บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 835: มหาวิถีเอกกะ!
ตอนที่ 835: มหาวิถีเอกกะ!
ตอนที่ 835: มหาวิถีเอกกะ!
สามวันถัดมา
กิ่งก้านพฤกษาหมื่นวิถีโบกไสวดุจก้านร่มปกฟ้า แสงแห่งวิถีสาดส่องทอประกายไม่จบสิ้น อาบร่างนั่งขัดสมาธิของซูอี้
เขาถูกปกคลุมด้วยม่านแสง วจีวิถีเลือนลั่นดุจอสนีบาต ดูราวกับนั่งอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์
ในอารามวิญญาณมหาวิถีของซูอี้ แก่นแท้วิญญาณใหม่เอี่ยมกำลังก่อตัวขึ้นทีละน้อย เป็นอวตารซึ่งดูเหมือนดาบเก้าคุมขัง
เจิดจ้าดุจทองเทวะ คุณภาพสาดส่องเยี่ยงตะวันรุ่ง!
ทว่าหากมองใกล้ ๆ พลังมหาวิถีที่แสดงออกมานั้นให้บรรยากาศลึกลับเกินบรรยาย ราวตะวัน จันทราและดวงดาวละล่องลอยอยู่ภายใน บรรพตลำธารรุ้งแวงประสานสอด…
ลึกลับยากหยั่งถึง
และเมื่อซูอี้ควบรวมแก่นแท้ต่อ ทั้งจุดกำเนิด มหาลึกล้ำ นิมิตเลือนรางก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นแก่นแท้ใหม่เอี่ยม
จนกระทั่งเมื่อทั้งสามอย่างรวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์…
ซูอี้ตะลึงงัน
อวตารซึ่งดูคล้ายดาบเก้าคุมขังในร่างของเขาพลันทอแสงสาดจ้า ย้อมร่างซูอี้ทั้งนอกและในด้วยเพลิงพิลาสดุจทองเทวะ
ดาบเก้าคุมขังของจริงในห้วงความนึกคิดดูจะตื่นขึ้นจากความเงียบ เก้าตรวนลึกลับซึ่งกระหวัดรอบมันสั่นสะท้านเล็กน้อย
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
ควรค่าจดจำว่าในอดีตกาล เมื่อซูอี้ข้ามผ่านขอบเขตใด ๆ บนวิถี ดาบเก้าคุมขังจะสั่นพ้องและปลดปล่อยอำนาจพิศวงออกมาหลอมรวมและเสริมแกร่งรากฐานแห่งวิถีให้แก่ซูอี้
ส่วนเก้าโซ่ตรวนซึ่งพันเกี่ยวบนดาบเก้าคุมขังนั้น ไม่เคยมีการขยับเคลื่อนมาก่อน
ทว่ายามนี้ ตรวนทั้งเก้าล้วนมีปฏิกิริยาสั่นพ้อง!
ตู้ม!
ห้วงความนึกคิดของซูอี้เริ่มปั่นป่วน สารพัดนิมิตพิสดารบังเกิด ทว่าเขาไม่อาจได้เห็นมันอย่างชัดเจน เนื่องจากภาพเหล่านั้นเลือนรางเกินไปและแปรเปลี่ยนตลอดเวลา แต่ละภาพเกิดขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น
“ภาพเหล่านี้คือสิ่งใดกัน? ไฉนข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยนัก?”
ซูอี้ตะลึงเล็กน้อย
แม้เขาจะไม่อาจมองภาพอันแปรเปลี่ยนรวดเร็วและหายไปอย่างฉับไวเหล่านี้ได้ชัดเจน แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างไม่อาจอธิบายได้
มันให้ความรู้สึกราวกับว่าภาพเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มประสบมาในอดีต แต่ก็ยากจะจำได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออันใด
ทว่า ก่อนซูอี้จะได้คิดต่อ พลังลี้ลับก็ปรากฏขึ้นจากดาบเก้าคุมขังและทะลักล้นเข้าไปในอวตารของเขา
ตู้ม!!
เสียงเลือนลั่นราวแรกกำเนิดฮุ้นตุ้น*[1] ดังขึ้นอีกครั้งจากในอวตาร จิตใจของซูอี้พลันสะเทือนไหว
จากนั้นแก่นแท้จุดกำเนิด มหาลึกล้ำและนิมิตเลือนรางซึ่งแต่เดิมซูอี้แตกฉานก็หายไปโดยสมบูรณ์
ในขณะเดียวกัน แก่นแท้ใหม่เอี่ยมก็ปรากฏขึ้น!
