บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 84 องค์ชายผู้ตกเป็นเป้าหมาย
ตอนที่ 84: องค์ชายผู้ตกเป็นเป้าหมาย
เฉิงอู้หย่งมองดูฉากนี้พร้อมกับเผยยิ้มออกมา
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าซูอี้คล้ายไม่สนใจสิ่งนี้ จึงเปลี่ยนเรื่องทันที “จางอี้เหรินบอกกล่าวข้ามาอีกเรื่อง เรือโดยสารลำนี้ มีชนชั้นสูงลึกลับโดยสารอยู่ด้วย ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในศาลาหลังที่หนึ่ง”
“ใครหรือ?” หยวนลั่วซีถามด้วยความสงสัย
“จางอี้เหรินคล้ายกับไม่รู้จัก เขารู้แค่ว่า แขกผู้มีเกียรติคนนั้นได้รับการให้เกียรติจากท่านโหวยุทธ์วิญญาณเฉินเจิ้ง จึงสงสัยว่าเป็นลูกชายชนชั้นสูงจากนครหลวงอวี้จิง ถึงแม้จะมีทหารองครักษ์เพียงสี่คนอยู่ข้างกาย แต่ทุกคนล้วนมีระดับการบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ‘ขอบเขตรวบรวมลมปราณ’ เลยทีเดียว”
ดวงตางดงามของหยวนลั่วซีหรี่ลง “แบบนี้นับว่าไม่ธรรมดา ในนครหลวงอวี้จิง ข้าเกรงว่าจะมีแต่ศิษย์จากตระกูลชั้นสูงเท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครองเช่นนี้”
“ไม่ ชายหนุ่มชนชั้นสูงคนนั้นน่าจะไม่ใช่เพียงลูกหลานคนตระกูลใหญ่ทั่วไป”
เฉิงอู้หย่งกล่าวว่า “เขามาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง อายุของนางดูราวกับแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี แต่ยามเผชิญหน้ากับนาง จางอี้เหรินที่อยู่ขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณยังรู้สึกเย็นเยือกไปถึงข้างใน ตามที่เขากล่าว ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ หรืออยู่ในขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์!”
“ว่าอย่างไรนะ!?”
หยวนลั่วซีและหวงเฉียนจวินล้วนตกตะลึง ปรมาจารย์วิถียุทธ์อายุไม่เกินสิบแปดปีอย่างนั้นหรือ?
มีปีศาจแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ?
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของจางอี้เหรินเท่านั้น แท้จริงเป็นเช่นไร ข้าไม่อาจทราบได้ แต่ที่มั่นใจได้คือสถานะของชายหนุ่มชนชั้นสูงผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
เฉิงอู้หย่งกล่าวเช่นนี้ แต่พบว่าซูอี้ยังคงนั่งดื่มชาอย่างสงบนิ่งสบายอารมณ์ ราวกับไม่ได้สนใจเกี่ยวกับหัวข้อนี้แม้แต่น้อย
นี่ทำให้เขาลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง ถึงจะทำให้คุณชายซูสนใจได้
ความมั่งคั่งหรือ?
อำนาจหรือ?
สตรีหรือ?
เกรงว่าจะไม่ใช่สักอย่าง!!
ทันใดนั้น เสียงเครื่องดนตรีเสนาะหูพลันลอยมาแต่ไกล เสียงนั้นดั่งสายฝนโปรยปรายทางใต้ของแม่น้ำแยงซี เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์อันงามงด ชวนให้ขบคิด
ทุกคนอดที่จะเผยสีหน้าตั้งใจฟังไม่ได้
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ขมวดคิ้วหลังจากได้ฟังเสียงเครื่องดนตรี
จนกระทั่งเสียงไพเราะนั้นค่อย ๆ จางหาย หวงเฉียนจวินอดที่จะชื่นชมไม่ได้ “เสียงนั่น ราวกับเสียงเพรียกจากสวรรค์ ราวกับสายลมพัดผ่านใบหน้า ช่างสดชื่นยิ่งนัก”
“เสียงของมันดียิ่ง ไม่มีร่องรอยของทักษะอันหย่อนยาน ช่างลื่นไหลราวสายน้ำ เป็นเสียงที่วิเศษนัก”
หยวนลั่วซีพยักหน้าด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ก่อนออกความเห็นว่า “อาหย่ง มีนักดนตรีมากฝีมืออยู่บนเรือลำนี้ด้วยหรือ?”
