บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 840: เล่นให้ใหญ่
ตอนที่ 840: เล่นให้ใหญ่
ตอนที่ 840: เล่นให้ใหญ่
บนประตูเมืองตาข่ายม่วง
“อืม? หนุ่มสกุลซูคนนั้นกลับมาอีกครั้งแล้ว”
ชายชราในอาภรณ์สีน้ำเงินรู้สึกคาดไม่ถึง
ก่อนหน้านี้ เขากับชายชุดขาวต่างก็เข้าใจว่าซูอี้ที่ชุยจิ๋งเหยี่ยนชอบเป็นคนที่รักตัวกลัวตาย จึงได้หนีออกไปจากเมืองตาข่ายม่วงไปแล้ว
“กลับมาจริง ๆ…”
ผู้ชายชุดสีขาวก็ตะลึงเช่นกัน
ฉับพลันเขาก็สังเกตเห็นว่าข้างกายของซูอี้ยังมีผู้หญิงอีกนางหนึ่ง ถึงแม้จะมองเห็นรูปโฉมไม่ถนัด แต่ลำพังเพียงแค่จังหวะวิถีกับลักษณะท่าทีเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกตื่นตะลึง และสายตาพร่ามัวขึ้นมา
นางฟ้าแดนสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์หรืออย่างไรกัน?
ชายชุดขาวอยู่ในระดับจักรพรรดิ จึงเคยเห็นหญิงงามมานักต่อนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้
ผมขาวดุจหิมะ แลดูเก่งกาจประหนึ่งนางเซียน!
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน?”
ชายชราในอาภรณ์สีน้ำเงินตกตะลึงในความงดงามเช่นกัน
เพียงแต่ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ถนัด
นางมีท่าทางสง่างาม โฉมหน้าอำพรางอยู่ในหมอกบาง ๆ ดุจดังดินแดนในฝัน
จนกระทั่งซูอี้กับผอซัวเดินเคียงข้างกันเข้ามาในเมืองและหายลับไปบนถนนที่ห่างไกลออกไป
ผู้ชายชุดขาวจึงขมวดคิ้วกล่าวราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน “ดูไม่ออกเลยว่า ดวงผู้หญิงของเจ้าหนุ่มแซ่ซูคนนั้นไม่เบาเลย แต่เขาทำเช่นนี้ จะไม่เป็นการทำร้ายจิตใจของจิ๋งเหยี่ยนหรอกหรือ?”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “เด็ดดอมไปทั่วนั้นไม่ถูก แต่หากว่าเป็นเจ้า เจอผู้หญิงสวยราวกับนางฟ้าเช่นนี้ จะทำเช่นใด?”
ผู้ชายชุดขาวนิ่งเงียบไปในทันใด
ถึงแม้ทั้งสองจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิของตระกูลชุย ทว่าไม่เคยเห็นผอซัวมาก่อน จึงไม่รู้เป็นธรรมดาว่า คนที่พวกเขากำลังพูดถึงในตอนนี้ก็คือคนที่ถูกตระกุลชุยของพวกเขายกย่องสืบต่อกันเป็นรุ่น ๆ ว่า “องค์วิญญาณไท่ซู่”
“ดูสิ นั่นคือใคร?”
ฉับพลัน สีหน้าของชายชราในอาภรณ์สีน้ำเงินเปลี่ยนไป เมื่อมองไปที่สุดขอบฟ้า
“ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ?”
ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในแววตาของผู้ชายชุดขาว
ส่วนซูอี้กับผอซัวที่เพิ่งเดินเข้าประตูเมืองมาก็หยุดยืนและหันหน้ากลับไปมองในช่วงเวลานี้เช่นกัน
ที่ขอบฟ้าอันห่างไกล กลุ่มคนผู้มีพลังน่ากลัวกำลังพุ่งมายังประตูเมืองตาข่ายม่วงอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ซึ่งห่างจากประตูเมืองตาข่ายม่วงเพียงแค่ไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น
คนแรกคือผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดยาวสีแดงเกล้าขนนก
คนที่สองคือผู้ชายร่างโต บนสองแขนมีมังกรไฟขดล้อม ตัวสูงจั้งกว่า ๆ ผิวสีเข้มราวกับเทพผู้ทรงพลัง
และคนที่สามก็คือผู้เฒ่าเคราขาว บนศีรษะโล้นเตียน มือถือไม้เท้าลำไผ่ ท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ
ส่วนคนสุดท้ายเป็นสตรีสวมชุดสีสันสดใส บนหลังสะพายดาบ นางมวยผมขึ้นสูง รูปลักษณ์สะสวยและสง่ายิ่ง
แม้ว่าทั้งสี่คนจะมีบุคลิกแตกต่างกัน ทว่าพลังที่แผ่ออกมากลับน่าพรั่นพรึง และมีอานุภาพทรงพลังของผู้เป็นจักรพรรดิ!
ครืน!
การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้ฟ้าดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน อากาศผันผวน สรรพสิ่งพากันสั่นระริกราวกับว่ายอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา
กองทัพผู้ฝึกตนของตระกูลชุยที่เฝ้าประจำการอยู่ใกล้ ๆ ประตูเมืองต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นมา
และบนกำแพงเมือง ชายชราชุดน้ำเงินกับผู้ชายชุดขาวขมวดคิ้วแน่น
พวกเขารู้แล้วว่าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญทั้งสี่คนคือใคร พวกเขาคือคนจากตระกูลชวี ตระกูลหง ตระกูลตั้นไถ และตระกูลเสินชา!
“สหายเต๋าทั้งสี่ พวกเจ้ามาทำอะไรที่เมืองตาข่ายม่วง?”
ชายชราในชุดน้ำเงินถามเสียงดังกึกก้อง
“ไม่ได้มาเป็นแขกอยู่แล้ว”
คนที่อยู่ข้างหน้าคือบุรุษสวมชุดสีแดงรัดเกล้าขนนก
สายตาของเขาประดุจอสนีบาต สีหน้าราบเรียบ นามว่าชวีป๋อโฮ่ว เป็นตัวประหลาดแห่งขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำของตระกูลชวี
ขณะที่พูด ชวีป๋อโฮ่วกวาดตามองดูเมืองตาข่ายม่วงที่อยู่ไกลออกไป ทันใดร่างก็ขยายใหญ่ ส่งเสียงดังสนั่นฟ้า
“ชุยฉางอันจงฟังให้ดี หากว่าวันนี้ไม่ปล่อยตัวชวีหมิงเวยผู้นำตระกูลข้า เจ้าต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาเอาเอง!”
เสียงดังราวกับฟ้าร้อง ดังกึกก้องไปทั่วเมืองตาข่ายม่วงอันกว้างใหญ่ไพศาล สร้างความแตกตื่นให้คนมากมายในเมือง
ตามที่รู้กันดีว่าในช่วงระยะเวลานี้ สิ่งมีชีวิตในเมืองตาข่ายม่วงถูกโยกย้ายออกไปประมาณเจ็ดส่วนแล้ว ทำให้เมืองใหญ่โบราณแห่งนี้ดูเงียบสงัดกว่าที่เคย
ทว่าเวลานี้ หลังจากที่เสียง ๆ นี้ดังขึ้น สิ่งมีชีวิตที่เหลือในเมืองต่างก็รู้สึกได้ถึงอันตราย
ตระกูลชวีทำเช่นนี้เท่ากับกำลังท้ารบกับตระกูลชุยอยู่เช่นนั้นหรือ?
