บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 833: พฤกษาหมื่นวิถี
ตอนที่ 833: พฤกษาหมื่นวิถี
ตอนที่ 833: พฤกษาหมื่นวิถี
ตระกูลชุย
ณ ศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง โคมไฟประดับสว่างไสว
นี่คือสถานที่พักซึ่งชุยฉางอันจัดเตรียมไว้ให้ซูอี้และชายชราตาบอด
เมื่อซูอี้กลับมา ชายชราตาบอดซึ่งรออยู่ก็รีบร้อนออกมาทักทาย “คุณชายซู ในที่สุดท่านก็กลับมา”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าว “พรุ่งนี้ ข้าและเจ้าจะไปฝึกฝนใต้พฤกษาหมื่นวิถี ดังนั้นคืนนี้พักผ่อนให้ดี”
ชายชราตาบอดตอบตกลง
ซูอี้เดินตรงสู่ชั้นสองของศาลา และเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้ให้เขา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกง่วงมากนัก
เขาเพิ่งมาถึงเมืองตาข่ายม่วงเป็นวันแรก ทว่ากลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายเหลือเกิน
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่เขาต้องเริ่มคิดถึงการฝึกฝนของตนเองได้แล้ว
แตกต่างจากที่มหาทวีปคังชิง ภูมิมืดมิดนั้นกว้างใหญ่ มีกลุ่มเต๋าโบราณมากมายและชนเผ่าต่าง ๆ นับพันหมื่น
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ณ ภูมิมืดมิดอย่างแท้จริงคือจักรพรรดิ!
สำหรับซูอี้ในขณะนี้ ไม่ยากนักที่เขาจะจัดการตัวตนขอบเขตจักรพรรดิบางคนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น
ทว่าเขาก็รู้เช่นกันว่าตนเองยังไม่ได้พบกับจักรพรรดิระดับสูงสุดในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น
หากได้พบเข้าสักคน ด้วยการฝึกฝนปัจจุบันของเขา ย่อมมีสิทธิ์แพ้มากกว่าชนะ และคงทำได้เพียงต้องใช้อำนาจภายนอกเข้ามาฆ่าศัตรู
เหมือนเช่นเหตุในคืนนี้ที่ซากโบราณกองตัดสิน หากเขาไม่ได้ยืมพลัง ‘ค่ายกลพิภพผนึกมาร’ คงไม่อาจปราบเฟ่ยฉางถิง ชวีหมิงเวยและชุยเว่ยจงลงง่าย ๆ
ในลักษณะเดียวกัน หากไม่ได้พลังของดาบเงากระจ่างและโคมไฟดอกบัวอาญาเข้าช่วย คงยากที่เขาจะนำเหล่ามารเฒ่าซึ่งถูกจองจำในภูเขาเตาสวรรค์ออกมาได้
แก่นของปัญหานี้คือ แม้ซูอี้จะไร้เทียมทานในวิถีวิญญาณ แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิแล้ว ความต่างชั้นก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งขอบเขตใหญ่ แต่เป็นความห่างระหว่างสองวิถี!
“ก่อนเทศกาลหมื่นโคมจะมาถึง การฝึกฝนหน้าพฤกษาหมื่นวิถีคงพอให้การฝึกฝนของเราก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณได้”
“ยิ่งกว่านั้น เราก็ยังฝึกฝนแก่นแท้ ‘เอกกะ’ ได้ด้วย!”