เฉิงอู้หย่งตอบว่า “ผู้ที่เล่นเครื่องดนตรีเมื่อครู่ น่าจะเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของ ‘ตึกบุปผาหอม’ มีนามว่า ฉาจิ่น ว่ากันว่าสตรีผู้นี้มากพรสวรรค์นัก ทั้งยังสวยสดงดงาม มีชื่อเสียงยิ่ง”
ดวงตาของหวงเฉียนจวินทอประกาย สีหน้าเผยความถวิลหา “ในสถานที่เช่นหอคณิกานางโลม มีสาวงามเช่นนั้นด้วยหรือ? ข้าอยากเห็นเป็นบุญตายิ่งนัก!”
หยวนลั่วซีพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “ก็แค่คณิกา ไม่ว่าจะงดงามเพียงใด ไม่ว่าทักษะการเล่นเครื่องดนตรีจะดีถึงเพียงใด นางก็เป็นเพียงของเล่นให้ผู้ชายฆ่าเวลาเท่านั้น”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
งดงามแล้วอย่างไร? มีความสามารถแล้วอย่างไร? หญิงใดที่เงินซื้อได้ล้วนไม่มีค่าให้ควรสรรเสริญแม้แต่น้อย!
ถึงแม้หวงเฉียนจวินอยากจะปฏิเสธ แต่เพราะตัวตนของอีกฝ่ายสูงส่งกว่า เขาจึงทำได้เพียงหักห้ามใจเอาไว้
ทันใดนั้น ซูอี้ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “มีบางอย่างที่ผิดปกติกับฉาจิ่นผู้นี้ หากพบกันระหว่างทาง พวกเจ้าควรหลีกเลี่ยงนางไว้คงเป็นการดีกว่า”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
“คุณชายซู ท่านสัมผัสได้ถึงสิ่งใดหรือ?” เฉิงอู้หย่งถามอย่างเคร่งขรึม
“ยังไม่แน่ใจ แต่มันไม่เกี่ยวกับพวกเรา ดังนั้นอย่าคิดมาก”
ซูอี้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ใกล้ค่ำแล้ว ข้ากินข้าวที่ใดได้บ้าง?”
เฉิงอู้หย่งลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณชายซู ข้าเตรียมงานเลี้ยงไว้ให้แล้ว อยู่ในตึกหลักชั้นที่เก้า สถานที่เป็นระเบียงกว้าง แถมยามมองรอบข้างจะเห็นทิวทัศน์สองฟากฝั่งแม่น้ำชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมนัก”
“เช่นนั้นก็ไปกันตอนนี้เลย”
หยวนลั่วซีลุกขึ้นแล้วกล่าว
จากนั้น กลุ่มคนทยอยออกจากศาลา เฉิงอู้หย่งนำทาง พวกเขาเดินไปบนชั้นเก้าของตึกหลักซึ่งตั้งอยู่บนเรือโดยสาร
ในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎขนนกถูกสาวใช้งดงามสองคนส่งตัวออกจากศาลาหลังที่สาม
“บอกแม่นางฉาจิ่นว่าพรุ่งนี้ข้าจะมารบกวนอีก”
เขาถ่ายทอดคำสั่งอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็หันหลังจากไป
“องค์ชาย”
เมื่อเดินไปครึ่งทาง ชายวัยกลางคนนามจางตั้วก็รีบเดินเข้ามา ก่อนจะกล่าวว่า “ลูกน้องข้าได้ไปสอบถามมาแล้วขอรับ ในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนผู้หนึ่งชื่อลั่วซีมาจากตระกูลหยวนในมหานครอวิ๋นเหอ นางคือ…”
จางตั้วรีบแนะนำชาติกำเนิดของหยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่ง
ส่วนซูอี้กับหวงเฉียนจวิน เขาเพียงกล่าวถึงคร่าว ๆ เท่านั้น
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎขนนกพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “แบบนี้นี่เอง ในเมื่อมาจากตระกูลหยวนแห่งมหานครอวิ๋นเหอ ย่อมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“เอาล่ะ ไปกินข้าวเย็นกันก่อนเถอะ”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงก็เดินจากไป
เมื่อพวกเขามาถึงระเบียงกลางแจ้งบนชั้นที่เก้าของตึกหลัก ก็พบบุคคลจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นี่ พวกเขาจับกลุ่มสามถึงห้าคน ต่างรับประทานอาหารบ้างสนทนาบ้างตามที่นั่งต่าง ๆ
อาหารขึ้นโต๊ะล้วนหรูหรา ส่วนใหญ่เป็นของสดที่เพิ่งนำขึ้นมาจากตลาดในเมืองกว่างหลิง ส่วนสุราล้วนแต่หมักบ่มมานานหลายปีซึ่งนับว่าเป็นของชั้นยอด อีกทั้งยังมีสาวใช้งามงดคอยให้บริการราวกับผีเสื้อในบุปผา
ราตรีกำลังมาเยือน คบเพลิงถูกจุดรอบข้าง แสงไฟโคลงเคลง หมู่ดาวประดับบนท้องฟ้า เสียงคลื่นน้ำจากแม่น้ำต้าฉางดังอย่างแผ่วเบา ช่างแสนเพลิดเพลินชวนรื่นรมย์นัก
แน่นอน คนที่สามารถนั่งรับประทานอาหารบนชั้นเก้าได้ หากไม่เป็นคนมีฐานะก็มีชื่อเสียง
