั่นไหว
พอจะเห็นได้ลาง ๆ ว่าปราณชั่วร้ายสีเลือดนี้แปรเปลี่ยนเป็นมังกรคะนองน้ำสีเลือดยาวหลายพันจั้งบนเวหา ร่างของมันขนดขดเหมือนเช่นขุนเขา ศีรษะเชิดขึ้นสูง!
เฟ่ยฉางถิงตื่นกลัวหน้าซีด
เขาจะไม่กลัวได้เช่นไร เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายถูกสะกดจองจำอยู่แท้ ๆ ทว่าเหตุใดจึงน่ากลัวอหังการเพียงนี้?
ดวงตาของชุยฉางอันวูบไหว ทว่าไม่อาจสงบใจได้
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินบิดาของเขา ชุยหลงเซี่ยงกล่าวว่าตาเฒ่าผู้นี้ถูกผนึกไว้เมื่อเก้าหมื่นปีก่อน เขาคือ ‘วิญญาณมังกรร้าย’ ผู้ก่อเกิดในแม่น้ำบาป ฝึกฝนพลังกลืนบาป ชั่วร้ายกระหายเลือดผิดมนุษย์ยิ่งนัก
เมื่อเก้าหมื่นปีก่อน เจ้าเฒ่าผู้นี้ก่อตั้ง ‘นิกายมังกรโลหิต’ ขึ้นและเรียกตนเองเป็น ‘จ้าวมังกรนทีปรภพ’ รวบรวมผู้ฝึกตนมารนับหมื่นทั่วโลกาในเวลาเพียงร้อยปี ทำให้นิกายมังกรโลหิตกลายเป็นขุมกำลังมารอันดับหนึ่งในภูมิมืดมิด
ในช่วงพันปีต่อจากนั้น ไม่รู้ว่ามีขุมกำลังผู้ฝึกตนมากมายเพียงไรที่ถูกนิกายมังกรโลหิตเหยียบย่ำ และไม่อาจทราบว่ามีชีวิตผู้คนมากมายเพียงไรที่ถูกมองเป็นภาชนะใส่โลหิตและถูกนิกายมังกรโลหิตรีดเค้น ก่อความโกรธแค้นไปทั่วแดนดิน
ท้ายที่สุด ด้วยการร่วมมือของกลุ่มเต๋าระดับสูงสุดเยี่ยงโถงหลงลืม วังธารเหลือง ตำหนักเทพอัคคีกระจ่างและตระกูลชุย นิกายมังกรโลหิตก็ถูกกวาดล้างสิ้นในหนึ่งสงคราม
และ ‘จ้าวมังกรนทีปรภพ’ ผู้ก่อตั้งนิกายนิกายมังกรโลหิตก็ถูกจับกุม คุมขังไว้ ณ คุกชั้นสามใต้กองตัดสิน อยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่พ้น
ทว่า กระทั่งชุยฉางอันก็ไม่คาดว่าแม้กาลจะผ่านไปเก้าหมื่นปี ทว่าความดุร้ายของจ้าวมังกรนทีปรภพผู้นี้ก็ยังน่าหวาดหวั่นยิ่ง!
หลังจากชายชราเดินออกมาจากหลุม ดวงตาสีทองอ่อนคู่นั้นก็ได้มองมาทางซูอี้เป็นครั้งแรก และทันใดนั้นเขาก็ดูจะตระหนักถึงบางอย่าง “ใต้เท้าซู หรือว่า… ท่านจะค้นพบเคล็ดแห่งการเวียนวัฏสงสารแล้วหรือ?”
ซูอี้เมินเขา ทำเพียงยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังโคมไฟดอกบัวอาญา
ไม่มีแม้เพียงหนึ่งวจี
สีหน้าของชายชราไม่อาจคาดเดาความคิด เขาดูจะเห็นแล้วว่าซูอี้คร้านเกินกว่าจะเสวนากับเขา จึงอดรำพึงขึ้นมาไม่ได้
“การได้ช่วยเหลือใต้เท้าซูเป็นความฝันของข้า หากเป็นเจ้าเฒ่าน้อยชุยหลงเซี่ยงนั่นล่ะก็… เฮ้อ…”
เขาส่ายหน้าและเดินเซหายเข้าไปในโคมไฟดอกบัวอาญาโดยไม่พูดอีก
ฟู่~!
โคมบงกชเจิดจ้าปะทุไหว และร่างของชายชราก็ถูกผนึกในทันที
ซูอี้ยกมือขึ้นเล็กน้อย
โคมไฟดอกบัวอาญาพลันปรับขนาดเป็นเท่ากำปั้นและร่วงลงบนฝ่ามือเขา
เมื่อมองใกล้ ๆ จะพบภาพลวงปรากฏขึ้นบนกลีบบงกชรอบ ๆ โคม
นั่นคือสัตว์เลื้อยคลานเฒ่าจ้าวมังกรนทีปรภพ สตรีในอาภรณ์สีม่วงจักรพรรดิปีศาจเทียนจี เฒ่าอวดฉลาดในชุดจีนโบราณ และบรรพชนเผ่ามารโห่ว เฟ่ยคงถง
ถึงจุดนี้ ซูอี้ก็ไม่ลังเลอีก เขายกมือขึ้นกำด้ามดาบบนแท่นเต๋าและชักมันออกมา
เคร้ง!
