บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 841: ระเบียบที่ขาดไป
ตอนที่ 841: ระเบียบที่ขาดไป
ตอนที่ 841: ระเบียบที่ขาดไป
วันที่สิบเอ็ดเดือนเจ็ด ยามเช้าตรู่
ซูอี้พร้อมด้วยชุยฉางอันเดินรอบกำแพงเมืองสี่ด้านของเมืองตาข่ายม่วง
เมืองตาข่ายม่วงเป็นเมืองที่ถูกปกปักรักษาตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน จึงมีความกว้างใหญ่ไพศาลเกินความคาดหมาย
ผู้นำตระกูลชุยกับซูอี้เร่งฝีเท้าตลอดทาง บางครั้งก็หยุดพักสนทนากันบ้าง แต่ถึงแม้จะเร่งรีบเช่นนี้ก็ยังคงใช้เวลาเดินถึงสี่ชั่วยาม
สุดท้าย ทั้งสองคนจึงมายืนอยู่บนกำแพงเมืองฝั่งตะวันออก
——
วันที่สิบสองเดือนเจ็ด ยามโพล้เพล้
ผอซัวมอบโคมไฟดอกบัวอาญาให้แก่ซูอี้
——
วันที่สิบสามเดือนเจ็ด ยามดึก
ซูอี้ตื่นขึ้นจากสมาธิ จากนั้นนั่งคัดอักษรอย่างอารมณ์ดี
ปลุกดวงจันทร์อันสดใส ส่องสว่างหิมะหนาวเต็มใจข้า เป็นน้ำใสไหลหลากอันยิ่งใหญ่
เมื่อถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด ภูมิมืดมิดไม่มีดวงจันทร์ ทว่าทุกหัวระแหงในใต้หล้าจะมีโคมไฟสวรรค์มหาวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่าง เพื่อขจัดความมืดมิด ขับไล่สิ่งชั่วร้าย
หากว่ามีพระจันทร์กระจ่างอยู่บนท้องนภา คงจะเป็นโคมไฟที่สว่างเจิดจ้าเป็นที่สุดในเทศกาลหมื่นโคมไฟของวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด
ซูอี้เขียนอักษรนี้ตามความรู้สึกที่มี
——
วันที่สิบสี่เดือนเจ็ด
เมืองตาข่ายม่วงอันยิ่งใหญ่แต่บรรพกาล ไร้ซึ่งผู้คน ท้องถนนว่างเปล่า
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลชุยปักหลักตั้งกระโจมอยู่ใกล้ ๆ ประตูเมืองฝั่งทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก บรรยากาศตึงเครียดราวกับมีเมฆดำปกคลุมไปทั่วทั้งนอกและในตัวเมือง
บริเวณใกล้ ๆ ประตูเมืองแต่ละแห่งมีผู้เป็นจักรพรรดิประจำการ
ในคฤหาสน์ตระกูลชุย บรรยากาศอึมครึมและเคร่งเครียด
ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ สีหน้าของแต่ละคนล้วนแสดงความกังวลออกมา
ทุกคนต่างก็รู้ว่า เมื่อเทศกาลหมื่นโคมไฟในวันพรุ่งนี้มาถึง ภัยพินาศที่คาดไม่ถึงก็จะอุบัติขึ้นกลางเมืองตาข่ายม่วง
ตระกูลชุยของพวกเขาต้องเผชิญกับการทดสอบแห่งความตาย!