“นั่น พวกเขาอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
หลังจากชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎขนนกมาถึง เขาพลันเห็นตั้งแต่แรก ว่าใกล้กับระเบียงเรือ มีกลุ่มหยวนลั่วซีนั่งอยู่
ภายใต้แสงคบเพลิง หญิงสาวผู้องอาจหาญกล้าเช่นนางยิ่งดูมีเสน่ห์และเจิดจรัสนัก
“องค์ชาย โต๊ะของพวกเราอยู่ทางนี้”
จางตั้วผู้อยู่ด้านข้างกำลังจะนำทาง แต่ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไปพบลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลหยวนกันก่อน”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขาจึงเร่งฝีเท้าไปทางหนึ่ง
จางตั้วตกตะลึง แต่เมื่อเห็นใบหน้างดงามของหยวนลั่วซี เขาก็เข้าใจความคิดขององค์ชายในทันที จนอดที่จะยิ้มขมขื่นไม่ได้
ทว่าเขาคุ้นชินแล้ว จึงเดินตามไปทันที
พวกซูอี้กำลังกินดื่มกันอยู่ เมื่อชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎปรากฏตัว เฉิงอู้หย่งสังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งแรก หลังจากมองสักพัก คิ้วของเขาขมวดด้วยความประหลาดใจ
เขารีบกล่าวว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ชนชั้นสูงน่าทึ่งที่จางอี้เหรินพูดถึง น่าจะเป็นชายหนุ่มคนนี้”
หยวนลั่วซีอดที่จะถามไม่ได้ว่า “อาหย่งรู้ได้อย่างไร?”
“ชุดคลุมสีม่วงที่เขาสวมทำมาจากไหมวิญญาณหิมะ มีฤทธิ์ต้านน้ำและไฟ มงกุฎขนนกบนศีรษะแผ่พลังวิญญาณออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นของดียิ่ง ดูที่เข็มขัด รองเท้า จี้หยกของเขา… ทุกอย่างบ่งบอกชัดเจน เสื้อผ้าชุดนี้ หากไม่จ่ายหินวิญญาณห้าร้อยก้อนย่อมไม่มีทางได้มาครอง!”
เฉิงอู้หย่งลดเสียงลงแล้วตอบว่า “สิ่งสำคัญที่สุด คือผู้ติดตามที่อยู่เบื้องหลังชายคนนี้ เขาคือผู้บ่มเพาะที่อยู่ขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ภายนอกคล้ายกับคนธรรมดา แต่กลิ่นอายในร่างกายไม่สามารถปกปิดได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาร้ายกาจยิ่ง!”
หลังจากได้ฟังเช่นนี้ หยวนลั่วซีและหวงเฉียนจวินจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
แม้แต่ซูอี้ยังชำเลืองมอง กลุ่มของชายหนุ่มชุดม่วงหนึ่งครั้งก่อนจะพลันได้รู้แจ้ง
น่าเสียดาย เฉิงอู้หย่งมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดไป
ในกลิ่นอายของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎขนนกผู้นี้ มีร่องรอยของตราประทับที่ยากจะตรวจจับได้ มันเหมือนกับ ‘สิ่งบอกตำแหน่ง’ ที่ถูกทิ้งไว้โดยวิชาวิญญาณลับ
ไม่ต้องสงสัยเลย ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎขนนกนี้กำลังตกเป็นเป้าของบุคคลที่ช่ำชองแขนงวิชาเกี่ยวกับวิญญาณ!
ทว่า ซูอี้ไม่พูดให้มากความ
ก็แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญพานพบ ไม่จำเป็นต้องเตือนอีกฝ่าย
แต่ที่ทำให้พวกซูอี้ประหลาดใจ คือชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงกำลังเดินมาทางพวกเขา
“เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้พบคุณหนูหยวนที่นี่ ถ้าข้าขอนั่งด้วยจะเป็นการรบกวนหรือไม่?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎขนนกมาอยู่ตรงหน้า เผยรอยยิ้มก่อนประสานมือ ดูสง่างามนัก
“เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
หยวนลั่วซีรู้สึกประหลาดใจระคนสงสัยเช่นเดียวกัน
“ไข่มุกงดงามสุดในตระกูลหยวนแห่งมหานครอวิ๋นเหอ ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงตอบ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างเปล่าตามใจ จากนั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “หวังว่าทุกท่านจะไม่กล่าวโทษที่ข้าเข้ามาโดยไม่ได้รับคำเชิญ การเดินทางนั้นเปล่าเปลี่ยว ข้าแค่อยากพบสหายหน้าใหม่เท่านั้น”
หวงเฉียนจวินแทบจะกลอกตา คิดว่าข้ามองไม่ออกหรือ ว่าเจ้ากำลังหมายตาหยวนลั่วซี?