เสียงดาบครวญกังวานใสสะท้านสะเทือนทั่วนภาพิภพ และเงาดาบสีใสพร่างพรายดุจภาพฝันก็ทะยานสู่นภา สาดรัศมีไปทั่วทิศ
ยามนี้ โลกเร้นลับ ณ คุกใต้ดินชั้นสามดูจะถูกแสงส่องสว่างทั้งชั้น ประหนึ่งแสงจันทร์จากสวรรค์ชั้นเก้าทอลงมาปัดเป่าความมืดมิด
ไกลออกไปร้อยลี้ ณ เสาผนึกมารฮุ่นเทียน เหล่าอาชญากรที่ถูกกักขังมาไม่รู้กี่ปีล้วนตะลึงงันราวกับวิญญาณหลุดลอย
ผิวกายเฟ่ยฉางถิงเจ็บแปลบ นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ เขารู้สึกเพียงว่าแสงดาบทั่วฟ้าดินนี้ดูจะมาจากมือเทพเซียน
“ที่แท้นี่ก็คือดาบเงากระจ่าง…”
ชุยฉางอันอดแสดงสีหน้าแปลกใจไม่ได้
ดาบวิถีในมือซูอี้นั้นกระจ่างใสงดงามดุจสวรรค์สร้าง เลือนรางดุจแสงเงา สว่างเรืองดุจบุหลันกลางหาว แสงกระจ่างรินทะลักจากใบดาบ และบรรยากาศที่มันสร้างก็ทรงพลังเสียจนทำให้คนมองใจสั่น
นี่คือดาบเงากระจ่างซึ่งเคยติดตามซูอี้ไปต่อสู้ในภูมิมืดมิด เกี่ยวศีรษะเข่นฆ่าศัตรูมามากมาย!
สามหมื่นปีถัดมา ในที่สุดดาบเงากระจ่างก็คืนกลับ!
ชิ้ง!
ดาบเงากระจ่างสั่นระรัวราวกับกู่ร้องยินดี
ในขณะที่ซูอี้โล่งใจ เขาก็อดรู้สึกจนใจไม่ได้
การฝึกฝนของเขา ณ ปัจจุบันยังคงห่างไกลเกินกว่าจะควบคุมดาบเงากระจ่างหรือแสดงอำนาจที่แท้จริงของดาบเล่มนี้ออกมาได้
ทว่าแค่ปราบมารเฒ่าเหล่านั้น มันก็เกินพอแล้ว
เพราะที่ด้ามดาบมีศิลาธำรงวิถีซึ่งบรรจุพลังมหาวิถีส่วนหนึ่งในอดีตชาติของเขาฝังอยู่เม็ดหนึ่ง หากเขาใช้มันจริง ๆ เขาจะสามารถสังหารมารเฒ่าเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย!
ซูอี้ดีดนิ้ว
ใบดาบเงากระจ่างกระเพื่อมเป็นคลื่น และทันใดนั้นมันก็หดเหลือสามชุ่น ซูอี้ยกมือขึ้นวางมันลง ณ ไส้โคมไฟดอกบัวอาญาซึ่งดูเหมือนพระพุทธองค์ไร้หน้า
มองปราดแรก มันดูเหมือนพระพุทธองค์กำลังถือดาบวิถีขณะนั่งเดียวดายบนแท่นปทุม เหมือนดั่งแสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหาร
และยามนั้นเองที่ซูอี้เก็บโคมไฟดอกบัวอาญากลับไป
ค่ำคืนนี้ หากมีเพียงโคมไฟดอกบัวอาญาคงเป็นไปไม่ได้ที่จะผนึกมารเฒ่าเหล่านี้
ในขณะเดียวกัน หากไร้ดาบเงากระจ่าง ซูอี้ก็คงต้องทุ่มเทพยายามมากมายกว่าจะทำให้มารเฒ่าเหล่านี้ขวัญบินได้
ซูอี้ก้าวเดินลงจากภูเขาเตาสวรรค์โดยไม่รีรอ
“ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน จำไว้ว่าอย่าเปิดเผยเรื่องในคืนนี้ออกไปล่ะ”
ซูอี้ออกคำสั่ง
ชุยฉางอันรับคำสั่งอย่างยำเกรง “อย่าห่วงเลยขอรับ ท่านลุงซู!”
ซูอี้หันหลังจากไป
เมื่อเห็นซูอี้คล้อยหลังลับไป ชุยฉางอันก็หันกลับมากล่าวกับเฟ่ยฉางถิงอย่างเฉยเมย “เรามาต่อกันเถิด”
เฟ่ยฉางถิงหมดอาลัยอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวอย่างขมขื่น “เจ้าพูดถูก ตัวตนรุ่นข้าซึ่งมีวาสนาถูกปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินปราบลงได้ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต…”
ยามที่ซูอี้ออกจากซากโบราณกองตัดสินนั้น ล่วงเข้าสู่ดึกสงัดแล้ว
ค่ำคืนนี้ เขาได้รับโคมไฟดอกบัวอาญาและเตาโลหิตโตวเทียน สองสมบัติสยบมารมาจากร้านจำนำ
และคืนนี้ ณ ซากโบราณกองตัดสิน เขาก็สยบสี่มารเฒ่าไว้ในโคมไฟดอกบัวอาญา และรับดาบเงากระจ่างซึ่งอารักขาภูเขาเตาสวรรค์มาสามหมื่นปีกลับไป
“เมื่อรวมเข้ากับพลังของพฤกษาหมื่นวิถีของตระกูลชุยและรูปสลักเซี่ยจื้อกับปี้อันที่อยู่หน้าประตูเมืองตาข่ายม่วง ยามเทศกาลหมื่นโคมมาถึง ณ เดือนถัดมา คงพอจะหยุดหายนะเฉียบพลันใด ๆ ได้หมด…”
ซูอี้ครุ่นคิดและผ่อนร่างคลายใจได้ไปชั่วขณะหนึ่ง