ภายในหอแห่งหนึ่ง
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์ ขณะกำลังคิดพิเคราะห์กระดานหมากรุกที่วางหมากประหลาดกระดานหนึ่ง
แผ่นกระดานเป็นสีทองเหลือง ลักษณะทรงกลม ทว่าช่องภายในกระดานกลับเป็นทรงสี่เหลี่ยม ราวกับเหรียญเงินที่ภายนอกเป็นทรงกลมภายในเป็นทรงเหลี่ยม
นี่คือกระดานหมากรุกกลดวล
กล คือ วิถีแห่งการควบคุม
ดวล คือ การดวลหมาก
กระดานหมากรุกกลดวลเป็นการวางหมากค่ายกลต้องห้ามโบราณที่กระจายอยู่บนกำแพงเมืองตาข่ายม่วงทั้งสี่ด้าน เพียงแค่บังคับสมบัติชิ้นนี้ก็สามารถวางหมากฆ่าศัตรูได้ราวกับกำลังดวลหมาก
บนกำแพงเมืองตาข่ายม่วงทั้งสี่ด้าน มีค่ายกลโบราณปกคลุมไปทั่ว ค่ายกลนี้มีชื่อว่า ‘ค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัย’ กำแพงเมืองที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยจั้งล้วนสร้างจากวัสดุพิเศษที่มีความแข็งแรงทนทาน ชื่อของมันก็คือ ‘ทองอัคคีสว่างล้ำ’
ทั้งได้รับการหลอมและเสริมสร้างจากตระกูลชุยแต่ละรุ่น ต่อให้ไม่ใช้พลังของค่ายกล แค่อาศัยเพียงตัวกำแพงก็สามารถต้านทานการโจมตีของผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณได้!
เมื่อขับเคลื่อน ‘ค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัย’ ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิก็ยังยากจะก้าวข้ามมาได้
ทว่า ประโยชน์สำคัญของค่ายกลนี้คือปราบเภทภัย กำจัดเคราะห์พิบัติ!
ในช่วงเวลานับแต่บรรพกาลมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเทศกาลหมื่นโคมไฟพันปีมาถึง ตระกูลชุยจะทำลายการบุกโจมตีของพลังชั่วร้ายได้โดยอาศัยค่ายกลนี้
“เช่นนี้ก็หมายความว่า หลังจากขับเคลื่อนค่ายกลนี้แล้ว ขอเพียงรักษาประตูเมืองฝั่งตะวันออกไว้ได้ เมืองตาข่ายม่วงก็จะปลอดภัยเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ถาม
“ถูกต้องขอรับ”
ชุยฉางอันที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าพลางกล่าว “เมืองตาข่ายม่วงกว้างใหญ่มาก เมื่อนานมาแล้ว บรรพบุรุษของตระกูลชุยก็ตระหนักแล้วว่าตอนที่ตั้งค่ายกลจะให้ศัตรูฉวยโอกาสไม่ได้เด็ดขาด”
“ดังเช่นค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัยนี้ ขอเพียงรวบรวมพลังปกป้องประตูเมืองฝั่งตะวันออกได้ ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิมาก็ไม่อาจบุกเข้าเมืองได้”
นิ่งไปสักครู่ เขากล่าวต่ออีก “ดังเช่นกำลังของตระกูลชุยที่ปักหลักเฝ้าระวังอยู่ใกล้ ๆ ประตูเมืองฝั่งอื่น ๆ แท้จริงไม่ได้ใช้สำหรับฆ่าศัตรู เพียงแค่ช่วยประคับประคองการขับเคลื่อนของค่ายกลพร้อมกันเมื่องานเทศกาลหมื่นโคมไฟมาถึงเท่านั้น”
ซูอี้ใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด “แต่หากว่าประตูเมืองฝั่งตะวันออกพลาดท่า ไม่เท่ากับว่าเมืองตาข่ายม่วงทั้งเมืองต้องตกในอันตรายหรอกหรือ?”
ชุยฉางอันกล่าว “หากว่าถึงเวลานั้นจริง ๆ คงทำได้แต่เพียงพาคนตระกูลชุยทั้งหมดถอยหนีไปด้วยกันโดยยืมพลังของพฤกษาหมื่นวิถี”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “หากว่าพวกเราเจตนาเปิดประตูเมืองฝั่งตะวันออก แล้วปล่อยปลาให้เข้าข้อง จะเป็นอย่างไร?”
