บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 834: พลิกพลิ้วโดยพิภพมนุษย์
ตอนที่ 834: พลิกพลิ้วโดยพิภพมนุษย์
ตอนที่ 834: พลิกพลิ้วโดยพิภพมนุษย์
เส้นผมของสตรีผู้นั้นขาวโพลนดั่งหิมะ ชาดแดงแต่งแต้มหว่างคิ้ว ร่างงามเลือนรางดุจนางสวรรค์ผู้งดงามเกินคนจริงแท้
ทว่าหลังได้ยินวาจาของซูอี้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ครู่ถัดมา นางก็เม้มปากถามว่า “เจ้าไม่กังวลว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลชุยหรือไร?”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “หากเจ้าถูกบังคับ เช่นนั้นตระกูลชุยของพวกเขาย่อมไม่ยอมให้เจ้าไป แต่หากเจ้าต้องการจะไป ตระกูลชุยจะรั้งเจ้าไว้ได้เช่นไร?”
สตรีตรงหน้าเขาคือจิตวิญญาณอันเกิดจากพฤกษาหมื่นวิถี เบิกอัตตาลืมตาขึ้นนับแต่โบราณกาล และฝึกฝนอยู่ในพฤกษาหมื่นวิถีตราบกาล
นาน ๆ ครั้ง นางก็จะออกมาเดินทางท่องโลกาท่ามกลางความผันผวนแห่งโลกหล้า
ทว่าส่วนใหญ่แล้วก็จะฝึกฝนอยู่ในพฤกษาหมื่นวิถี
บรรพชนตระกูลชุยต่างเรียกสตรีนางนี้ว่า ‘องค์วิญญาณไท่ซู่’
ซึ่งไท่ซู่ที่ว่า ความหมายดั้งเดิมก็คือ ‘ต้นกำเนิด’
เป็นนามอันเหมาะสมที่สุดสำหรับสตรีผู้นี้ซึ่งถือกำเนิดจากพฤกษาหมื่นวิถี
ทว่า ซูอี้รู้ดีกว่าใครว่าสตรีนางนี้ ครั้งหนึ่งเคยแต่งนามให้ตนเอง ซึ่งเป็นของนางเพียงผู้เดียว…
ผอซัว
เงียบนิ่งยามสงบ พลิกพลิ้วโดยพิภพมนุษย์*[1]
ก่อเกิดขึ้นด้วยที่มาแห่งพฤกษาหมื่นวิถี ท่ามกลางความเงียบสงบดุจแดนสุขาวดี เที่ยวท่องละล่องลอยในโลกหล้า
สะท้อนจิตใจได้เป็นอย่างดี
สตรีนางนั้นกะพริบตาพลางกล่าว “สหายเต๋าซูก็ยังบอกนี่ว่าจะไม่บังคับผู้ใด ยังถือเช่นนั้นอยู่หรือไม่?”