สว่างไสวดุจทองเทวะ ใสดั่งหยก เป็นดั่งแสงรุ่งนภาสาดทะลวงความมืดขับไล่รัตติกาลนิรันดร์ สื่อถึงความลี้ลับยากประมาณ
“นี่มันมหาวิถีอันใดกัน?”
ดวงตาของผอซัวเบิกกว้างอย่างตกใจ
สามวันที่ผ่านมา นางเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงทั่วร่างของซูอี้มาโดยตลอด ตราบยามนี้ที่ซูอี้ควบแน่นแก่นแท้แห่งมหาวิถีได้สำเร็จ ภาพอันน่าอัศจรรย์ก็สะท้อนในคลองจักษุของนาง
นางเหมือนเห็นซูอี้ผู้กำลังนั่งขัดสมาธิถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ แสงวิถีสีทองดุจตะวันรุ่งวนเวียนรายล้อม ควบแน่นเป็นดั่งคลื่นน้ำกระเพื่อม
บรรยากาศอันดูเหมือนสรวงสวรรค์นี้ดูราว ‘ราชันย์’ อันเป็นหนึ่งแห่งมหาวิถี!
พื้นที่รอบข้างสะท้านสั่น กระทั่งพฤกษาหมื่นวิถีอันเก่าแก่ก็โยกคลอน
ผอซัวคือจิตวิญญาณอันเกิดจากที่มาแห่งพฤกษาหมื่นวิถี แทบจะคุ้นเคยกับทุกวิถีในโลกหล้า
ทว่านางแน่ใจ ว่าแก่นแท้มหาวิถีซึ่งซูอี้ควบแน่นในวันนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นก่อนในอดีต!
หาไม่ นางมองปราดเดียวก็คงมองมันออกแล้ว
ไม่นานนัก เมื่อพลังปราณของซูอี้เงียบลงเล็กน้อย พลังแห่งมหาวิถีรอบกายเขาก็หายไปเช่นกัน
“เจ้ารู้จักมหาวิถีเช่นนี้หรือไม่?”
ซูอี้ลืมตาขึ้นเงียบ ๆ และเอ่ยถามด้วยเสียงเบาแผ่ว
ผอซัวส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอี้ “ถูกต้อง”
มหาวิถีที่เขาควบรวมในวันนี้มีนามว่า ‘เอกกะ’ ซึ่งเขาในอดีตชาติได้เรียนรู้จากดาบเก้าคุมขัง เป็นแก่นแท้อันไม่เคยปรากฏสู่โลกหล้ามาก่อน!
สาวงามย่อเข่านั่งลงข้างโต๊ะ รินสุราลงจอกให้แก่ซูอี้และถามด้วยรอยยิ้ม “ขอบังอาจถามสหายเต๋า ว่ามหาวิถีนี้มีที่มาอันใดหรือ?”
วาจานั้นลื่นไหลดุจครรลองธรรมชาติ กิริยาท่าทางที่ปรากฏระหว่างการเอ่ยสื่อนั้นยังงดงามสะท้านใจ
ซูอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม จากนั้นจึงกล่าวว่า “นามแห่งมหาวิถีนี้คือเอกกะ จุดเริ่มแห่งจิต จุดสูงสุดแห่งวิญญาณ บางทีมันอาจจะไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน แต่จากนี้ไป นามแห่งมหาวิถีนี้ก็คงระบือทั่วหล้าแล้ว”
“จุดเริ่มแห่งจิต จุดสูงสุดแห่งวิญญาณ…”
ดวงตาของผอซัววูบไหว ก่อนจะกล่าวว่า “ขอข้าดูเคล็ดแห่งมหาวิถีนี้ได้หรือไม่?”
ซูอี้เองก็กำลังจะทดสอบแก่นแท้เอกกะนี้อยู่พอดี เขาจึงกล่าวทันทีว่า “ย่อมได้ แต่แลกกับการแสดงกฎสมบูรณ์ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำนะ”
“ได้เลย!”
ผอซัวตอบตกลงอย่างยินดี นางแบมือขวาออก บรรจบปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งอันเรียวขาวดุจหิมะสร้างประทับอาคม
วูบ!
คลื่นแสงวิถีสีดำปรากฏขึ้นกะทันหัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีเล่มบางยาวเจ็ดชุ่น
ทว่าหากมองใกล้ ๆ อำนาจในดาบนี้กลับมากมายดุจน้ำในมหาสมุทรกว้าง กระเพื่อมแรงไร้ขอบเขต ทำให้ผู้คนสัมผัสถึงอำนาจยิ่งใหญ่ไร้ประมาณ
กฎเคลื่อนวารีในขอบเขตหยั่งรู้ลึกล้ำ!