ชุยฉางอันคิดสักครู่จึงตอบ “หากว่าเป็นเช่นนั้น บางทีทั้งเมืองอาจถูกทำลายเสียหายย่อยยับ แต่…ไม่ถึงกับมีคนตายมากนัก”
เมืองตาข่ายม่วงในตอนนี้แทบจะกลายเป็นเมืองร้างอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ซูอี้ทำทีตัดสินใจ “คืนวันพรุ่งนี้ เจ้ากับข้าไปเฝ้าประตูเมืองฝั่งตะวันออกด้วยกัน ให้คนอื่น ๆ อยู่ประจำที่คฤหาสน์”
คืนพรุ่งนี้ก็คือวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด วันที่เทศกาลหมื่นโคมไฟจะมีขึ้น!
ผู้นำตระกูลชุยหนังตากระตุก “ท่านลุงซู เช่นนี้จะ…เสี่ยงเกินไปหรือไม่ขอรับ?”
ซูอี้ตอบ “ทำตามที่ข้าบอก”
นี่ไม่ใช่คำอธิบาย แต่เป็นคำสั่ง
ชุยฉางอันพยักหน้า
ซูอี้เหลือบตามองดูชุยฉางอัน จากนั้นจึงกล่าว “ฟ้ายังไม่ถล่มลงมา อย่ากดดันจนเกินไป”
ชุยฉางอันอึ้งไปชั่วครู่ จิตใจกระสับกระส่าย ย้อนนึกถึงเมื่อตอนยังหนุ่ม ท่านลุงซูเคยยิ้มพลางตบไหล่เขาบอกว่า
“คนหนุ่มจะต้องมีจิตใจที่กล้าหาญรักความก้าวหน้า ไม่ก่อเรื่อง แต่หากมีเรื่องก็ไม่กลัว วันข้างหน้าเจ้าจะต้องเป็นใหญ่ ขอเพียงไม่ขลาดกลัว ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
เป็นคำพูดที่เรียบง่ายสบาย ๆ บางทีซูอี้ก็อาจจะลืมไปแล้ว
แต่กลับฝังลึกอยู่ในหัวใจของชุยฉางอัน
เมื่อตั้งสติอารมณ์ได้แล้ว ชุยฉางอันยิ้มพลางกล่าว “มีท่านลุงอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาข้าก็ไม่กลัว”
ในช่วงระยะนี้ เขารู้สึกกดดันอย่างแรงจริง ๆ
เมืองตาข่ายม่วงมีลมฝนโหมพัด ตึกรามบ้านช่องไร้ซึ่งผู้คน
คนในตระกูลต่างก็กระวนกระวายใจ ไม่เป็นสุข
ศัตรูภายนอกต่างก็จับจ้องตาเป็นมัน
นอกจากนี้ ชุยหลงเซี่ยงก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกาเก้ามืดมิดปรากฏตัวอีกครั้งบนโลก… เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นติดต่อกัน และจะระเบิดพร้อมกันเมื่องานเทศกาลหมื่นโคมไฟมาถึง
รู้ได้เลยว่าชุยฉางอันกดดันมากแค่ไหน!