ซูอี้ตอบ “แน่นอน”
มุมปากสีชมพูดุจกลีบบุปผาของหญิงสาวยกยิ้มขึ้น และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็คงต้องคิดอีกที เว้นเสียแต่เจ้าจะพาข้าไปเยือน ‘ถ้ำเสวียนจวิน’ ของเจ้าสักหน่อย”
ถ้ำเสวียนจวินคือสถานฝึกฝนของซูอี้ในอดีตชาติ และยังกล่าวถึงวิถีเต๋าที่เขาสร้างในกาลก่อนด้วย
ซูอี้แย้มยิ้ม
ขณะที่เขามาพบพฤกษาหมื่นวิถีที่พิมานเครือทอง เขาก็คิดลักพาตัวอีกฝ่ายไปฝึกฝนที่ถ้ำเสวียนจวินอยู่แล้ว
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็เป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของพฤกษาหมื่นวิถีซึ่งมีเพียงหนึ่งในโลกหล้า สิ่งที่หาได้ยากคืออุปนิสัยที่สง่างามดุจกล้วยไม้ เสน่ห์แพรวพราวเยี่ยงนางสวรรค์ ซึ่งซูอี้ชมชอบยิ่งนัก
ทว่า ซูอี้จะไม่บังคับอีกฝ่าย
เขาครุ่นคิดสักพักและกล่าวว่า “เมื่อข้าจะกลับไปยังเก้ามหาแดนดิน ข้าจะชวนเจ้าไปด้วย และยามนั้นจะขึ้นกับเจ้าว่าจะตกลงหรือไม่”
ผอซัวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ข้าคิดว่าชุยหลงเซี่ยงต้องไม่ยินดีเป็นแน่ เจ้าควรผ่านด่านเขาให้ได้ก่อนนะ”
เมื่อกล่าวถึงชุยหลงเซี่ยง ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว “จิ้งจอกเฒ่าได้บอกอันใดเจ้าไว้ก่อนจะจากไปคราวนี้หรือไม่?”
ผอซัวครุ่นคิด และกล่าวว่า “เขาบอกเพียงว่า หากซูเสวียนจวินมาหา อย่าได้ถูกหลอกหนีไปกับเขา และยังบอกว่าซูเสวียนจวินในอดีตชาติมีหนี้รักมากมาย หากข้าจากไปกับเขา ไม่รู้ว่าจะต้องประสบความแค้นจากสตรีมากมายเพียงไรในภายหน้า…”
ซูอี้หน้าชาเล็กน้อย ขณะยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ช่างใส่ความป้ายสี ในอดีตชาติของข้า ข้ามุ่งเป้าแต่การฝึกวิถีเต๋า ไฉนจึงมีหนี้รักได้?”
ผอซัวเตือนสติ “สหายเต๋าซู อย่าว่าแต่อื่นใดเลย แค่ในภูมิมืดมิดนี้ แม่นางเย่อวี๋ก็รอเจ้ากลับมาอยู่นะ”
ซูอี้ “…”
เขาถูหว่างคิ้วพลางทอดถอนใจเสียงเบา “บุปผาบานมีใจ ทว่าสายธารไหลไร้ปรานี ในอดีตชาติของข้า ข้ามุ่งเป้าเพียงฝึกฝนวิถีเต๋า การทำให้สตรีบางคนผิดหวังนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เขากล่าวพลางส่ายหน้า “ลืมไปเสีย อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย ครานี้ที่ข้ามา ข้าต้องการจะฝึกฝนที่หน้าพฤกษาหมื่นวิถีสักพัก เจ้าจะว่ากระไรหรือไม่?”
ผอซัวหัวเราะกล่าว “ไม่ว่ากระไรหรอก และไม่กล้าหยุดสหายเต๋าซูไม่ให้อยู่ที่นี่ด้วย”
นางยกมือขึ้นสะบัด
ในพื้นที่ว่างมีโต๊ะ ฟูก และเบาะนั่งนุ่มนิ่มเพิ่มมาอย่างละตัว และยังมีไหสุรา ชุดชา ขนมขบเคี้ยวและสิ่งของอื่น ๆ อยู่บนโต๊ะด้วย
“สหายเต๋า สุราไหนี้ข้าเป็นผู้บ่มเอง ส่วนใบชาก็เป็นยอดใบชาที่ลุงผู้หนึ่งในตระกูลของชุยหลงเซี่ยงทิ้งไว้เมื่อเนิ่นนาน…”
เสียงขององค์วิญาณสาวแนะนำของแต่ละสิ่งอย่างนุ่มนวลเนิบช้า และจากนั้นจึงกล่าวว่า “หากมีข้อเสนออื่น ก็ขอให้ข้ารู้เถิด”
ซูอี้นั่งขัดสมาธิบนฟูกและกล่าวว่า “หากเจ้าไม่มีอันใดทำ ก็ช่วยข้าชงชาและดื่มด้วยกันเถิด”
วาจานั้นไม่ได้สุภาพเลยสักนิด
หากบรรพชนตระกูลชุยรู้เข้า เกรงว่าคงได้งัดฝาโลงขึ้นมาเป็นแน่
เพราะถึงอย่างไร ตัวตนของผอซัวสำหรับตระกูลชุยรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ดูไม่ต่างจากรุกขเทพผู้ปกป้องพฤกษาหมื่นวิถีเลย
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับใช้ผอซัวดุจสาวใช้!