ทว่า เมื่อเห็นชายวัยกลางคนนามจางตั้วที่ยืนห่างจากชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงอยู่ไม่ไกลเงียบ ๆ หวงเฉียนจวินก็อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
ประกอบกับการคาดเดาของเฉิงอู้หย่งก่อนหน้านี้ หยวนลั่วซีก็เข้าใจเช่นกันว่าชาติกำเนิดของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้นนางจึงฝืนระงับร่องรอยความไม่ยินดีเอาไว้ในใจ และไม่ผลักไสอีกฝ่ายออกไปทันที
ส่วนซูอี้ เขาเพียงชำเลืองมองชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วง จากนั้นถอนสายตากลับ เพื่อจัดการอาหารเครื่องดื่มของตัวเองต่อ
ในความเห็นของเขา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงผู้นี้เป็นตัวปัญหา การรักษาระยะห่างไว้ให้มากที่สุดย่อมเป็นการดี จะได้ไม่ถูกหางเลขโดยใช่เหตุ
“ครั้งนี้คุณหนูหยวนวางแผนจะกลับมหานครอวิ๋นเหอหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงเทสุราใส่จอกของตัวเอง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกดีไปด้วย
“ถูกต้อง”
หยวนลั่วซีพยักหน้า ถามกลับว่า “เจ้ารู้ตัวตนของข้าแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่แนะนำตัวเองบ้าง? มันออกจะเสียมารยาทอยู่เสียหน่อยเจ้ารู้หรือไม่?”
สีหน้าชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงแข็งค้างสักพัก จากนั้นประสานมือพร้อมตอบทั้งรอยยิ้มว่า “ข้าลืมตัวไปหน่อย ข้ามีนามว่าเสี่ยจือหลี มาจากนครหลวงอวี้จิง ครั้งนี้ข้าจะไปมหานครอวิ๋นเหอเช่นกัน”
หวงเฉียนจวินขัดว่า “นายน้อยจือหลีผู้นี้ ข้าขอบังอาจถามหน่อย ท่านจะไปทำอะไรในมหานครอวิ๋นเหอ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า “ไปเยี่ยมสหายน่ะ”
หลังจากตอบกลับ เขาหันไปเชื้อเชิญให้หยวนลั่วซีสนทนาทันที
ต้องบอกว่า ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงพูดจาได้ดี ท่าทีถ่อมตนยิ่ง ประกอบกับรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา หากเป็นผู้หญิง ไม่ว่าใครก็ต้องสนใจเป็นแน่
แต่หยวนลั่วซีกลับหงุดหงิด เพราะนางไม่ชอบสนทนากับคนแปลกหน้า
โดยเฉพาะตอนที่สังเกตเห็นว่าเขากำลังพยายามพิชิตใจ นางยิ่งอยากปฏิเสธมากขึ้น
ถ้าหากชาติกำเนิดของอีกฝ่ายไม่ได้ดูสูงส่งและเป็นปริศนา เกรงว่านางคงขับไล่เขาออกจากโต๊ะไปนานแล้ว
ทว่าชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงก็รู้มากเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหยวนลั่วซีมีทีท่าเย็นชา เขาจึงยั้งตัวเองทันที
เพราะรู้ว่ามันเป็นการพบกันครั้งแรก จะทำตัวกระตือรือร้นเกินไปไม่ได้
เขาลุกขึ้น ประสานมือให้ “ทุกท่านเชิญคุยกันต่อตามสบาย ข้าขอตัวก่อน”
“จะว่าไป คุณหนูหยวน เมื่อข้าไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ ข้าคงจะไปเยี่ยมเยียนบ้านเจ้าในฐานะแขกคนหนึ่ง หากได้พบกันอีกครั้ง โปรดอย่าได้ประหลาดใจ”
หลังจากนั้น เขายิ้มอย่างสบายอารมณ์ ก่อนหันหลังแล้วจากไป
ตอนนี้เอง
เรือโดยสารลำใหญ่ที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับชนโขดหินอย่างจัง ทำให้ลำตัวเรือที่ยาวหลายสิบจั้งสั่นไหวอย่างหนัก!