แม้แต่ใต้หล้ามืดมิดแห่งนี้ ไม่รู้ว่ามีดวงตานับกี่คู่ที่รอดูว่าตระกูลชุยซึ่งสืบทอดจากอดีตกาลจนปัจจุบันจะมีจุดจบเช่นใด
ในอดีตตระกูลชุยก็เคยผ่านการนองเลือดมานับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเจอสถานการณ์อันตรายเหมือนดังที่ประสบในครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ชุยฉางอันยอมรับกับตัวเอง หากว่าครั้งนี้ไม่มีซูอี้อยู่ เขาอาจจะพาคนในตระกูลยืมพลังของพฤกษาหมื่นวิถีหนีออกไปจากเมืองตาข่ายม่วงไปตั้งนานแล้ว
——
วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด เทศกาลจงเอวี๋ยนหรือที่เรียกกันว่าเทศกาลผี
และก็เป็นวันงานเทศกาลหมื่นโคมไฟที่จัดขึ้นด้วย
วันนี้ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีเทาอึมครึมอันน่าอึดอัด สิบสามภพหกเขตทั่วภูมิมืดมิดดูวังเวงขึ้นมา
เทศกาลผีไม่ออกบ้าน
นี่คือสิ่งที่รู้กันทั่วภูมิมืดมิด
เพราะว่าวันนี้ พลังแหล่งกำเนิดทั่วภูมิมืดมิดจะถูกพลังประหลาดบดบัง ทั่วทุกหนแห่งในใต้หล้าจะมีสิ่งอัปมงคลมากมายปรากฏขึ้น!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่อันตรายอย่างเมืองมรณะ สระเกิดใหม่ ซากโบราณกองตัดสิน แม่น้ำบาปสีเลือด กับทะเลทุกข์ ยิ่งมีสิ่งมีชีวิตประหลาดน่ากลัวมากมายพากันปรากฏตัวเป็นจำนวนมาก!
เมื่อความมืดคืบคลานมาถึง ทั่วทั้งภูมิมืดมิดก็จะถูกครอบงำด้วยความสิ่งที่น่ากลัว!
วันนี้ ทุกคนในตระกูลชุยล้วนอยู่ในความกดดัน
ทุก ๆ คนต่างก็กลัดกลุ้มในเรื่องเดียวกัน
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว วันนี้ก็เหมือนกับวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา
ตื่นนอน ล้างหน้า ฝึกตน กินข้าว…
ราวกับไม่รู้เลยสักนิดว่าภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้มีความหมายอันใดต่อสมาชิกตระกูลชุย
“เมื่อเทศกาลหมื่นโคมไฟสิ้นสุดลง เจ้าสามารถออกเดินทางไปจากที่นี่ได้เลย แต่ว่า ก่อนจะไปบอกกับข้าหน่อย ข้าจะได้ไปส่งเจ้า”
ในหออาคาร ซูอี้เปลี่ยนใส่ชุดสีเขียวตัวใหม่เอี่ยม ใช้ปิ่นไม้ปักผมยาวสีดำขลับที่ถูกมวยขึ้นในแบบเต๋า มองดูตัวเองในกระจกแล้ว เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ดี” อวิ๋นจือจิ่วพยักหน้าตอบ
ตอนที่มาถึงตระกูลชุย เขาเคยบอกไว้แล้วว่าตั้งใจจะไปดูสถานที่เดิม ๆ ในอดีต
ลังเลสักครู่ ชายชราตาบอดลดเสียงพูด “คุณชายซู เชื้อสายโคมไฟผีอย่างข้าก็ช่ำชองวิชาการขับไล่เภทภัยเช่นกัน ถึงแม้ระดับวิถีของข้าจะต่ำไปสักหน่อย แต่จัดการกับพวกวิญญาณชั่วเหล่านั้นสบายมาก…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็หมุนตัวมาสั่งกำชับ “เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องต้องให้เจ้าช่วย เจ้าอยู่รอที่คฤหาสน์ตระกูลชุยดีแล้ว”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าก้าวเดินออกไป
นอกหออาคาร ชุยฉางอันมารออยู่ก่อนหน้าแล้ว หลังจากที่ทั้งสองพบกันแล้วก็ออกเดินทางไปด้วยกัน
