บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 837: อีกาเก้ามืดมิด
ตอนที่ 837: อีกาเก้ามืดมิด
ตอนที่ 837: อีกาเก้ามืดมิด
ตระกูลชุย
หอพินิจอุดร
“จากที่เจ้าว่ามา เห็นได้ชัดเลยว่าอีกาเก้ามืดมิดพวกนั้นกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองตาข่ายม่วง”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
สีหน้าของชุยฉางอันดูหมองลง ขณะยิ้มอย่างขมขื่น “น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ เมื่อคราวเทศกาลหมื่นโคมตอนสี่หมื่นห้าพันปีก่อน อีกาเก้ามืดมิดก็ปรากฏขึ้นใกล้เมืองตาข่ายม่วงขอรับ”
“จากบรรพชนตระกูลชุยเล่าขาน วิหคอัปมงคลเหล่านี้เป็นดั่งดาวอับโชคที่หากไม่มีความแค้นกับกองตัดสินเมื่อสมัยบรรพกาลก็คงเจ็บแค้นบางสิ่งกับภูมิมืดมิด”
“และท่านลุงซู ท่านก็รู้ว่าเมืองตาข่ายม่วงคือแก่นแห่งภูมิมืดมิด กองตัดสินอยู่ ณ ใจกลางภูมิมืดมิดเสมอมา ที่แห่งนี้เข่นฆ่าสรรพสิ่งมามากที่สุดในภูมิมืดมิด และทุกครั้งที่เกิดเทศกาลหมื่นโคม เมืองตาข่ายม่วงจะประสบหายนะมากที่สุดในภูมิ”
ซูอี้พยักหน้า
ในสมัยโบราณ ภูมิมืดมิดประกอบด้วยขุมกำลังหลักมากมาย
ในหมู่พวกมัน เมื่อกองตัดสินตัดสินประหาร พวกเขาก็สังหารอาชญากรที่จับมาได้มากมายไม่ทราบจำนวน
แม้ว่าผู้ที่ถูกฆ่าจะล้มตาย แต่อำนาจที่ทิ้งไว้เช่นความอัดอั้นใจ ความพยาบาท ความแค้นและอื่น ๆ ได้สั่งสมพอกพูนอยู่ใต้บาดาลเมืองตาข่ายม่วงนานแสนนาน
คงไม่เป็นการกล่าวเกินไป หากจะบอกว่าถ้าตระกูลชุยไม่ได้ดูแลเมืองแห่งนี้มาแต่โบราณ เมืองตาข่ายม่วงนี้คงกลายเป็นดินแดนต้องห้ามอันดุร้ายไปแล้ว
เพียงแค่มองไปยังดินแดนรกร้างอันตรายรอบ ๆ ซากโบราณกองตัดสินทางตะวันออกของเมืองตาข่ายม่วงก็จะได้พบเค้าลาง
“ข้าจะออกไปเดินนอกเมืองสักหน่อย”
ซูอี้ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
“ท่านลุงจะไปไหนขอรับ?”
ชุยฉางอันอดถามไม่ได้
วันนี้คือวันที่สิบเดือนเจ็ด และในห้าวันจะเป็นเทศกาลกลางสารท วันถือกำเนิดของเทศกาลหมื่นโคมในรอบพันปี!
ทว่าซูอี้กลับจะออกจากเมืองในยามนี้ ซึ่งย่อมทำให้ชุยฉางอันแปลกใจ
“ไปกันเถิด ดูซิว่าเราจะจับอีกาเก้ามืดมิดมาได้หรือไม่”
ซูอี้ตอบโดยไม่หันกลับมามอง
ชุยฉางอันตะลึง และรีบร้อนไล่ตามไปเบื้องหลังเขา กล่าวว่า “ท่านลุงต้องการการอารักขาไหมขอรับ?”
“ไม่ต้อง”
“แต่ถ้า…”
“ก็แค่หายนะ ไฉนต้องกังวลนัก?”
ยามเอื้อนเอ่ยวาจา ซูอี้ก็สาวเท้าเดินออกไปแล้ว
ชุยฉางอันมองไล่หลังที่เดินลับไปอย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะ และกล่าวขึ้นด้วยความทึ่ง “แม้ว่ายามนี้ ขอบเขตฝึกฝนของท่านลุงซูจะอ่อนแอลงเล็กน้อย แต่นิสัยของเขายังคงเหมือนอดีต เย่อหยิ่งอหังการไม่เปลี่ยน”
…
“ผ่านไปไม่ถึงเดือน แต่เมืองตาข่ายม่วงกลับร้างราถึงเพียงนี้…”
ขณะเดินบนถนนอันร้างผู้คน ซูอี้เห็นเพียงคนเดินเท้าเร่งรีบผ่านไปเพียงทีละสองสามคน
โรงเตี๊ยมร้านน้ำชาซึ่งเป็นจุดรวมผู้คนในอดีตกระทั่งปิดประตูเงียบกริบ
ซูอี้พอจะเดาเหตุผลได้ และรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏบนใบหน้า
โจมตีด้วยความวิตก!