“ถึงยามนั้น ต่อให้เป็นตัวตนระดับสูงสุดในขั้นต้นของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำก็เกรงว่าคงไม่ใช่ภัยสำหรับข้าอีกต่อไป…”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูอี้ก็เริ่มทำสมาธิหยั่งฌานรู้แจ้ง
…
เช้าถัดมา
ยามก่อนรุ่งสาง ชุยฉางอันก็มาเยือนด้วยตนเอง
คืนก่อน เจ้าตระกูลชุยได้สอบสวนเฟ่ยฉางถิง ชุยเว่ยจงและชวีหมิงเวยตามลำดับ จึงได้รับข่าวอันเป็นประโยชน์มามากมาย
จากปากคำของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของเฟ่ยฉางถิงและเผ่ามารโห่ว การปรากฏตัวของชวีหมิงเวยและการทรยศของชุยเว่ยจงล้วนมีสาเหตุมาจากการที่ชุยหลงเซี่ยงพบกับเรือยมโลกสีดำ
ทุกคนบนโลกหล้าต่างเชื่อว่าชุยหลงเซี่ยงสูญสิ้น ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เผ่ามารโห่วจึงกระหายจะฉวยโอกาสจากเทศกาลหมื่นโคมเพื่อช่วยเหลือเฟ่ยคงถงผู้ถูกขังอยู่ใต้ภูเขาเตาสวรรค์
ตระกูลชวีโบราณและตระกูลชุยมีความแค้นต่อกันตลอดมา ดังนั้นพวกเขาจึงย่อมไม่พลาดโอกาสนี้ในการจัดการตระกูลชุย
ส่วนการทรยศของชุยเว่ยจงนั้นไม่ใช่เพราะเขาถูกข่มขู่ แต่เป็นเพราะเขาต้องการหาทางรอดให้ตนเอง
เหตุผลนั้นง่ายมาก ชุยเว่ยจงเชื่อว่าหากชุยหลงเซี่ยงกลับมาไม่ได้ ยามเมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาถึงในเดือนหน้า ตระกูลชุยจะเสียหายหนักและอาจกระทั่งล่มสลายเป็นแน่
ตระกูลชวีโบราณเองก็ลอบติดต่อชุยเว่ยจง รับปากว่าขอเพียงชุยเว่ยจงลงมือช่วยตระกูลชวีทำบางอย่าง หลังจากนี้ พวกเขาก็จะช่วยชุยเว่ยจงและญาติสนิทของเขา
ช่างน่าเสียดายที่แผนเมื่อคืนของพวกเขาคว้าน้ำเหลว
“โชคดีที่ท่านลุงซูมาได้จังหวะ หาไม่ หากพวกสารเลวนั่นแอบเข้าไปยังซากโบราณกองตัดสินได้เมื่อคืน คงเกิดเป็นมหาหายนะเป็นแน่”
ชุยฉางอันรำพึง
ลองคิดดู หากเฟ่ยฉางถิงติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ล่วงหน้าในซากโบราณกองตัดสิน เมื่อถึงคราวเทศกาลหมื่นโคมมาเยือน ฝูงศัตรูร้ายจะปรากฏขึ้นในคุกใต้ดินชั้นสามและปลดปล่อยเหล่ามารเฒ่าผู้ถูกจองจำออกมา…
แล้วผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงไร?
ควรค่าจดจำว่าเมื่อเทศกาลหมื่นโคมมาเยือน เมืองตาข่ายม่วงจะถูกโจมตีโดยขุมกำลังอันลี้ลับพิสดาร
ถึงยามนั้น หากกองกำลังของตระกูลโบราณเยี่ยงตระกูลชวีและตระกูลหงฉวยโอกาสโจมตีซ้ำ ตระกูลชุยย่อมได้รับผลกระทบสาหัส และเป็นวิกฤตที่อาจถึงขั้นล่มสลายได้โดยแท้จริง!
“ก่อนบิดาเจ้าจะจากไป เขาไม่ได้เตรียมแผนสำรองใดไว้เลยหรือ?”
ซูอี้ถาม
ชุยฉางอันกล่าวเสียงต่ำ “เตรียมไว้ขอรับ ทว่าท่านพ่อคงไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าชุยเว่ยจงจะกลายเป็นคนทรยศ”
กล่าวถึงจุดนี้ ก็ยากที่เขาจะซ่อนความเกลียดชังไว้ได้
“เขาทิ้งสิ่งใดไว้?”
ซูอี้ถาม
ชุยฉางอันตอบ “ยามพ่อข้าจากไป เขาสอนเคล็ดควบคุมพลังต้นกำเนิดแห่ง ‘พฤกษาหมื่นวิถี’ ให้แก่ข้า บอกว่าหากเกิดวิกฤตที่ไม่อาจแก้ไข ให้ข้านำคนในตระกูลไปยืมพลังของ ‘พฤกษาหมื่นวิถี’ และหนีไปจากเมืองตาข่ายม่วงเสีย จากขุนเขาเขียวไปโดยไม่ต้องเสียดายไม้ฟืนขอรับ”
ซูอี้ยิ้มเยาะกล่าวเย้า “สมกับเป็นวิธีการบิดาเจ้าโดยแท้ ก่อนจะชนะให้คิดถึงการแพ้ก่อน มุ่งเป้าที่ผลร้ายของทุกสิ่ง และไม่มีวันต่อสู้จนตัวตายกับศัตรู”
ชุยฉางอันไม่ตอบสิ่งใดอย่างชาญฉลาด
ในฐานะบุตร เขาจะกล้าวิจารณ์บิดาได้เช่นไร?