บนกำแพงเมือง ผู้ชายชุดขาวกับผู้เฒ่าชุดน้ำเงินต่างก็สีหน้าเคร่งขรึมลง
ด้านในประตูเมือง ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ด้วยคาดไว้แล้วว่า ตัวตนระดับจักรพรรดิทั้งสี่ซึ่งมาจากขุมกำลังที่ต่างกันต้องการกดดันตระกูลชุย
กดดันก็เพื่อจะต่อรองนั่นเอง
และก็อาจจะท้ารบกับตระกูลชุยด้วยก็ได้
“สหายเต๋า ข้าต้องหลบไปก่อนชั่วคราว”
ผอซัวส่งกระแสเสียงปราณมาหา
เมื่อนานมาแล้วนางได้ตั้งปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ของตระกูลชุย
ซูอี้คิดสักครู่จึงกล่าว “ข้าจะหลบไปกับเจ้าด้วย”
ผอซัวตะลึง “ไหนเจ้าบอกว่าต้องการจะช่วยตระกูลช่วยขจัดเคราะห์ภัยไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้โพล่งออกมา “ศึกในครั้งนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เห็นหรือว่าคนพวกนั้นไม่กล้าแม้แต่จะเข้าสู่ประตูเมือง? ข้าไม่ว่างที่จะดูเรื่องสนุกตรงนี้”
พูดจบเขาก็ก้าวเดินเข้าไปในเมืองแล้ว
สาวงามมองดูสถานการณ์นอกเมืองสักครู่ เมื่อนางทบทวนคำพูดนั้นของซูอี้แล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงเดินตามไป
ทั้งสองเข้าไปในเมืองได้ไม่นานนัก คนระดับสูงของตระกูลชุยปรากฏตัวขึ้น ณ บริเวณประตูเมือง โดยมีชุยฉางอันเป็นหัวหน้านำขบวน
——
สิ่งที่ทำให้ซูอี้พูดไม่ออกก็คือ เมื่อไปถึงหอเมฆาหอม เขาตั้งใจจะดื่มสุราสักหน่อย หอสุราอันมีชื่อเลื่องลือไปทั่วเขตราชาหกวิถีกลับไม่เปิดกิจการเสียแล้ว!
เขาจึงได้แต่กลับไปคฤหาสน์ตระกูลชุยพร้อมกับผอซัวด้วยความจนปัญญา
ณ พิมานเครือทอง
ซูอี้นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นหมื่นวิถี
วันนี้เขาเพิ่งผ่านพิบัติได้สำเร็จ จนก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือฝึกฝนระดับวิถีให้แข็งแกร่ง
ส่วนผอซัวก็กลับเข้าไปในต้นหมื่นวิถีตั้งนานแล้ว
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด
จนกระทั่งถึงดึกสงัด ซูอี้ตื่นขึ้นจากสมาธิก็เห็นชุยฉางอันมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว ผู้นำตระกูลชุยยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
เห็นว่าซูอี้ลืมตาขึ้นมาแล้ว ชุยฉางอันยิ้มพลางกล่าวแสดงความยินดี “ยินดีกับท่านลุงซูที่วันนี้บรรลุขอบเขตวงล้อวิญญาณได้สำเร็จ!”