สารพัดข่าวร้ายซึ่งส่งผลเสียต่อตระกูลชุยถูกประโคมใหญ่โตก่อนถึงเทศกาลหมื่นโคม สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนในเมืองตาข่ายม่วงตะบึงหนี
ในขณะเดียวกัน คนทุกผู้ในตระกูลชุยก็จะตกภายใต้แรงกดดันมหาศาล ซึ่งจะกระทบกับจิตต่อสู้ของพวกเขา
และยังไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่สมาชิกบางคนในตระกูลชุยจะวางแผนล่วงหน้าและเลือกแปรพักตร์เยี่ยงชุยเว่ยจง
ทุกผลเสียเหล่านี้ต่างเป็นประโยชน์สูงสุดต่อขุมกำลังศัตรูของตระกูลชุยอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ต้องคิด ซูอี้ก็รู้ว่าหายนะนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลชวีโบราณ ตระกูลหง และขุมกำลังเบื้องหลังพวกเขาแน่!
ทว่าซูอี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น
วิธีการเหล่านี้ อย่างมากก็แค่ลูกไม้มารยา ไม่ควรค่าให้ใส่ใจ
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การประชันท้ายที่สุดก็คือความแข็งแกร่ง
ชี้วัดแพ้ชนะ!
เมื่อมาถึงนอกประตูเมือง
ซูอี้ชะงักฝีเท้าตรงหน้ารูปสลักหินโบราณทั้งสอง
รูปสลักเซี่ยจื้อและปี้อันทั้งสองนี้ผ่านกาลเวลาผันผ่าน ยืนตระหง่านเงียบงันมองการเปลี่ยนแปลงโลกหล้า
ต่างจากกาลก่อน ที่บริเวณใกล้เคียงสองรูปสลักหินมีกลุ่มยอดฝีมือผู้ฝึกตนจากตระกูลชุยประจำการอยู่ ต่างคนต่างมีบรรยากาศเย็นยะเยือกดุร้าย
ซูอี้เบือนสายตาเหลือบกำแพงเมืองสูงโดยดูไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ละสายตาก้าวยาว ๆ ไปไกล
กำแพงเมืองนั้นถูกปกคลุมด้วยค่ายกลลี้ลับอันไม่อาจมองเห็นด้วยตา
ด้านในค่ายกลมีจักรพรรดิสองคนจากตระกูลชุย
“คุณชายซูผู้นั้นสังเกตเห็นเราหรือ?”
ชายชุดขาวผู้หนึ่งกล่าวอย่างแปลกใจ
“คงไม่หรอก เขาเป็นแค่ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตสยายวิญญาณ แต่กล่าวกันว่าเขาได้รับความชอบจากแม่หนูจิ๋งเหยี่ยนซึ่งหาได้ยากนัก เจ้าก็รู้ว่าสายตาของจิ๋งเหยี่ยนเฉียบคมเพียงไร”
ชายชราในอาภรณ์สีน้ำเงินผู้หนึ่งกล่าวยิ้ม ๆ
“ก็จริง แต่ยามนี้คนผู้นี้ทำอันใดอยู่?”
ชายชุดขาวขมวดคิ้ว “หรือเขาจะเป็นเหมือนพวกคนไม่รู้เรื่องราวในเมืองที่คิดว่าตระกูลชุยของเราจะไม่สามารถปกป้องเมืองตาข่ายม่วงได้ จึงตั้งใจจะเผ่นก่อนหรือไร?”