ซูอี้เองก็แบมือขวาออก ห้านิ้วปกคลุมโดยลำแสงวิถีโปร่งใสสว่างเรื่อเรืองดุจทองเทวะ คว้าเข้าไปที่ดาบวิถีเจ็ดชุ่น
ดวงตาของผอซัวหรี่ลงเล็กน้อย อึ้งตะลึงกับการเคลื่อนไหวอย่างใจกล้าของซูอี้ ควรค่าจดจำว่าดาบวิถีเจ็ดชุ่นนี้บรรจุกฎเคลื่อนวารีอันสมบูรณ์ อำนาจของมันนั้น กระทั่งจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำทั่วไปยังยากจะต่อกร!
ทว่าซูอี้กลับคว้ามันตรง ๆ!
ผอซัวกำลังจะเอ่ยเตือน ทว่าท้ายที่สุดก็รั้งตนไว้
ด้วยตัวตนเช่นซูเสวียนจวิน เขาจะไม่รู้ความสำคัญของการเคลื่อนไหวนี้ได้เช่นไร?
ในขณะที่ผอซัวกำลังลังเลนั้นเอง ห้านิ้วมือขวาของซูอี้ก็กำรอบดาบวิถีเจ็ดชุ่น
ตู้ม!
ดาบวิถีเจ็ดชุ่นระเบิดอำนาจน่าหวั่นเกรงแห่งกฎเคลื่อนวารี
ทว่าห้านิ้วของซูอี้เป็นเช่นคีมหนีบที่จับดาบวิถีเจ็ดชุ่นไว้อย่างมั่นคง แสงสีทองเปล่งออกมาจากทั้งห้านิ้วและฝ่ามือ เต็มไปด้วยคลื่นพลังลึกลับ
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็ออกแรงมือ
ตู้ม!
ดาบวิถีเจ็ดชุ่นแหลกสลายคามือของเขา แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงตระการสี
“นี่…” ผอซัวตะลึงอึ้ง มิอาจซุกซ่อนความรู้สึก
นี่เป็นเพียงแก่นแท้วิถีวิญญาณ ทว่ากลับสามารถบดขยี้อำนาจกฎเกณฑ์เคลื่อนวารีในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำได้!
ใครเล่าจะเชื่อลง?
ไฉนจึงมีมหาวิถีอันขัดต่อกฎสวรรค์เช่นนี้ในโลกหล้า?
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “เฉพาะในด้านพลังของแก่นแท้มหาวิถีเอง พลังแห่งมหาวิถีเอกกะของข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าอำนาจกฎเต๋าของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเลย”
“แต่เจ้าก็รู้ว่าหากเป็นการต่อสู้จริง การประชันนั้นใช้มากกว่าพลังมหาวิถีมากนัก ยังมีเรื่องของพื้นฐานฝึกฝน มรดกเคล็ดวิชา สมบัติวิเศษ และประสบการณ์รบเข้ามาเกี่ยวพัน”
“หากข้าต้องการสังหารตัวตนสูงสุดในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำจริง ๆ ลำพังการพึ่งแก่นแท้เอกกะก็จะยังขาดพลังอยู่บางส่วน ทว่าหากเพียงแค่ประชันกันก็ไม่น่าเป็นไรแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ลูบคางครุ่นคิด “ทว่า ยามเมื่อข้าก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ ตัวตนในขั้นต้นของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ไม่ว่าจะมีอำนาจแห่งกฎเต็มที่แล้วหรือไม่ จะไม่ใช่คู่มือข้าอีก”
เขาไม่ได้ซุกซ่อนวาจาเหล่านี้ ดังนั้นหลังจากมันกระทบโสตของผอซัว ‘องค์วิญญาณไท่ซู่’ ผู้ยืนยงนับพันหมื่นปีเองก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉย
สาวงามอดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าเคยปราบจักรพรรดิขั้นต้นขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำมาก่อนหรือ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า
ผอซัว “…”
แววตาของนางทอประกายอยู่นาน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ “โชคดีไปที่วาจานี้ออกจากปากเจ้านะสหายเต๋า หาไม่ ข้าคงไม่มีวันเชื่อมันแน่”
ผอซัวรู้ดีว่าแม้ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในอดีตชาติจะทรงอำนาจเพียงไร แต่ยามนี้เขาก็เป็นเพียงร่างเวียนวัฏสงสาร เป็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบแปดในวิถีวิญญาณเท่านั้น
ทว่าด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับสามารถข้ามวิถีไปเอาชนะจักรพรรดิลงได้!