ซูอี้หยิบเก้าอี้หวายออกมา พลางเอนกายลงบนนั้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน จากนั้นหยิบกาสุราออกมา พลางดื่มไปพูดไป “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้ามาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพียงแค่แสดงความยินดีที่ข้าบรรลุขอบเขตเท่านั้น ว่ามา วันนี้พูดคุยกับขุมกำลังเหล่านั้นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
รอยยิ้มบนใบหน้าชุยฉางอันจืดจางลง สายตาแสดงความเย็นยะเยือกขึ้นมา “เงื่อนไขที่พวกสารเลวเหล่านั่นเสนอมา แต่ละข้อล้วนเอาเปรียบ ราวกับเห็นว่าตระกูลชุยของพวกเราเป็นเนื้อแพะให้เชือด หากว่ารับปากเงื่อนไขของพวกมัน ต่อให้ผ่านพ้นวันเทศกาลหมื่นโคมไฟไปได้ รากฐานที่สร้างมานมนานของตระกูลชุยก็ต้องจบสิ้นเข้าสักวัน!”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ชายหนุ่มหัวเราะกล่าว “เป็นเรื่องธรรมดา ตามความเห็นของข้า ไม่ว่าเจ้าจะรับเงื่อนไขเหล่านั้นหรือไม่ พวกเขาก็ไม่มีทางหยุดเพียงเท่านี้ เพราะอย่างไรเสีย ครั้งนี้ แม้กระทั่งอีกาเก้ามืดมืดก็ยังปรากฏตัวขึ้นแล้ว ในสายตาของตระกูลเหล่านั้น ตระกูลชุยของพวกเจ้า… พ่ายแพ้แน่นอน”
ชุยฉางอันพยักหน้า
เขาเข้าใจเป็นธรรมดาว่าสถานการณ์ของตระกูลชุยในตอนนี้อันตรายมากเพียงใด
“ใช่แล้ว วันนี้ท่านลุงซูเห็นอีกาเก้ามืดมิดแล้วหรือ?”
ชุยฉางอันถาม
“เห็นแล้ว”
ซูอี้พยักหน้า “ข้าพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่ามันมาจากที่ใด มีพลังมหาวิถีระดับไหน หากว่าตอนเทศกาลหมื่นโคมไฟ มันฉวยโอกาสก่อกวนขึ้นมาล่ะก็ เมืองตาข่ายม่วงจะต้องตกอยู่ในวิกฤตเป็นแน่”
ใบหน้าของชุยฉางอันเปลี่ยนสี ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ท่านลุงซูมีวิธีการรับมืออันใดหรือไม่ขอรับ?”
พอเอ่ยออกมา เขาก็รู้สึกได้ว่าถามไปเช่นนี้ดูไม่เหมาะสม จึงกล่าวอธิบาย “ข้าไม่ได้สงสัยในความสามารถของท่านลุง เพียงแต่…”
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิผู้กุมอำนาจสูงสุดของตระกูลชุยอย่างเขา เวลานี้กลับพูดจาตื่นเต้นหวาดกลัวเช่นนี้ ทำให้ซูอี้รู้สึกว่าน่าขัน
เขาโบกมือพลางกล่าว “เอาล่ะ ข้าไหนเลยจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้? มีข้าอยู่ อีกาเก้ามืดมิดยังมิอาจก่อเรื่องอันใดขึ้นได้”
คำพูดเรียบ ๆ ทว่าแสดงถึงความมั่นใจอันเปี่ยมล้น
ผู้นำตระกูลชุยกล่าวอย่างมั่นใจแน่วแน่ “ท่านลุงซู เมื่อเทศกาลหมื่นโคมไฟมาถึง ตระกูลชุยของพวกเราควรจะให้ความร่วมมือกับท่านเช่นใดขอรับ?”
ซูอี้คิดสักครู่ ก่อนกล่าว “ตอนนี้ยังมีประชาชนกระจายตัวอยู่ในเมืองตาข่ายม่วงแห่งนี้จำนวนเท่าใด?”