ชายชราในอาภรณ์สีน้ำเงินตกใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเลือนหาย
ครู่ถัดมา เขาก็กล่าวเบา ๆ “ท่ามกลางวิกฤตจะได้เห็นความจริง หลังจากเหตุนี้ จิ๋งเหยี่ยนจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูอี้ผู้นี้ ซึ่งก็ดีแล้ว”
ชายชุดขาวพยักหน้า
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูลชุย และได้ยินว่าเมื่อชุยจิ๋งเหยี่ยนกลับตระกูลมาครั้งนี้ นางก็พาชายหนุ่มผู้หนึ่งนามซูอี้มาด้วย
กระทั่งเจ้าตระกูลชุยและฮูหยินของเขายังบอกให้พวกตนปฏิบัติกับซูอี้เป็นแขก ห้ามเมินเฉยเด็ดขาด
ทว่ายามนี้ เมื่อพวกเขาเห็นร่างของซูอี้เดินจากไปไกล ทั้งชายชุดขาวและชายชราในอาภรณ์สีน้ำเงินต่างก็อดรู้สึกว่าเขาไร้ค่าจะคู่ควรกับชุยจิ๋งเหยี่ยนได้
ซูอี้ย่อมไม่รู้เรื่องนี้
หลังจากเขาออกจากเมืองตาข่ายม่วง เขาก็ใช้เคล็ดวิชาเหาะเหินสู่นภา อาภรณ์สะบัดพลิ้ว
ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งจิบชา
ไกลออกไป เทือกเขาอันทอดตัวยาวก็ปรากฏในคลองจักษุ
เทือกเขาเมฆาชาด
หนึ่งเทือกเขาทอดยาวร้อยลี้ ขุนเขาเรียงราย เมฆหมอกเรียงตัวสง่างดงาม
ยามนี้เที่ยงวัน ท้องนภาสว่างไสว
ร่างของซูอี้ร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในเทือกเขาเมฆาชาด
“เจ้าว่า อีกาเก้ามืดมิดจะยังอยู่ในเทือกเขานี้หรือไม่?”
ซูอี้มองไปรอบ ๆ
“ยากจะกล่าว วิหคอัปมงคลผู้สามารถโบยบินหนีจากปฐพีไปมาไร้ร่องรอย หากมันสัมผัสอันตรายได้ มันจะฉีกสุญญะหนีทันที ตลอดมาข้าจึงไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีผู้ใดบ้างที่จับตัวตนเลวร้ายนี้ได้เป็น ๆ?”
สุรเสียงรื่นหูดังขึ้น ตามด้วยร่างของผอซัวผู้มีเส้นผมสีขาวดุจหิมะก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ แต้มชาด เด่นชัดกลางหว่างคิ้ว ร่างเปล่งแสงทอประกายเรื่อ
ซูอี้พยักหน้า ก่อนกล่าวขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องลองดูหน่อย”
เขาก้าวสู่อากาศ และเริ่มทะยานล่องบรรพตลำธาร
ไม่นานนัก ร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นในหุบเหวแห่งหนึ่ง มีกวางสีเขียวตัวหนึ่งตายอยู่หลายวันแล้ว เนื้อหนังของมันเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
ทว่าซูอี้กลับมองอย่างจริงจัง
“สหายเต๋า เจ้าทำอันใดอยู่?” ผอซัวย่นจมูกถามอย่างสงสัย
ซูอี้ตอบลอยชาย “สันดานเดิมยากแก้ ไม่ว่าอีกาเก้ามืดมิดจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่พวกมันก็ยังเป็นกา พวกมันก็น่าจะชอบกินซาก ขอข้าดูก่อนว่าซากกวางนี้มีรอยจิกกัดหรือไม่ บางทีเราอาจคาดเดาได้ว่า… อีกาเก้ามืดมิดเคยมาที่นี่หรือไม่”
ผอซัว “…”
นางรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนเช่นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะทำเรื่องโปกฮาเหมือนเด็กเยี่ยงนี้ได้
นั่นคืออีกาเก้ามืดมิดผู้ถือได้ว่าเป็นดาวอับโชค ลือกันว่ามันคือตัวตนอันเกิดจากหายนะและอวมงคล มันจะไปเหมือนอีกาทั่วไปได้เช่นไร?
ครู่ถัดมา ซูอี้ก็หลับตาส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
ผอซัวอดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “วิธีนี้จะไม่ได้ผลแน่นอน”
“ช่างมัน ไปกันเถอะ”
ซูอี้หันหลังจากไป
ผอซัวเดินตาม
ครู่ถัดมา
กาสีดำสูงประมาณหนึ่งจั้งปรากฏขึ้นเงียบ ๆ ข้างศพกวาง ร่างของมันดำสนิทดุจรัตติกาล คู่เนตรแดงฉานดั่งเลือด และบรรยากาศรอบตัวก็ดูกลมกลืนไปกับโลกหล้ารอบกายอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อมันปรากฏกาย ไม่มีกระทั่งร่องรอยการกระเพื่อมแห่งพลังเปิดเผย
เจ้ากาดำมองศพกวาง คู่เนตรอันดูเหมือนอัญมณีสีเลือดทอประกายเย็นเยียบ
สันดานเดิมยากแก้?