นางอดยิ้มไม่ได้ ดูไม่แปลกใจเลยสักนิด “แม้สหายเต๋าจะเวียนวัฏสงสารกลับมาฝึกฝนใหม่ ทว่าอุปนิสัยก็ยังคงเดิมมิเปลี่ยนเลย”
นางใช้หัตถ์ดุจหยกของนางรินสุราลงจอกให้ซูอี้ จากนั้นจึงเปิดกล่องหยกซึ่งบรรจุ ‘เข็มเพลิงเมฆา’ ออกและเริ่มชงชา…
นางไม่คิดมากกับการทำเช่นนี้เลย ทำให้ดูถ่อมตัวนัก
ซูอี้เองก็ไม่ได้ดูเกรงใจ เขาดื่มสุราชิมขนมก่อนจะกล่าวว่า “ตอนข้าทำสมาธิ อย่ากวนข้าล่ะ”
กล่าวจบ เขาก็หลับตาลงช้า ๆ และเริ่มทำสมาธิ
แซ่ก~!
พฤกษาหมื่นวิถีคล้อยไหว แสงแห่งวิถีสาดส่องอาบคลุมร่างสูงของซูอี้ไว้ภายใน
หลังจากชงชา ผอซัวก็ไร้สิ่งใดให้ทำ นางจึงนั่งเท้าศอกกับโต๊ะ วางคางลงบนมือ และเอียงคอมองซูอี้
คู่เนตรกระจ่างลึกล้ำของนางแฝงแสงสว่างไสว
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ซูเสวียนจวินจากไปอย่างเป็นปริศนา เมื่อนางได้ยินข่าวนี้ ปฏิกิริยาแรกของนางคือ ‘มันเป็นไปไม่ได้’
เนื่องจากในความประทับใจของนาง นักดาบซึ่งเหมือนดั่งดาบในตำนานสะท้านสรวงนั้น ไม่เพียงมีระดับฝึกฝนทะลวงนภาไร้เทียบในโลกหล้า แต่ยังมีสภาพจิตใจและความกล้าแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
ต่อให้คนเช่นนี้ต้องตาย ก็เป็นไปไม่ได้หากจะจากไปเงียบ ๆ
ยามนี้ เมื่อนางได้พบซูอี้อีกครั้ง ทั้งบรรยากาศ เสน่ห์และรูปลักษณ์ต่างมีความเป็นชีวิตชีวาอันหาได้เพียงแค่จากชายหนุ่มวัยสิบแปด โดยเฉพาะอายุของเขาซึ่งไม่สามารถซุกซ่อนได้ด้วยเคล็ดวิชาใด ๆ
ดังนั้น ผอซัวจึงกล้าเชื่อได้ในที่สุด ว่าหลังจากค้นคว้าใฝ่หามาหลายหมื่นปี ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ยืนอยู่ ณ สุดเส้นทางแห่งจักรพรรดิ เหนือล้ำกว่าจักรพรรดิใด ๆ ในอดีตชาติก็ได้พบเคล็ดการเวียนวัฏสงสารและบรรลุมันเพื่อฝึกฝนใหม่ได้สำเร็จ!