“ไม่ถึงสามส่วน”
ชุยฉางอันพูดถึงตรงนี้แล้วอดถอนใจยาว ๆ ไม่ได้ “ข้าสงสัยว่า หลังจากที่ผ่านเรื่องในวันนี้แล้ว ผู้คนที่เหลืออยู่ในเมืองเหล่านั้นคงจะออกจากเมืองไปมากขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเทศกาลหมื่นโคมไฟมาถึง เมืองตาข่ายม่วงอันกว้างใหญ่ไพศาลคงจะต้องกลายเป็นเมืองร้างอย่างแน่นอน”
ที่ผ่านมา เมืองตาข่ายม่วงเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของเขตราชาหกวิถี ผู้ฝึกตนในพื้นที่อื่นล้วนหลั่งไหลเข้ามายังเมืองนี้ จึงนำมาซึ่งความเจริญเติบโตอย่างไม่ขาดสาย
ในฐานะที่เป็นผู้นำของเมืองตาข่ายม่วง ตระกูลชุยจึงได้รับผลประโยชน์มากมายด้วยเช่นกัน ทั้งทรัพยากรการฝึกตนและทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลจากการค้าขายหลากหลายรูปแบบ
ทว่าในช่วงระยะนี้ หลังจากที่ผู้คนจำนวนมากย้ายออกไป เมืองตาข่ายม่วงก็เงียบเหงาเสียจนน่าสงสาร
ชุยฉางอันไม่อาจขัดขวางได้
เพราะอย่างไรเสีย สำหรับผู้คนในเมืองแล้ว หากออกไปเสียแต่ตอนนี้ วันข้างหน้ายังมีโอกาสรอดชีวิตกลับมาได้
หากว่าไม่ไปเสียแต่ตอนนี้ เกิดเมืองตาข่ายม่วงล่มสลาย พวกเขาก็ต้องตายตามไปด้วยเท่านั้น
“เมืองร้างก็ยิ่งดี”
แววตาของซูอี้ลุ่มลึกขึ้น “ถึงเวลานั้น หากว่าศัตรูภายนอกกล้าฉวยโอกาสก่อเหตุ จะปล่อยให้พวกเขาหนีรอดไปไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เบนสายตามองไปที่ชุยฉางอัน “จะเล่น ก็ต้องเล่นให้ใหญ่ไปเลย ปิดเมืองตีแมว ฆ่าให้หมดไม่ให้เหลือ!”
ชุยฉางอันสะดุ้งกับข้อเสนอที่กล้ามากของซูอี้
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นตัว เลือดลมทั่วตัวเดือดพล่าน
ในช่วงระยะนี้ ตระกูลชุยมีเรื่องทั้งภายในและภายนอก ถูกลมฝนโหมกระหน่ำ ชุยฉางอันจึงได้แต่อัดอั้นความเคียดแค้นและกลัดกลุ้มอยู่เต็มอก
หากสามารถฆ่าศัตรูภายนอกเหล่านั้นได้ในทีเดียวตอนเทศกาลหมื่นโคมไฟ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก!
อีกทั้ง หลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้ ตระกูลชุยสามารถใช้อานุภาพของการต่อสู้ในครั้งนี้ตอกกลับขุมกำลังโบราณเหล่านั้นให้หน้าหงาย!
เขารู้ดีว่า ถึงแม้ข้อเสนอของซูอี้จะดี แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงอย่างมาก หากเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา เมืองตาข่ายม่วงไม่เพียงแต่ล่มสลาย ตระกูลชุยของพวกเขาจะต้องได้รับความเสียหายอย่างไม่อาจคาดคะเนได้!
ครุ่นคิดอยู่นาน ผู้นำตระกูลชุยสูดหายใจลึก ๆ และยังคงถามอย่างจนปัญญา “ท่านลุงซู โปรดอภัยในความจาบจ้วงของข้า ข้าอยากจะถามสักคำ ท่านคิดว่ามีโอกาสชนะเท่าใดในการต่อสู้ครั้งนี้?”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมาสบาย ๆ “ในโลกนี้ไม่มีแผนการที่สมบูรณ์ ข้ารับรองได้เพียงแค่ว่า จะไม่ทำให้ตระกูลชุยของพวกเจ้าได้รับภัยพิบัติจนล่มสลาย หากว่าเจ้าคิดว่าข้อเสนอของข้าเสี่ยงเกินไป ข้าก็ไม่บังคับฝืนใจ”
ชุยฉางอันสับสนไม่นิ่ง
หลังจากเงียบไปนาน เขาก็ตัดสินใจ “ข้าจะทำตามที่ท่านลุงพูด!”
ซูอี้หยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาหัวเราะพลางดื่ม