ท้องฟ้ามืดมิด เมฆดำหนาปกคลุม
บนถนนที่ว่างเปล่าตลอดทั้งสายของเมืองตาข่ายม่วงมีแต่เพียงเงาของซูอี้กับชุยฉางอันเพียงสองคน พวกเขามุ่งหน้าเดินตรงไปยังประตูเมืองตะวันออก
“เริ่มแรกขมุกขมัว ใสขุ่นแยกกัน อากาศใสลอยตัวกลายเป็นท้องฟ้า อากาศขุ่นตกตะกอนกลายเป็นแผ่นดิน ดูจากรอยการขับเคลื่อนของมหาวิถีทั่วฟ้าแล้ว วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดก็คือเวลาที่อากาศขุ่นในปฐพีหนักหน่วงที่สุด”
ซูอี้มือไพล่หลัง ขณะแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า “เพียงแต่ว่า ภูมิมืดมิดแตกต่างไปจากโลกภูมิอื่น ๆ เมื่อยุคดึกดำบรรพ์ที่ตรงนี้เดิมทีเป็น ‘นรก’ ในช่วงวันเวลาที่เนิ่นนานผันเปลี่ยน มีเทพอสูร แรงหยิน แรงอาฆาต แรงพยาบาท แรงชั่ว แรงแค้น…. และกำลังความชั่วมากมายไม่รู้เท่าไรมาตายอยู่ที่นี่ สะสมอยู่ในแหล่งต้นกำเนิดของปฐพีผืนนี้”
“ด้วยเหตุนี้ ตราบจนถึงตอนนี้ ทั่วทุกหนแห่งในใต้หล้านี้ยังคงเต็มไปด้วยสถานต้องห้ามจำนวนนับไม่ถ้วน ยังคงมีกำลังชั่วร้ายมากมายโผล่ขึ้นมาอย่างไม่หยุด”
“พูดไปแล้ว เป็นเพราะพลังแหล่งต้นกำเนิดของภูมิมืดมิดมีปัญหา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็อดถอนใจขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้
เดิมทีเพียงแค่พูดคุยกันตามความรู้สึกเท่านั้น แต่กลับทำให้ชุยฉางอันถึงกับตกใจ “ท่านลุงซู แหล่งต้นกำเนิดของภูมิมืดมิดเกิดปัญหาอันใดขึ้นหรือขอรับ?”
ซูอี้คิดสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “หากว่าข้าคาดคะเนไม่ผิด วิถีฟ้าของภูมิมืดมิดขาดระเบียบบางอย่างไป”
“ระเบียบอะไรขอรับ?”
“วัฏสงสาร”
ได้ยินคำตอบนี้แล้ว ชุยฉางอันถึงกับตะลึง
ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าใจ ก็มาถึงหน้าประตูเมืองตะวันออกแล้ว
ซูอี้ก้าวเดินไปยังกลางอากาศ จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏอยู่บนกำแพงเมืองอันสูงตระหง่านในทันใด
มองไปจากตรงนี้ ฟ้าดินที่ห่างไกลออกไป ดำทะมึนอึมครึม ภูเขาลำธารทั้งหมดถูกปกคลุมราวกับไม่มีสีสันแม้แต่น้อย เหลือแต่เพียงสีเทาวังเวงเงียบเหงา
ช่างอึดอัดยิ่งนัก
ซูอี้มองลงมาจากบนกำแพงเมือง มองเห็นรูปปั้นหินเซี่ยจื้อกับรูปปั้นหินปี้อั้นที่ตั้งอยู่สองข้างของประตูเมือง
และในขณะเดียวกันนี้เอง จู่ ๆ ที่ขอบฟ้าห่างไกลออกไปปรากฏลำแสงสว่างเจิดจ้าบาดตาขึ้นหลายลำ เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และมาอยู่กลางอากาศนอกกำแพงเมืองที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นกลายตัวเป็นร่างที่มีพลังยิ่งใหญ่สะท้านฟ้า
ชุยฉางอันขมวดคิ้ว พลางบ่นพึมพำ “ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวัน ยังไม่ทันดึกเลย คนพวกนี้ก็รอไม่ไหวแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้เหลือบตามองออกไป ฉับพลันก็มองเห็นร่างคนที่คุ้นเคย