“อายุเพียงสิบแปด แต่มีประสบการณ์และสภาพจิตใจหนึ่งแสนแปดพันปีจากอดีตชาติ ศัตรูที่ถูกเขาฆ่าคงไม่อาจเชื่อลงเป็นแน่…”
เมื่อคิดเช่นนี้ มุมปากของผอซัวก็อดยกยิ้มไม่ได้
ทว่าทันใดนั้น ความเคลือบแคลงหนึ่งก็บังเกิดในใจ ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ‘สิ้นสูญ’ ไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน หากเขาเวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่จริง ๆ เขาก็ควรอายุห้าร้อยปีสิ ไฉนเขาจึงอายุเพียงสิบแปดไปได้?’
‘หรือจะเป็นว่า เขาใช้เวลาหลายร้อยปีในการกลับชาติก่อนเกิดใหม่?’
นางงุนงงและสุดท้ายก็หยุดคิดถึงมัน
สิ่งเดียวที่นางแน่ใจได้คือ หากซูอี้จงใจปกปิดฐานะตน แม้จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดในอดีตชาติ ก็ยังยากจะมองทะลุตัวตนของเขาได้
เพราะถึงอย่างไร ความต่างระหว่างอายุและช่วงกาลที่เขา ‘ผ่านมา’ ในอดีตชาตินั้นมหาศาลเกินไป
เหมือนเช่นกาลก่อน เนิ่นนานก่อนที่ซูอี้และชายชราตาบอดจะมาถึงพฤกษาหมื่นวิถี ผอซัวก็สังเกตเห็นการมาของทั้งสองแล้ว ทว่ายังไม่ทราบถึงตัวตนของซูอี้
และจนกระทั่งชายหนุ่มเปิดฉากสนทนาด้วยเคล็ดวิชาจิตวิญญาณ ในที่สุดผอซัวจึงกล้าแน่ใจว่าคนตรงหน้านางคือร่างเวียนวัฏสงสารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
‘อืม หากข้าลงมือในยามนี้ ข้าก็จะสามารถเอาชนะเขาได้ง่าย ๆ แล้วถูกหรือไม่?’
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
ทันใดนั้น นางก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
การกระทำเช่นนั้นดูเหมือนเด็ก
หือ?
ทันใดนั้น ผอซัวก็สังเกตเห็นว่าพลังปราณในร่างซูอี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าอัศจรรย์
มีพลังสามประเภทอันกล่าวได้ว่าเป็นแก่นแท้สูงสุดพวยพุ่งออกมาจากมัน
หนึ่งสายหนาแน่นใหญ่โตดุจนภาพลบค่ำ แผ่บรรยากาศโบราณดั้งเดิม
อีกหนึ่งสายกว้างใหญ่ดุจสมุทรครามดำมืดแห่งสวรรค์สรรค์สร้าง เจือแสงเจิดจรัสดั่งตะวันรุ่ง
และหนึ่งสายสุดท้ายไพศาลลึกล้ำเช่นจักรวาลพร่างดาวนอกโลกหล้า กว้างขวางไร้ประมาณ
ทั้งสามคือกลิ่นอายแห่งแก่นแท้จุดกำเนิด มหาลึกล้ำและนิมิตเลือนราง
ทว่านางรู้จักเพียงแก่นแท้จุดกำเนิด และรู้ว่ามันสร้างขึ้นมาจากการควบแน่นจังหวะวิถีห้าธาตุ หยินและหยาง และวาตะอสนี
ส่วนอีกสองแก่นแท้ นางรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง และอดตกตะลึงไม่ได้
ควรค่าจดจำว่านางคือจิตวิญญาณแห่งพฤกษาหมื่นวิถี เมื่อเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจพลังแห่งวิถี ตัวตนจักรพรรดิส่วนใหญ่เกรงว่าคงทำได้เพียงทอดถอนใจชื่นชมนาง
ทว่าจากประสบการณ์ของนาง กลับไม่อาจระบุตัวตนของแก่นแท้ทั้งสองซึ่งซูอี้บรรลุได้ ดังนั้นนางจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
ตู้ม!