ชุยฉางอันเปลี่ยนประเด็นและกล่าวขึ้นว่า “โชคดีที่ครั้งนี้มีท่านลุงอยู่ สถานการณ์โดยรวมก็จัดการได้แล้ว”
ซูอี้เหลือบมองชุยฉางอันและกล่าวว่า “ข้าไม่ตายหรอก แต่อย่าด่วนดีใจไป ก่อนเทศกาลหมื่นโคมจะมาถึง คงดีที่สุดหากเจ้าจะตรวจสอบตระกูลชุยของเจ้าอีกครั้งว่ายังมีคนทรยศอีกหรือไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเจ้าก็ต้องจัดการบ้านตัวเองให้เสร็จก่อน”
ชุยฉางอันกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านลุงซูไม่ต้องห่วงเลยขอรับ!”
ซูอี้ไม่ว่าสิ่งใดเพิ่มเติม กล่าวเพียง “ไป ไปพฤกษาหมื่นวิถีกันสักหน่อย”
…
คฤหาสน์ตระกูลชุยมีตำหนักมากมาย กินเนื้อที่กว้างขวางอย่างยิ่ง และในนั้นมีถ้ำอันพิเศษเฉพาะอยู่แห่งหนึ่ง
พฤกษาหมื่นวิถีตั้งอยู่ในโลกเร้นลับแห่งหนึ่งนาม ‘พิมานเครือทอง’ ณ ตระกูลชุย
พฤกษานี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด หยั่งรากในเขตปกครองของตระกูลชุยมานับแต่โบราณกาล และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลชุย
ชุยฉางอันพาซูอี้และชายชราตาบอดมายังพิมานเครือทองด้วยกัน
ถ้ำแห่งนี้มีขนาดสามพันจั้ง ถือได้ว่าเป็นเพียงโลกใบน้อยในถ้ำ ทว่าพลังมหาวิถีซึ่งบรรจุในนั้นกลับเชี่ยวกรากเยี่ยงกระแสธาร
ใจกลางพิมานเครือทองมีพฤกษาใหญ่ขนาดหลายคนโอบอยู่หนึ่งต้น เปลือกเก่ากะเทาะเฉียงดุจเขามังกร ลำต้นสูงเพียงร้อยจั้ง กิ่งก้านแตกแขนงแน่นหนาดุจผืนร่ม
เมื่อมองภาพรวมของพฤกษาใหญ่นี้จากไกล ๆ จะพบแสงและสีสันที่ตระการปกคลุมมันราวกับแสงรุ้งในแดนนิมิต
นี่คือพฤกษาหมื่นวิถี
ลือกันว่าพฤกษานี้บรรจุพลังมหาวิถีอันดั้งเดิมที่สุดในภูมิมืดมิด ผู้ฝึกตนต่าง ๆ จะสามารถตีความแก่นแท้มหาวิถีอันแตกต่างกันได้จากพฤกษาใหญ่ต้นนี้ ดังนั้นจึงมีชื่อว่า ‘หมื่นวิถี’
ในฐานะผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ชายชราตาบอดย่อมไม่ใช่ผู้อ่อนต่อโลก
ทว่าเมื่อเขาได้เห็นพฤกษาหมื่นวิถีจากระยะไกล เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้
ในภูมิมืดมิด ‘พฤกษาหมื่นวิถี’ แห่งตระกูลชุยคือหนึ่งในสมบัติวิญญาณต้นกำเนิดอันเลื่องนามที่สุดอย่างแน่นอน ตลอดมานับแต่บรรพกาล ไม่รู้ว่ามีจักรพรรดิและตัวตนต่าง ๆ มากเพียงไรที่หวาดกลัวและอยากครอบครองมัน!
“คุณชายซู ข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว ทั้งสองฝึกที่นี่ไปแล้วกัน”
ชุยฉางอันกล่าวยิ้ม ๆ
เมื่อมีชายชราตาบอดอยู่ เขาย่อมไม่อาจเรียกซูอี้เป็น ‘ท่านลุง’ ได้
ซูอี้พยักหน้า
เขาเองก็รู้ว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ในฐานะเจ้าตระกูล ชุยฉางอันยังมีเรื่องมากมายต้องจัดการ
ไม่นานนัก ชุยฉางอันก็รีบร้อนจากไป
ซูอี้จึงพาชายชราตาบอดตรงไปยังพฤกษาหมื่นวิถี
“เจ้าทำสมาธิใต้ต้นไม้นี่ ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทำใจให้ว่างไว้ เมื่อเจ้าลืมทุกสิ่ง เจ้าจะสัมผัสกลิ่นอายดั้งเดิมของพฤกษาหมื่นวิถีได้”
ซูอี้เอ่ยชี้แนะ “ถึงยามนั้น เจ้าก็อย่าลืมใช้พลังของพฤกษาหมื่นวิถีซ่อมแซมวิถีที่เสียหายของเจ้าเสีย”
ชายชราตาบอดสูดหายใจลึก ข่มความตื่นเต้นไว้และพยักหน้าตอบรับ
เขานั่งลงขัดสมาธิ และด้วยการขยับตัว ไม่นานนักเขาก็จมในภวังค์หยั่งรู้ ลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับตนเองสิ้น
ไม่ใช่เพราะความสามารถหยั่งรู้ของชายชราตาบอดล้ำเลิศ
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพฤกษาหมื่นวิถี ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะบื้อเพียงใด เขาก็ยังสัมผัสปราณวิถีที่แผ่มาทางเขาได้
ซูอี้ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่เดิม ขณะเงยหน้าขึ้นมองลำต้นสูงและกิ่งก้านของพฤกษาหมื่นวิถี เนิ่นนาน จิตสัมผัสของเขาก็แผ่กระจาย จากนั้นก็ปลดปล่อยวจีที่ไม่แปลกหูและฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา
แซ่ก! แซ่ก!