กาชอบกินซาก?
เจ้านี่… จะแม่นเกินไปแล้ว!!!
หือ?
ปีกของมันพลันเรืองแสงสีดำดุจคลื่นกระเพื่อมยามราตรีและหายวับไป
ไม่นานนัก ร่างของซูอี้และผอซัวก็กลับมา
“สหายเต๋า ไฉนเจ้าจึงกลับมาอีกเล่า?”
ผอซัวงุนงงเล็กน้อย
ซูอี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “ข้าคิดจะวางกับดัก จะเป็นเช่นไรหากอีกาเก้ามืดมิดอดใจไม่ไหว คิดจะกินซากกวางตัวนี้เล่า?”
เขากล่าวพลางโบกชายแขนเสื้อ ยันต์ลับชิ้นหนึ่งพุ่งหายเข้าไปในซากกวางโดยไร้สุ้มเสียง
ผอซัวจ้องมองซูอี้อย่างพิกล และกล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋า ข้าเกรงว่าผู้ที่มีความเฉลียวสักหน่อยก็จะเห็นกับดักเซ่อ ๆ นี้กันทั้งสิ้น อีกาเก้ามืดมิดจะไม่เห็นมันได้เช่นไร?”
ซูอี้กล่าว “ข้าล่ะหวังนักให้มันเห็น”
ผอซัวตกใจ
“ไปกันเถอะ ข้าจะหาที่ข้ามหายนะแล้ว”
ซูอี้หันหลังจากไปโดยไร้รีรอ
ผอซัวรู้สึกเคลือบแคลงอยู่เต็มหัวใจ ทว่านางก็ยังเดินตาม
จนกระทั่งเมื่อสองร่างหายลับ
เจ้ากาดำสูงราวหนึ่งจั้งปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบงัน มอง ‘กับดัก’ ที่ซูอี้ตั้งไว้เมื่อครู่ด้วยคู่เนตรสีเลือดอันเคลือบแคลงเกินอธิบาย
มันงุนงงเล็กน้อย
ในฐานะอีกาเก้ามืดมิด การมีอยู่ของมันทำให้ผู้คนหน้าเปลี่ยนสียามกล่าวถึง แม้กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิยังไม่ยกเว้น
ทว่าวันนี้ยามนี้ กลับมีชายหนุ่มในขอบเขตสยายวิญญาณผู้หนึ่งใช้เนื้อเน่าตั้งกับดักพยายามหาร่องรอยของมันราวไอ้งั่ง…
ในสายตาคนผู้นั้น อีกาเก้ามืดมิด… ไร้น้ำยาเพียงนั้นเลยหรือ!?
โง่จนไมอาจเห็นกระทั่งกับดักบื้อ ๆ เช่นนี้เลยหรือไร?
“ไม่สิ เขาจงใจให้ข้าเห็น และกระทั่งจงใจยั่วยุข้า แต่… เขาจะแน่ใจได้เช่นไรว่าข้าจะปรากฏที่นี่?”
“อีกอย่าง ผู้ฝึกตนในโลกนี้ถือข้าเป็นหายนะ ผู้ก่อร่างจากลางร้าย อยากหลีกแต่ไม่อาจเลี่ยง แต่ไฉนเจ้าเด็กนี่คือมาหาร่องรอยของข้าเล่า? นี่ต่างอันใดกับคนบ้าหาเรื่องฆ่าตัวตาย?”
เจ้ากาดำไม่อาจเข้าใจ ยิ่งมันคิดก็ยิ่งงุนงง
ทว่ามันแน่ใจว่าร่างจิตวิญญาณข้างกายชายหนุ่มชุดเขียวมีพื้นเพยิ่งใหญ่!
หากไม่ใช่เพราะร่างจิตวิญญาณนั้น มันคงไม่กระทั่งจะสนใจชายหนุ่มซึ่งอยู่เพียงขอบเขตสยายวิญญาณเป็นแน่
“ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเจ้าล่วงเกินข้าแล้ว ข้าก็ควรสั่งสอนสักหน่อย!”
“คงเป็นบทลงโทษที่ดีหากจะให้เขาตายด้วยหายนะ…”
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิด ร่างของมันก็อาบไล้ด้วยกระแสแสงสีดำอันเย็นชาประหนึ่งค่ำคืนดำมืด และเจ้ากาดำก็หายตัวไปเงียบ ๆ