โดยไม่รีรอให้ผอซัวเข้าใจ เสียงหนึ่งก็ระเบิดลั่นโลกาดุจอสนีบาต พฤกษาหมื่นวิถีสะเทือนไหวรุนแรงจนเกิดเสียงเสียดสีซอกแซก
สตรีงามพลันผุดลุก ดวงตาวาวโรจน์ด้วยแสงสว่างดุจมนตรา
สามแก่นแท้ในร่างของซูอี้ในยามนี้กำลังเชื่อมหลอมเป็นหนึ่งทีละน้อย ราวแรกกำเนิดโลกา พิรุณแสงแห่งมหาวิถีสาดส่องพลุ่งพล่าน และเมื่อพลังแห่งมหาวิถีกระหวัดพัน ภาพนิมิตอันน่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น
เกิดนิมิตอัสดงดุจสิ้นวัน พลิกกลับเป็นตายจากย่ำค่ำเป็นย่ำรุ่ง ระเบิดธารดารากลางเวหาป่วนหมู่ดาวเดิมอลหม่าน เบญจธาตุแปรบรรพตเปลี่ยนนที หยินหยางสร้างสะพานรุ้งแวงกลางนภา วายุเคลื่อนอสนีบาตฟาดคล้อย สรรพสิ่งผลิงอก…
นิมิตเหล่านี้สอดรับซึ่งกันและกัน เป็นภาพครรลองการวิวัฒน์แห่งโลกหล้า ปราณดั้งเดิมของพฤกษาหมื่นวิถีดูจะถูกชักนำ ทำให้เกิดการหลอมรวมแก่นแท้วิถีเต๋าของซูอี้อย่างยอดเยี่ยม
โชคดีที่นางใช้พลังมหาวิถีครอบร่างของชายชราตาบอดผู้กำลังทำสมาธิไว้ หาไม่ เขาคงถูกกระทบจากการเคลื่อนไหวนี้ไปแล้ว
“บนวิถีวิญญาณนี้ เขาแสวงหาแก่นแท้ใดกัน ไฉนจึงน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้…”
ใบหน้าหยกของผอซัวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตานุ่มนวลกระจ่างใสเต็มไปด้วยความตะลึง
ในขณะที่มหาวิถีเช่นนี้เพิ่งถูกหลอมรวม นิมิตอันหาได้ยากก็ระเบิดก่อตัว และกระทั่งพลังดั้งเดิมของพฤกษาหมื่นวิถียังถูกดึงไป!
สิ่งนี้ทำให้นางไม่อาจคาดฝันได้ว่าหลังหลอมรวมสำเร็จ แก่นแท้ใหม่เอี่ยมที่ซูอี้บรรลุจะเลิศเลอทรงพลังเพียงไหน!
“นี่อาจจะเป็นวิถีซึ่งเขาไม่อาจเอื้อมถึงยามที่เขาแข็งแกร่งค้ำฟ้า สยบสรวง ณ อดีตชาติก็ได้…”
เนิ่นนานจากนั้น ผอซัวก็พึมพำในใจ
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย วันแล้ววันเล่า
สัญญาณการควบรวมมหาวิถีของซูอี้ดำเนินต่อไป
ผอซัวซึ่งคอยเฝ้ามองอย่างเงียบงันค่อย ๆ สงบความอึ้งในคราแรกของนางลงแล้ว ทว่าความใคร่รู้และอยากเห็นลึก ๆ ในใจกลับเพิ่มพูนทุกเมื่อเชื่อวัน
นางอยากรู้นักว่ามหาวิถีแบบใดจะก่อตัวขึ้นเมื่อสามแก่นแท้ที่ซูอี้บรรลุถูกหลอมรวมสมบูรณ์!
[1] 姽婳于幽静,婆娑乎人间 : คือที่มาของชื่อผอซัว