พฤกษาหมื่นวิถีซึ่งเดิมเงียบสงัดพลันขยับกิ่งก้าน เปล่งแสงวิถีอันเจิดจ้าตระการตาออกมา
จากนั้น เมื่อแสงสว่างหรี่ลง จู่ ๆ มันก็เปลี่ยนไปเป็นร่างมายาของสตรีผู้หนึ่ง
สตรีผู้นั้นมีเส้นผมสีขาวดุจหิมะ แต้มชาดที่หว่างคิ้ว รูปร่างหน้าตาพร่ามัวดุจอยู่ท่ามกลางสายหมอก
เมื่อนางได้เห็นซูอี้ สีหน้าแปลกใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเล็กน้อย “เป็นสหายเต๋าซูจริง ๆ หรือ?”
เสียงของนางไพเราะเพราะพริ้งดุจมาจากสรวงสวรรค์
ซูอี้ชี้ไปยังชายชราตาบอดซึ่งทำสมาธิอยู่ข้างกายเขา “อย่ากวนเขาสิ”
สตรีผู้นั้นยิ้มและยกมือขึ้น
วิ้ง~
แสงวิถีสายหนึ่งทอดลงปกคลุมร่างของชายชราตาบอดไว้
สตรีที่ดูจะรู้ฐานะของซูอี้อยู่ก่อนแล้ว พลันทอดถอนใจออกมา “ในกาลก่อน ชุยหลงเซี่ยงเคยบอกว่าสหายเต๋าต้องได้พบเคล็ดการเวียนวัฏสงสารและเวียนกลับฝึกฝนใหม่ได้แล้วเป็นแน่ และเมื่อข้าได้ประจักษ์ในยามนี้ ก็เป็นเช่นนั้นจริงแท้”
สตรีผู้นี้เงียบสงบสง่างาม และยามเผชิญหน้ากับซูอี้ก็เต็มไปด้วยความปีติสุขสำราญดุจสหายเก่าหวนพานพบ
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “แม้เจ้าจิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงจะขี้กลัวไปนิด แต่สายตาของเขาก็ดีเสมอ”
สตรีนางนั้นมองพินิจซูอี้และถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าบอกข้าถึงเคล็ดเวียนวัฏสงสารได้หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าตอบ “เคล็ดนี้เกี่ยวพันกับพลังต้องห้ามบางอย่าง เว้นแต่เจ้าจะเห็นแจ้งการเวียนวัฏสงสารแล้วจริง ๆ ก็ไม่อาจเอ่ยวาจาใดได้”
สตรีนางนั้นครุ่นคิด และกล่าวว่า “เคล็ดนี้ไม่อาจเปิดเผยได้หรือ?”
ซูอี้ยิ้ม “เจ้าจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”
สตรีนางนั้นกระซิบเบา ๆ “ว่าแล้วเชียว แก่นแท้แห่งการเวียนวัฏสงสารลึกลับซับซ้อน กล่าวได้ว่าเป็นความลับสวรรค์มาเนิ่นนาน แม้จะรู้ว่ามีการเวียนวัฏสงสารอยู่จริงก็ยังยากจะอธิบายเคล็ดของมัน”
นางกล่าวพลางปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า “ทว่าหลังได้เห็นสหายเต๋าในยามนี้ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ได้รู้แล้วว่าตำนานการเวียนวัฏสงสาร ณ บรรพกาลไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่เป็นเรื่องจริง”
ซูอี้เอ่ยขึ้นทั้งรอยยิ้ม “ในยามแรก เจ้าเคยบอกว่าหากข้า ซูเสวียนจวินค้นพบเคล็ดเวียนวัฏสงสาร เจ้าจะพิจารณาว่าจะจากไปกับข้า และยามนี้ เจ้าคิดตกแล้วหรือไม่?”
สตรีนางนั้นสะดุ้ง แววตาของนางดูแปลกไปเล็กน้อย