นี่คือการสร้างประวัติการณ์ดุจดั่งปาฏิหาริย์โดยแท้!
“นี่แหละหนึ่งในเหตุผลที่ข้าเวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่ ในอดีตชาติของข้า ข้าอาจเป็นที่เคารพทั่วโลกหล้า ทว่ามีเพียงข้าที่รู้ว่าวิถีที่ข้าเดินในอดีตนั้นมีจุดบกพร่องมากมาย”
ซูอี้กล่าวพลางยกไหสุรารินให้ตนเองหนึ่งจอก “ยามนั้นที่ข้าไม่อาจเลื่อนขอบเขตสู่สูงกว่ามาแสนนาน ข้าก็ตระหนักว่าจุดบกพร่องทั้งหลายในวิถีเก่าก่อนของข้ากลายมาเป็นอุปสรรคขวางเส้นทางฝึกฝนของข้าเองโดยไม่ต้องสงสัย!”
หลังจากที่เขาดื่มสุราในจอก ก็กล่าวต่ออย่างสบาย ๆ “ชาตินี้ จุดบกพร่องเหล่านั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป เมื่อข้าก้าวสู่วิถีจักรพรรดิอีกครั้งและฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแห่งวิถี ข้าจะมีความมั่นใจมากพอก้าวสู่เส้นทางอันเทียบได้กับขอบเขตเหนือกว่าจักรพรรดิ!”
อาภรณ์ของชายหนุ่มเขียวดั่งหยก เขากล่าวอย่างสงบ ทว่าสีหน้ากลับกำลังเหยียดเยาะ
ผอซัวจ้องซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ในสมัยโบราณ ข้าเองก็เคยได้ยินว่าขอบเขตจักรพรรดินั้นห่างไกลจากจุดจบแห่งมหาวิถี ทว่าหลังจากกาลผันผ่านเนิ่นนาน ข้าก็เริ่มสงสัยไม่ได้ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือไม่”
กล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าหยกงดงามชวนฝันก็มีสีหน้าพิกล “ทว่ายามนี้… ข้าเชื่อแล้ว!”
จากตัวซูอี้ ผอซัวเห็นความเป็นไปได้และสังหรณ์ว่าวันหนึ่ง ซูอี้ตรงหน้านางจะแข็งแกร่งเจิดจรัสยิ่งกว่าอดีตชาติของเขาเสียอีก!
ทว่าซูอี้ก็กล่าวขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “หากเจ้าสนใจ ยามที่ข้ากลับสู่เก้ามหาแดนดิน ก็ไปกับข้าสิ”
ผอซัวเขินอายเล็กน้อย พลางถลึงตาจ้องซูอี้ กล่าวว่า “สหายเต๋ายังคิดเรื่องนี้อีกหรือ?”
นางสวรรค์ทั้งโกรธเคืองและหงุดหงิดเล็กน้อย ทว่านางก็ยังคงงดงามเกินบรรยาย
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ และกล่าวว่า “หากไม่คิดคงไม่อาจเรียกเป็นลูกผู้ชายได้!”
ใบหน้าหยกของผอซัวแปรเปลี่ยนชั่วขณะ ริมฝีปากชมพูเรื่อยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง “โชคร้ายที่ข้าไม่ได้สนใจ… เด็กอายุสิบแปดเลยสักนิด”
ซูอี้ “…”
ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง เสียงแหวกอากาศก็ดังมาไกล ๆ
“ชุยฉางอันมาแล้ว ข้าไม่อยากให้เขามาโค้งให้ข้า”
นางกล่าวพลางสลายร่างหายวับไป
ไม่นานนัก ร่างของชุยฉางอันก็รีบเร่งมาหา
ทันทีที่เขามาถึง เจ้าตระกูลชุยก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านลุงซู ข้าเพิ่งได้ข่าวว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ณ ซากเมืองมรณะเมื่อคืนก่อน ที่นั่นปรากฏ ‘อีกาเก้ามืดมิด’ ซึ่งนับได้ว่าเป็นวิหคอัปมงคลปรากฏกลับสู่โลกหล้าในรอบนานกว่าสามหมื่นปีแล้วขอรับ!”
[1] ฮุ้นตุ้น คือภาวะที่อากาศ รูป และธาตุยังปะปนเกาะกลุ่มกัน เป็นสภาพดั้งเดิมของจักรวาลก่อนที่เทพผานกู่จะใช้ขวานจามแยกเป็นฟ้าและดินตามตำนานการสร้างโลกของชาวจีน